"น่าเวทนานัก ข้าทำใจดูนางไม่ได้จริงๆ"
เจ้าเมืองฝู เวยหนิง ถอดถอนใจ กลับหลังหันเดินออกนอกห้องพักของฝูกุ้ยหลันตัวจริง เมื่อสตรีวัยแรกสาว ผอมซูบ หนังหุ้มกระดูก ลมหายใจรวยรินใกล้สิ้นลมเต็มที นางเฟิงผู้เป็นสตรี แม้อยากหันหนี ก็จำต้องข่มอารมณ์ไว้ หย่อนกายลงนั่งข้างเตียง ขยับผ้าห่มปิดกายซูบซีดถึงช่วงคอ
"ท่านเซียน นางจะกลับเป็นเหมือนเดิมหรือไม่"
นายชางเป็นผู้เดียวที่หวั่นไหวต่อภาพเบื้องหน้าเพียงเล็กน้อย ด้วยเคยชินกับวิถีในสนามรบ จึงมีสติสมบูรณ์ ไต่ถามกับตงจิ้นทง ผู้ซึ่งยืนกอดอกพิงประตู มองคนของทางการเก็บข้าวของหลักฐานต่างๆยึดไว้เป็นของกลาง ตงจิ้นทงไม่ตอบ ทำเพียงชักกระบี่ส่งให้เซี่ยหยาง ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างบิดาเท่านั้น เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง เข้าใจความหมายของผู้อาวุโส และเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้วย จึงรับมาถือไว้ สองสามีภรรยาเห็นก็เข้าใจโดยพลัน ทว่า นายชางจับบ่ารั้งไว้ก่อน
"ข้าทำเอง"
"เจ้าห้ามจับกระบี่ข้าเชียว" ตงจิ้นทงห้ามไว้ นายชางจึงยืมอาวุธของมือปราบแทน
"นางแลกวิญญาณกับมาร หลันหลิงยังมีชีวิต นางจึงยังมีชีวิต ดาบมือปราบสังหารนางไม่ได้"
คำห้ามปรามบอกเจตนาชัดเจนว่าเซียนจวินต้องการให้เซี่ยหยางเป็นผู้ลงมือ บิดาจึงไม่อาจยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้บุตรชายเป็นผู้กระทำ เด็กหนุ่มสูดหายใจลึก เตรียมใจ ก้าวเข้าหาร่างสตรีผู้น่าเวทนา นางเฟิงยอมลุกหนี นายชางก็รั้งภรรยามากอดปลอบไว้ ตงจิ้นทงรอจนเซี่ยหยางหยุดอยู่ข้างเตียง จึงเอ่ยวาจา
"ตะวันแรงกล้าเพียงยามทิวา จันทราสง่าเพียงยามราตรี ไร้สิ่งยั่งยืน กำเนิดดับขันธ์ ล้วนคือวิถีสรรพสิ่ง"
คำกล่าวของเซียนจวิน ดั่งปลอบประโลมผู้อื่นภายในห้อง เซี่ยหยางกำกระบี่ในมือแน่นจนสั่น มองสตรีผู้น่าสงสาร เจ้าของรูปลักษณ์อันแสนงดงามของฝูกุ้ยหลัน หัวใจของเขาเบาโหวงด้วยเวทนาสุดกำลัง ยิ่งเห็นนางคลี่ดวงตามองเขาอย่างขอร้องอ้อนวอนให้ยุติความทรมาน มือของเขายิ่งสั่นเทา
"เซี่ยหยาง" นายชางนึกเห็นใจบุตร จะเข้าช่วย แต่ตงจิ้นทงกลับจับบ่าห้ามไว้ พลางกล่าว
"ยิ่งเจ้าลงมือช้าเท่าไหร่ นางยิ่งทรมานเท่านั้น"
"ท่านเซียน ลูกข้าไม่เคยสังหารผู้ใด อย่าว่าแต่คนเลย หนอนสักตัวยังไม่กล้า ให้ข้าทำเถิด"
"เจ้าคิดว่ากระบี่ข้าหลอมมาจากอะไร เจ้ารับได้หรือ"
เซียนจวินถามกลับ บิดาจึงไม่อาจก้าวก่ายได้อีก หันมองบุตรแทน
"เซี่ยหยาง เจ้าแทงลงไปตรงๆที่หัวใจของนาง สุดแรงที่เจ้ามี"
"ข้าทำไม่ได้..."
เด็กหนุ่มหันมาหาทั้งสามคน ตั้งท่าจะคืนกระบี่ให้ตงจิ้นทง ผู้อาวุโสกว่าไม่ยอมรับคืน
"นางถูกอาคมผูกวิญญาณ ไร้หนทางแก้ไข เมื่อลมหายใจสุดท้ายของนางสิ้นสุดโดยไร้ซึ่งสมดุลไอหยาง นางจะกลายเป็นกุ่ยเสิน* ออกล่าสังหารมนุษย์ ไม่ต่างจากหลันหลิง กระบี่เซียนมีไอหยาง หากเจ้าใช้กระบี่ข้าสังหารไม่ได้ เจ้าจะใช้ไอหยางใดปลดปล่อยนาง"
"ข้าเข้าใจ...ท่านลงมือเถอะ"
"เจ้าเด็กทึ่ม ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ คำสาบานของสำนักตงซาน ผู้ใดไม่ขอ ห้ามเข้าช่วย นางไม่ได้ขอให้ข้าทำ ซ้ำนางยังเป็นผู้บริสุทธิ์ หากข้าสังหารนาง ข้าจะกลายเป็นกุ่ยเซียน* มีแค่เจ้าที่ทำได้ เจ้ายังไม่สาบานวิญญาณ"
"ทำไมซับซ้อนนัก"
"เจ้าคิดว่าเซียนคืออะไร เหาะได้ ปล่อยไฟเผาโน่นนี่ได้เช่นเจ้าหรือ"
คำกล่าวของตงจิ้นทงพาให้นายชางและนางเฟิงเบิกตาตระหนกมองบุตรชาย เด็กหนุ่มกลับเอาแต่มือสั่น จ้องสตรีผู้อ่อนแรงเบื้องหน้าอย่างหวาดหวั่น แสงตะวันก็ใกล้ลัดขอบฟ้าเต็มทน ในที่สุด เซี่ยหยางก็ตัดสินใจ เงื้อกระบี่แทงผ่านหัวใจของนางเต็มแรง
"!!!"
ฝูกุ้ยหลันกรีดร้องสุดเสียง ลุกขึ้นนั่งตัวตรงคว้าจับลำคอเด็กหนุ่มบีบไว้แน่น บิดามารดาตื่นตระหนก ทำท่าจะเข้าช่วย ตงจิ้นทงก็สะบัดแขนเสื้อทีเดียว ผลักสองร่างกระเด็นออกนอกห้องไป พร้อมกับประตูปิดลง
"ลูกแม่!! ท่านเซียน ท่านเปิดประตูเดี๋ยวนี้"
นางเฟิงทุบประตูสุดแรงที่มี ตงจิ้นทงกลับกล่าวเสียงไม่ยี่หระกลับมา
"พวกเจ้าไม่เห็นหน้าต่างหรือ"
"ทางนี้"
นายชางรีบบอกภรรยาแล้วเปิดหน้าต่างออก ตั้งท่าจะเข้าช่วย แต่เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า เขาก็รั้งภรรยาถอยหลังแทน ทำเวยหนิงที่ชะเง้อมองสนใจล่าถอยตาม
ทั้งคู่เห็นบุตรชายตนเองถูกฝูกุ้ยหลันตัวจริง ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูก บีบคอแน่น แม้ว่าเด็กหนุ่มจะแทงกระบี่ทะลุแผ่นหลัง เรี่ยวแรงของนางไม่มีถดถอย ฝ่ายตงจิ้นทง อาศัยเซี่ยหยางถ่วงเวลา สกัดจุดนางผู้เคราะห์ร้ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วส่งฝ่ามือสุดท้ายกระแทกกลางอก พาร่างคลุ้มคลั่งหงายหลังตึง ขยับไม่ได้ ราวกับถูกเชือกล่องหนมัดไว้ เซี่ยหยางโก่งคอสำลักอากาศ ทั้งตะลึงทั้งตกใจมองนาง
"ผู้อาวุโส ทำไมนางไม่ตาย"
"นางผูกวิญญาณกับมาร หลันหลิงอยู่ นางยังอยู่"
"แล้วท่านให้ข้าแทงนางทำไม"
"ข้าแค่อยากรู้ว่าได้ผลหรือไม่"
"ท่านไม่รู้หรือว่าต้องทำยังไงหรือ?!!"
"เจ้าหนูพ่นไฟ ข้าเป็นเซียน ไม่ใช่หมอผี กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ถูกไอหยินมาร ปกติแล้วต้องนำกลับสำนักเซียน ล้างไอมาร แต่สถานการณ์ยามนี้คับขัน ข้าคิดออกได้เท่านี้"
"ตาแก่!! ท่านนี่มัน!!! ฮึ่ย...ข้าเชื่ออะไรท่านได้บ้าง!!"
"ไว้โกรธข้าที่หลังเถิด หลันหลิงรู้ตัวแล้ว กำลังคลายจุด อีกไม่นานนางได้ลุกขึ้นบีบคอเจ้าอีกแน่"
ฟังคำกล่าว เซี่ยหยางก็คิดหาหนทางแก้ไข มองฝูกุ้ยหลันเหลือกตาทุรนทุราย ปรากฏเงาหมีดำซ้อนร่างเลือนรางเป็นระยะ เขาครุ่นคิดอย่างหนัก พลันนึกได้ว่าตนสังหารปีศาจหมีตัวแรกเช่นใด
"ไอหยาง...ไฟคือหยาง ตาแก่ ถ้าข้าเผานาง พี่หลันจะหายไปด้วยหรือไม่"
"ถ้านางหายไป ไป๋อวิ๋นก็มาตามเจ้าเอง"
คำตอบของตงจิ้นทงไม่ได้ช่วยให้สบายใจสักนิด ซ้ำยังทำให้ลังเลกว่าเดิม เขามองร่างสตรีบนเตียง ซ้อนทับด้วยเงาหมีดำตัวใหญ่ ร้องตะโกนใส่เขา
"เซี่ยหยาง!!! ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!!!"
"ตาแก่ ท่านส่งศิลามาให้ข้า"
"เจ้าห้อยศิลาไว้บนคอเวยหนิงหลง ยังเผาป่าไกลเป็นร้อยหลี่ ต้องใช้มันอีกหรือ"
"ท่าน!! พูดจาโยกโย้ จะรับข้าเป็นศิษย์กลับไม่สอน ผู้ใดจะกล้าเป็นศิษย์ท่าน"
"เจ้าทึ่ม ข้าไม่สอนเจ้าตรงไหน"
"จะเถียงกันอีกนานหรือไม่ นางจะลุกขึ้นมาแล้ว"
นายชางเห็นทั้งสองโต้คารมดุเดือดก็ร้องเตือน เซี่ยหยางจึงสลัดความคิดออก เขาพยายามรวบรวมสมาธิ นึกถึงตอนเผาจานเป็ดตุ๋น หากแต่ฝ่ามือกลับไร้ซึ่งพลังใด ตอนนั้นเขามีศิลาอยู่ด้วย เพียงแค่คิด ไฟก็ออกมาแล้ว แต่ยามนี้ช่างยากเย็นนัก ไม่ว่าเพ่งสมาธิเท่าใด มือของเขาก็ว่างเปล่าอยู่ดี
"ว่างเปล่า...ไร้ยึดติด สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า"
เด็กหนุ่มหลับตาท่อง ปลดปล่อยทุกความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าให้หยุดนิ่ง ไม่ยึดถือ ไม่ควบคุม ไม่จดจำ ไม่เหนี่ยวรั้ง พลันสัมผัสถึงกระแสอุ่นในร่างกายกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ค่อยๆเคลื่อนย้ายมารวมอยู่ตรงกลางจิต ร้อนวูบจากทรวงอกถึงหน้าผาก ก่อคลื่นพลังบางอย่างราวกับหางเสือเรือ ส่งให้กลางฝ่ามือร้อนผ่าว เขาจำความรู้สึกนี้ได้ ยามลุแก่โทสะในป่าใหญ่
ขณะนั้น ตงจิ้นทงก้าวถอยหลัง เมื่อเห็นปานแดงบนหน้าผากแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์เปลวไฟ ไม่เพียงแค่เซียนจวิน บิดามารดาก็เห็นเช่นนั้น หากแต่เซี่ยหยางจดจ่อเพียงควบคุมพลัง ดวงตาสีเปลือกไม้มองสตรีเบื้องหน้า ผู้ซึ่งลุกขึ้นนั่ง กางกรงเล็บดั่งหมีอาละวาด ตั้งท่ากระโจนใส่เขา กลางฝ่ามือก็ปรากฏเปลวเพลิงระอุ มุ่งตรงสู่ร่างของนาง พาเงาหมีดำตัวใหญ่สลายไปในพริบตา เหลือเพียงร่างสตรีผู้อ่อนแรง หวนคืนสู่ความงดงามดั่งสาวแรกรุ่น ล้มลงฟุบกับเตียง
"...ขอบคุณ..."
น้ำเสียงอ่อนหวานกล่าวบอก ดวงตารื้นน้ำเต็มเปี่ยมด้วยความยินดี ก่อนจะหรี่ปิดดับแสงแห่งความทุกข์หมดสิ้นลง เซี่ยหยางมองภาพเบื้องหน้าทั้งเวทนาและเศร้าโศก ไม่อาจกลั้นน้ำตาอยู่ เขารู้สึกว่าตงจิ้นทงเดินมาซ้อนหลัง จึงรีบปาดน้ำตาออก
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าตลอด 1,550 ปี ที่ข้าบรรลุเซียน ไม่เคยรับศิษย์ เพราะเหตุใด"
ผู้อาวุโสถาม เด็กหนุ่มส่ายหน้าตอบ
"เพราะคนเหล่านั้นพ่นไฟไม่ได้...เจ้าพ่นไฟได้"
กล่าวจบ ตงจิ้นทงก็ตบบ่าเซี่ยหยาง 2-3 ที แทนการปลอบใจ แล้วกลับหลังหันเดินออกนอกห้องไป เด็กหนุ่มมองตามหน้าหงิก ดวงตายังรื้นน้ำอยู่ เมื่อวาจานั้นดูกวนอารมณ์มากกว่าปลอบโยน เขาหันมองพ่อแม่ที่ถอนหายใจโล่งอก ก็รีบปาดน้ำตาโดยเร็ว
------------------------------------------
"คุณหนูฝูถูกฝังรวมกับสกุลฝูเรียบร้อยแล้ว ก่อนตะวันตกดิน ส่วนจวนตระกูลฝูต้องปิดไว้ รอให้ทางการสืบสวนทรัพย์สิน เสร็จแล้ว คงต้องรื้อทิ้ง"
เวยหนิงกล่าวเสียงอ่อนกับครอบครัวเซี่ย ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในโถงรับรองพร้อมหน้าพร้อมตา เขามองเซี่ยหยางกอดกระบี่เซียนเอาไว้ นั่งอยู่ระหว่างนายชางและนางเฟิง ท่าทางไม่สดใสเท่าไหร่ ก้มหน้างุด คอยดึงผมปิดปานแดงตลอดเวลา จึงเอ่ยบอก
"หนิงหลงเป็นความภาคภูมิใจของข้าและบรรพบุรุษตระกูลเวย เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใด เซี่ยหยาง"
คำถามของผู้อาวุโสกว่า ทำเด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ เขาส่ายหน้าตอบ
"ที่ข้าภูมิใจกับหนิงหลง หาใช่ลาภยศ หรือตำแหน่งรองแม่ทัพ หรือแม้แต่ดาบคู่ใจของเขาที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้เขาด้วยพระองค์เอง แต่เป็นน้ำใจ และความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่ลังเลช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า หนิงหลงไม่ได้เสียสละชีวิตเพื่อให้เจ้าทุกข์ทรมาน ลูกข้าเพียงต้องการปกป้องให้เจ้าปลอดภัย ฉะนั้น เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ ให้สมกับที่ลูกข้าสละชีวิตปกป้องเจ้า"
คำกล่าวของผู้อาวุโส ทำเด็กหนุ่มน้ำตารื้น กำกระชับดาบไว้แน่น บิดามารดาเข้าใจความรู้สึก จึงไม่เอ่ยสิ่งใด ปล่อยให้บุตรครุ่นคิดด้วยตัวเอง
"นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกท่านพักที่จวนข้าก่อนเถิด เดินทางยามค่ำคืน อันตราย"
เวยหนิงกล่าวชวน ทั้งสามก็พยักหน้ารับ แต่แล้ว ตงจิ้นทงกลับเดินเข้ามายืนกอดอกพิงประตู เรียกสายตาคนทั้งหมดหันมอง โดยเฉพาะเซี่ยหยาง เขาลุกขึ้นยืน แสดงสีหน้าโล่งใจ โดยไม่รู้ว่านายชางมองอยู่
"ท่านเซียน หากท่านไม่ถือสาจวนเล็กๆของข้า ก็เชิญพักด้วยกันเถิด"
"ใต้เท้าเวย ข้ามิกล้าถือสา เกรงว่าจะถูกเวยหนิงหลงบั่นศีรษะเอากระมัง"
ตงจิ้นทงกับกล่าววาจาหยอกล้อไม่ถูกสถานการณ์ เปลี่ยนสีหน้าเวยหนิงสลดลง เซี่ยหยางจึงจ้องดุใส่
"ตาแก่ ท่านพูดอะไร"
"ผู้ใดหาญกล้าบั่นศีรษะเซียน คงหายไปจากโลกนี้เป็นแน่"
แต่แล้วน้ำเสียงหนึ่งก็โพล่งขึ้นตอบ เป็นเสียงที่ทำเวยหนิงตกตะลึง ลุกขึ้นยืนมองหาเจ้าของเสียง แค่ครู่ เวยหนิงหลงก็เดินผ่านหน้าตงจิ้นทงเข้ามาภายในห้องรับรอง เขายิ้มให้เซี่ยหยางทีหนึ่ง ก่อนจะตรงไปคำนับบิดา ผู้ซึ่งน้ำตานองหน้า มือสั่นเทา วิ่งเข้ามาหาแทบสะดุดเท้าตัวเอง
"ลูกพ่อ!! เจ้า...เจ้ายังไม่ตาย..."
ไม่เพียงแค่ใต้เท้าเวยหนิง เซี่ยหยางเองก็ดีใจจนยิ้มร่า แผ่ไอร้อนวาบกระจายทั่วทั้งห้อง มารดาจึงลุกขึ้น สวมกอดเขาเอาไว้ ด้วยเกรงว่าเวยหนิงจะรู้ว่ามาจากผู้ใด แม้ว่าช่วงเย็นเวยหนิงจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่นางไม่อาจมั่นใจว่าอีกฝ่ายคิดเช่นใด
"ท่านพ่อ ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน" เวยหนิงหลงลุกขึ้นยืน เอ่ยกล่าวกับบิดาด้วยความดีใจ
"ข้ารู้สึกเหมือนหลับไปชั่วขณะหนึ่ง ตื่นมาก็พบว่าอยู่ในกระท่อมริมน้ำ เห็นท่านเซียนยืนรอพาข้ากลับมา"
"ท่านเซียน ขอบพระคุณที่เมตตาลูกข้า ท่านเซียน"
เวยหนิงตรงมาคุกเข่าคำนับตงจิ้นทง เซียนจวินรีบจับรั้งตัวไว้ ปากก็อ้าจะบอกกล่าว เวยหนิงหลงกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"ท่านเซียน พระคุณของท่าน ข้าจะไม่ลืม"
เวยหนิงหลงตรงเข้ามาคำนับเบื้องหลังบิดา ฉวยโอกาสส่งสายตาห้ามปรามไว้ ตงจิ้นทงจึงต้องรับคำนับไปโดยปริยาย กระนั้นก็อดปรายตามองเซี่ยหยางไม่ได้
"พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด ข้าเพียงทำตามบัญชาสวรรค์ ที่รองแม่ทัพเวยรอดพ้นความตายมาได้ ล้วนเป็นพรจากเทพ หาใช่ข้าทั้งหมด"
ได้ยินคำกล่าว นายชางก็สลดสีหน้า เลี่ยงเดินออกจากห้องไป เซี่ยหยางเห็นดังนั้นก็ขอปลีกตัวจากมารดา วิ่งตามไปติดๆ เวยหนิงหลงทำท่าจะตาม ตงจิ้นทงก็ห้ามไว้ก่อน
"เฮ้! พวกเจ้าพ่อลูกคิดถึงกันไม่ใช่หรือ"
ได้ยินวาจาเซียนจวิน รองแม่ทัพหนุ่มจึงยั้งใจไว้ ไม่ติดตามไป
-------------------------------------
"พ่อ ท่านจะไปไหน รอข้าด้วย"
เซี่ยหยางวิ่งตามบิดาออกมาถึงกลางสวน เห็นนายชางยืนมองท้องฟ้ามืดมิด เกลื่อนไปด้วยแสงดาวเพียงลำพัง ก็รีบรุดไปยืนข้างๆ เงยมองตาม
"เซี่ยหยาง ยามพ่อออกรบ ต้องอาศัยแสงดาวพวกนี้นำทาง เดินทัพยามค่ำคืน ไม่ให้ศัตรูรู้ตัว ตำแหน่งพวกนี้เจ้าดูออกหรือไม่"
"ดูออกสิ ท่านสอนข้าตั้งแต่จำความได้ นั่นกลุ่มดาวนายพราน บอกฤดูกาล"
"แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าบนฟ้านั่น มีเทพสวรรค์อยู่"
"รู้สิ ท่านบอกข้าว่า ครั้งหนึ่งท่านบาดเจ็บหนักกลางป่า เฝ้ามองดวงดาวพวกนี้ ตอนเกือบจะสิ้นใจ ได้อธิษฐานขอให้มีชีวิตรอดกลับมาพบแม่ และท่านจะไม่พรากชีวิตผู้ใดอีก ตอนนั้นแม่อุ้มท้องข้าอยู่ ข้านึกว่าท่านล้อข้าเล่นด้วยซ้ำ อยู่แต่หมู่บ้านเซิน บาดเจ็บอย่างมากก็แค่ลื่นตกเขา มาวันนี้ ข้าจึงรู้ว่าท่านไม่เคยโกหกข้า"
"เจ้าคิดจะทำเช่นใดต่อ" บิดาหันกลับมาถามตรงๆ เด็กหนุ่มก็ตอบหนักแน่น
"ข้าจะกลับไปอยู่กับท่านกับแม่ ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว พ่อ ตาแก่เซียนเอาศิลาข้าไปแล้ว ท่านบอกข้าว่า ไม่มีศิลา ข้าอยู่หมู่บ้านเซินได้ ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่"
"ข่าวเจ้าพาเซียนมาช่วยเมืองฝู ลือเร็วยิ่งกว่าไฟต้องลม ยามนี้หมู่บ้านเซินคงรู้กันหมด เจ้าจะอยู่สู้สายตาชาวบ้านพวกนั้นได้หรือ"
"พ่อ...ท่านต้องการจะพูดอะไร"
เด็กชายเริ่มใจไม่ดี กำดาบแน่น นายชางหรุบมองเพียงนิด
"หากเจ้าไม่อยากเป็นเซียน เจ้าเก็บดาบท่านเซียนไว้กับตัวทำไม"
ฟังวาจาบิดา เขาก็พูดไม่ออก แรกเริ่มไม่คิดเป็นเซียนจริงๆ แต่เมื่อได้ปลดปล่อยอาคมมาร เห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของฝูกุ้ยหลันตัวจริงแล้ว เขากลับรู้สึกลังเลใจ บิดาเห็นกริยาสรรหาวาจาโต้ตอบ จึงลูบศีรษะแผ่วเบา
"เดิมข้าตั้งใจใช้อิทธิพลตระกูลฝู ปกป้องไม่ให้ผู้ใดล้อปานแดงของเจ้า จึงมีเพียงเวยหนิงเฉิงกล้าหาญผู้เดียว หาไม่แล้ว ทั้งโรงหนังสือคงกีดกัน แบ่งแย่งเจ้า ข้าไม่มีเจตนาให้เจ้ารับราชการ เพราะนั่นไม่ใช่หนทางที่เจ้าต้องแบกรับ เจตนาของข้า คือให้เจ้าเดินทางมาพบวาสนาของตัวเอง เซี่ยหยาง ท่านเซียนไว้ใจให้เจ้าถือกระบี่ แนะเพียงไม่กี่คำ เจ้าก็เข้าใจถ่องแท้ ทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข...มีวาสนาจึงพานพบ เจ้าเข้าใจที่พ่อพูดหรือไม่"
ฟังวาจาบิดา บุตรชายก็น้ำตารื้น กำกระบี่ในมือแน่น บิดาที่เอาแต่ว่ากล่าว ดุร้าย แท้จริงแล้วมีความรักต่อบุตรเช่นเขามากมายมหาศาลนัก
"ข้าจะกลับมาหาท่านบ่อยๆ โปรดเฝ้ารอข้า"
เด็กชายเซี่ยหยางโผเข้ากอดบิดาแนบแน่น ครู่หนึ่งจึงรู้สึกถึงอ้อมกอดของมารดาซ้อนทับอยู่ แม้ครั้งหนึ่งเขาเคยน้อยใจว่าเหตุใดต้องเกิดมาพร้อมตำหนิบนใบหน้า แต่ไม่เคยเสียใจสักครั้งที่ได้เกิดเป็นลูกของบิดามารดาผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ กล้าหาญ และเที่ยงตรง
"เจ้าหนูพ่นไฟ ข้ามาตามกระบี่คืน"
เพียงแค่ทั้งสามคลายอ้อมกอดต่อกัน ตงจิ้นทงก็โพล่งขึ้นกลางสวน เซี่ยหยางหันมอง พบว่าผู้อาวุโสยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองสบตาบิดามารดา เห็นว่าพยักหน้ารับ จึงกำกระบี่ไว้แน่น เดินตรงเข้าหา ตงจิ้นทงยืนมองในกริยาสงบ มือไพล่หลัง ไม่แสดงสีหน้าใด กระทั่งเด็กหนุ่มวัย 15 ปี คุกเข่าลงเบื้องหน้า ใช้มือทั้งสองประคองกระบี่มอบให้ ผู้อาวุโสจึงระบายยิ้มยินดี รับกระบี่มาถือไว้
"คำนับครั้งที่ 1 ลืมเลือนทิฐิ" เซียนจวินกล่าว เด็กหนุ่มโค้งคำนับตาม
"คำนับครั้งที่ 2 ลืมเลือนยึดถือ" เซี่ยหยางคำนับตามอย่างว่าง่าย
"คำนับครั้งที่ 3 ลืมเลือนตัวตน"
'ครึน'
เพียงแค่คำนับครั้งที่ 3 ฟากฟ้ามืดมิดกลับส่งเสียงคำรามลั่น เรียกสายตาเซี่ยหยางเงยมอง แต่กลับต้องตระหนก เมื่อผู้ซึ่งตนเพิ่งกราบเป็นอาจารย์ ก็คุกเข่าคำนับเขา 3 ครั้งเช่นเดียวกัน
"ตาแก่ เอ่อ...อาจารย์"
"เรียกทำไม เจ้าทำผิดต่อเทพบรรพกาลหรือ ถึงกลัวฟ้าร้อง"
"ท่านพูดอะไร เทพบรรพกาลคือสิ่งใด?"
เด็กหนุ่มถามแปลกใจ ตงจิ้นทงไม่ตอบ ทำเพียงลุกขึ้นยืน พลางรั้งแขนเขาลุกขึ้นยืนตาม
"เรื่องของเซียน มีเพียงเซียนรับรู้ เจ้าฝึกไปเรื่อยๆ จะรู้เอง"
กล่าวจบ เซียนจวินก็เดินไปหานายชายกับนางเฟิง ส่งถุงใบโตยื่นไว้ให้ ทั้งสองแม้ไม่อยากรับ ก็ยื่นมือรับไว้ ด้วยเป็นความปรารถนาของเซียนจวิน
"ฝึกเซียนนั้น กินเวลายาวนานหลายสิบปี พวกเจ้าเฒ่าชราขึ้นทุกวัน ไม่อาจตัดฟืนหาเงินต่อไปได้ตลอดชีวิต ซ้ำข้ายังพรากบุตรเพียงผู้เดียว ที่พึ่งพาของพวกเจ้าไป จงรับสินน้ำใจนี้ไว้ ดูแลตนเอง"
ฟังคำกล่าว สองสามีภรรยาก็พยักหน้ารับ ตงจิ้นทงหันมาหาเซี่ยหยางอีกครั้ง
"เมื่อถึงยามเหม่า ให้ออกไปพบข้าที่ประตูเมือง"
"ขอรับ อาจารย์"
เซี่ยหยางรับคำหนักแน่น ตงจิ้นทงจึงยิ้มรับ ก่อนจะร่ายอาคมหายตัวไปกลางอากาศต่อหน้าต่อตาเขา ปล่อยให้เด็กหนุ่มตะลึงค้าง
"ตาแก่หายตัวได้กลับหิ้วข้าเหาะข้ามภูเขา จงใจแกล้งข้าชัดๆ!"
-----------------------------------------------------------------------------------
*กุ่ยเสิน - ผีร้าย
*กุ่ยเซียน - เซียนที่กลายเป็นมาร