ตอนที่ ๕
'สวยหรือไม่'
'สวยมากเลยขอรับ'
น้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมดวงตากลมโตที่ฉายประกายพราวระริกทำให้คนมองยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเจ้าตัวแล้วออกแรงดึงให้ร่างผอมบางขยับเข้ามาใกล้ตนเองยิ่งขึ้น
'ชอบหรือไม่'
'ชอบขอรับ'
'มันเป็นของเจ้า'
สีหน้าตกใจที่ได้รับยิ่งทำให้คนมองรู้สึกอารมณ์ดีกว่าเดิม เครื่องประดับแสนสวยที่เพิ่งเอ่ยปากยกให้ถูกกลัดลงบนเสื้อของคนที่ทำได้เพียงนั่งอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
'รักษามันให้ดีเรวดี ข้ามอบมันให้เจ้าแล้ว'
'ข้า ข้า...'
ประโยคที่คิดจะพูดไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำได้เนื่องจากความประหม่าและตกใจ ดวงตากลมโตกระพริบปริบมองสลับระหว่างเครื่องประดับตรงหน้าอกของตนและใบหน้าของคนให้ด้วยท่าทางร้อนรน แต่ยังไม่ทันได้จิตตกไปมากกว่านั้นก็ถูกฝ่ามือแข็งแกร่งเอื้อมมาจับไหล่ไว้เพื่อเรียกสติ
'ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครกล้าว่าเจ้า เพราะข้าเป็นคนมอบให้เอง'
'ข้าไม่ได้กลัวคนว่าขอรับ แต่ของชิ้นนี้...'
'.....'
'ข้าไม่สมควร'
'ใครกล้าบอกว่าเจ้าไม่สมควรได้รับ ข้าจะสั่งประหารมันเสีย'
เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังคงมีท่าทีลำบากใจคนที่ตั้งใจจะให้จึงแกล้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พอประกอบเข้ากับดวงตาเรียวคมที่วาวโรจน์ขึ้นก็ทำให้คนฟังตกใจจนสะดุ้ง ก่อนจะรีบเอื้อมมือออกไปเกาะแขนไว้แล้วส่ายหน้าเสียจนเส้นผมกระจายไปมาอย่างน่าเอ็นดู
'ไม่มีขอรับ ไม่มีใครพูดทั้งนั้นขอรับ'
'ถ้าไม่มีใครพูดก็ดี ส่วนเจ้าก็ติดมันไว้อย่างนี้ให้ข้าได้เห็นทุกวัน'
คำสั่งที่ได้รับทำให้ใบหน้าขาว ๆ พยักกลับไปอย่างจำยอม เห็นแบบนั้นคนที่มีศักดิ์สูงกว่าก็ยิ่งยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะคว้าเอาร่างนุ่มนิ่มเข้ามากอดไว้แล้วกดจมูกลงบนผิวแก้มใสอย่างอดใจไม่อยู่
'อ๊ะ!'
เสียงร้องอย่างตกใจของเรวดีไม่ได้ทำให้คนฉวยโอกาสคิดจะหยุดการกระทำของตนเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเลื่อนไปหอมแก้มอีกข้างของเจ้าตัวด้วย ทำเอาผิวแก้มขาว ๆ ของผู้ถูกกระทำขึ้นสีอมชมพูอย่างน่ารักให้คนเห็นยิ่งรู้สึกเอ็นดูขึ้นไปอีก
'ฮ่า ๆ ๆ'
เสียงหัวเราะของคนช่างแกล้งยิ่งดังขึ้นอย่างชอบใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วดึงเอาร่างของอีกฝ่ายมากอดไว้ ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบกลุ่มผมสีเข้มเบา ๆ ก่อนจะกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มที่ก้องกังวานไปทั้งหัวใจของคนฟัง
'ข้ารักเจ้า เรวดี'
'ข้าก็รักท่าน...'
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
"อือ..."
เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเปลือกตาที่ค่อย ๆ ขยับไปมาทีละนิด ดวงตากลมโตกระพริบปริบอยู่ 2-3 ครั้งเพื่อปรับให้ชินกับแสง ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นนั่งนิ่ง ๆ อยู่อีกสักพักเพื่อเรียกสติสตังที่ลอยหายไปจากการนอนหลับพักผ่อนให้หวนคืนกลับมา
ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อให้ตื่นเต็มตา ก่อนที่สมองจะไพล่คิดไปถึงความฝันที่เขาได้เห็นมาเมื่อคืน...
ฝันอันแสนหวาน...
ที่แม้จะมองเห็นทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนักจากความพร่ามัว แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสุขที่โอบล้อมคนทั้งคู่ไว้
"เรวดี...เรวดีงั้นเหรอ"
น้ำเสียงไพเราะน่าฟังพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เมื่อเกิดความรู้สึกผูกพันกับชื่อนี้อย่างน่าประหลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจแล้วรีบลงจากเตียง เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาว่าตอนนี้สายกว่าเวลาปกติที่ควรจะตื่นขึ้นมาเกือบสิบนาทีแล้ว
คนตื่นสายต้องรีบจัดการตัวเองให้เร็วขึ้นเพื่อชดเชยกับเวลาที่นอนเกินไป เพราะฉะนั้นจากที่เคยทำทุกอย่างในเวลาครึ่งชั่วโมง ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ยี่สิบนาทีให้เจ้าตัวได้วิ่งออกจากบ้านพักมายืนถอนหายใจเฮือกเพราะทันเวลาได้อย่างฉิวเฉียดอยู่ที่หน้ารถ
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับทาร่า"
"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ"
พูดจบเจ้าตัวก็ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบครบทุกซี่ให้อาเธอร์ได้หลุดอมยิ้มตามเมื่อเห็นท่าทางนั้น ก่อนฝ่ามือใหญ่จะผายไปทางรถเป็นเชิงบอกว่าถ้าไม่มีอะไรก็ขึ้นประจำที่ได้แล้ว จะได้ออกเดินทางไปเริ่มทำงานในส่วนของวันนี้กัน
ระหว่างทางทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ภายในรถจึงไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นเลย นายทหารสองคนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับและที่นั่งข้างคนขับก็ไม่กล้าพูดอะไรอยู่แล้ว ส่วนอาเธอร์ก็เอาแต่นั่งเงียบตามแบบฉบับของตัวเอง ในขณะที่ธาราก็เอาแต่วนเวียนคิดถึงความฝันเมื่อคืน
ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย...
ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงฝันแบบนี้ได้ จะว่าจริงจังกับงานจนเกินไปก็...
ก็อาจจะเป็นไปได้
แต่ถึงยังไงเขาก็ยังค่อนข้างจะเชื่อว่ามันไม่ใช่ฝันธรรมดาอยู่ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่เห็นหรือได้ยินทุกอย่างเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเสียงจะอู้อี้ไปหน่อยแต่ก็จับใจความสำคัญได้ทั้งหมด ยิ่งรวมกับชื่อที่ได้ยินเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองฟังมาไม่ผิดแน่
เรวดี
ไม่รู้ว่าชายคนนี้มีความสำคัญยังไง แต่ถึงขั้นได้รับเครื่องประดับฝังอัญมณีไว้ติดตัว ดูแล้วคงน่าจะเป็นคนโปรดของใครสักคนที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูง หรืออาจจะถึงขั้นเป็นใครสักคนในราชวงศ์เลยด้วยซ้ำเพราะจากการแต่งตัวที่เห็นราง ๆ ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับดูมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แล้วไหนจะ...
"คุณ"
เสียงเรียกที่ได้ยินทำให้ธาราที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองสะดุ้งตัวนิด ๆ ดวงตากลมโตกระพริบปริบมองคนเรียกกลับไปอย่างสงสัย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อเห็นว่าตอนนี้รถจอดนิ่งสนิทอยู่ที่กระโจมใกล้ ๆ นครสาบสูญเรียบร้อยแล้ว และทุกคนก็ลงจากรถอย่างพร้อมทำงานกันแล้วด้วยเหมือนกัน จะมีก็แต่ตัวเขาเองที่ยังเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ในรถไม่ยอมขยับไปไหน
"ขอโทษทีครับ ผมจะรีบลงไปเดี๋ยวนี้แหละ"
พอรู้สึกตัวคนที่เอาแต่ติดอยู่ในภวังค์ของตัวเองมาตลอดทางก็รีบกุลีกุจอลงจากรถทันที ทำให้อาเธอร์ที่ยืนอยู่ข้างรถต้องรีบเข้ามาช่วยจับแขนจับมือลงอย่างเป็นห่วง เพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะรีบลงจนตกรถแล้วได้แผลเอา
"ค่อย ๆ ลงก็ได้ครับ"
"ขอโทษจริง ๆ นะครับ เมื่อกี้ผมมัวแต่เหม่อ"
"ไม่เป็นไรครับ แต่คุณไหวจริง ๆ ใช่ไหม"
"หือ?"
"ผมเห็นคุณแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว"
พูดไปอาเธอร์ก็มองสำรวจคุณนักโบราณคดีที่ตอนนี้รีบเดินจ้ำอ้าวเข้าด้านในไปด้วย สองขายาว ๆ ของทหารหนุ่มเร่งฝีเท้าตามไปอย่างนึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย กลัวว่าเกิดเดินอยู่ดี ๆ จะเป็นล้มเป็นแล้งไปซะดื้อ ๆ ไม่รู้ว่าคุณเขาพักผ่อนน้อยหรือเครียดกับงานเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ดูเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้
"ผมไม่เป็นไรหรอกครับ แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"
"อย่าหักโหมมากแล้วกันครับ"
"ครับผม"
เห็นอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มหวานเหมือนอย่างทุกทีอาเธอร์ก็ได้แต่พยักหน้ารับกลับไป แม้ภายในใจจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรว่าเจ้าตัวจะยอมทำตามที่เขาบอก
"ผมจะเดินไปส่งแล้วกันครับ"
สุดท้ายพอไม่รู้จะจัดการกับคนดื้อยังไงอาเธอร์เลยพูดขึ้นแบบนั้นแล้วยิ่งเร่งฝีเท้าเข้าไปเดินขนาบข้างแทน เสียงหัวเราะคิกคักจากคนข้าง ๆ ที่ได้ยินไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนหรืออย่างไร อยากขำนักก็ขำไป เพราะมันก็ฟังดูตลกจริง ๆ นั่นแหละที่เขาบอกว่าจะเดินไปส่งทั้งที่เหลืออีกไม่เกินยี่สิบก้าวก็จะถึงจุดที่เจ้าตัวทำงานอยู่แล้ว
แต่ก็นั่นแหละ...
คนมันเป็นห่วงจะให้ทำยังไงได้ล่ะ
ยิ่งช่วงนี้เห็นเจ้าตัวมีอาการแปลก ๆ หลายรอบแล้วด้วย เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คืออยู่เฝ้าไว้ไม่ให้คลาดสายตานี่แหละ
"หัวหน้าครับ"
ขณะที่เดินกันจนใกล้ถึงจุดที่ธาราทำงานค้างไว้ จู่ ๆ ก็มีนายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาเรียกอาเธอร์ซะก่อน คนเป็นหัวหน้าหันไปมองลูกน้องสลับกับคุณนักโบราณคดีที่กำลังเดินห่างออกไปอย่างใช้ความคิด แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะรอฟังรายงานแทนเพราะดูแล้วว่าธาราไม่น่าจะเป็นอะไร อีกอย่างจุดที่เจ้าตัวต้องไปทำงานต่อก็อยู่ในระยะสายตาของเขาพอดีแม้จะห่างไปหน่อยก็ตาม
ทางด้านธาราที่เห็นว่าอาเธอร์ต้องคุยกับลูกน้องของเจ้าตัวก็เดินลิ่ว ๆ ไปยังจุดที่ทำงานของตัวเองทันที พอมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือทำงานต่อได้โดยไม่เสียเวลาสักนิด ดวงตากลม ๆ จับจ้องไปยังสิ่งของตรงหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนเจ้าตัวจะสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกจากทางด้านหลัง และ...
เสียงกระซิบตรงข้างหูที่ทำให้ขนทั่วทั้งตัวพากันลุกชันด้วยความตกใจ
...เรวดี...
"ทาร่าครับ"
เสียงเรียกของอาเธอร์ที่ดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกันพอดี ทำให้ธารารีบทะลึ่งพรวดขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ใบหน้าขาว ๆ ในตอนนี้ซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด ลมหายใจปนหอบน้อย ๆ พร้อมเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดขึ้นมาตามไรผม สภาพโดยรวมในตอนนี้ดูไม่สู้ดีนักจนอาเธอร์ที่เห็นแบบนั้นอดจะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือใบหน้าขาวซีดที่ดูเหมือนเจ้าตัวมีอะไรอยากจะบอกสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรกลับมาแทน
"ไม่เป็นไรครับ"
"ถ้าไม่ไหวเราออกไปพักกันก่อนก็ได้นะครับ"
"ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ"
"แน่ใจนะครับ"
"ครับ ว่าแต่คุณเรียกผมทำไมเหรอ"
พอได้พักสงบสติอารมณ์แม้จะเป็นเวลาแค่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ธาราพอจะควบคุมตัวเองได้บ้าง แม้ว่าสัมผัสเย็นยะเยือกและเสียงกระซิบชวนผวานั่นจะยังติดอยู่ในความทรงจำก็ตาม
ทางอาเธอร์ที่เห็นว่าอีกฝ่ายพาเปลี่ยนไปเรื่องอื่นเหมือนไม่อยากพูดถึงก็เลือกที่จะไม่ถามต่อเหมือนกัน แม้ความจริงจะนึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยก็เถอะ
ดูท่าแล้ว...
เรื่องที่คิดว่าจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตา คงต้องได้เริ่มทำจริงกันแล้วล่ะ
"เราเจอทางเชื่อมที่ต่อไปยังห้องอีกห้องครับ"
"เอ๊ะ?"
"จะไปดูไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป"
"ไปครับ"
พอได้คุยเกี่ยวกับเรื่องงานปุ๊บธาราก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไปเสียสนิท ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายอย่างตื่นเต้นจนอาเธอร์ที่นึกเป็นห่วงอยู่เมื่อครู่ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของนายทหารหนุ่ม ก่อนฝ่ามือใหญ่จะผายออกไปด้านหน้าแล้วตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มอันเป็นเอกลักษณ์
"ทางนี้ครับ"
"คุณดูแลดีมากเลยนะครับ ทำงานกับใครคงได้คำชมเยอะแน่เลย"
พูดไปเจ้าตัวก็ยิ้มหวานจนตาหยีไปด้วย ทำเอาอาเธอร์ได้แต่อมยิ้มตามไปอย่างอดไม่ได้ ขณะที่ในใจก็ตอบกลับไปอย่างขำ ๆ ว่าเพิ่งจะมีเจ้าตัวนี่แหละที่เขาดูแลให้เป็นพิเศษขนาดนี้
ระหว่างที่เดินกันไปคุยกันไปได้ไม่นานเท่าไรทั้งคู่ก็มาถึงห้องที่อาเธอร์บอกไว้ ซึ่งพอเข้ามาเห็นจริง ๆ แล้วมันมีขนาดใหญ่ไม่น้อยไปกว่าห้องโถงกลางเลยสักนิด ตามผนังมีลวดลายที่สลักไว้อย่างสวยงาม ซึ่งทั้งหมดนั่นล้วนเป็นตัวอักษรที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นไว้จนสูงจรดเพดาน
"นี่มัน..."
พูดได้แค่นั้นธาราก็แทบจะวิ่งเข้าไปซบผนังด้วยความตื่นเต้น ปลายนิ้วแทบจะไล้ไปตามตัวอักษรทุกตัวแต่ก็เลือกที่จะทิ้งระยะห่างไว้ไม่ให้สัมผัสโดน ดวงตากลมโตเงยขึ้นมองที่ด้านบนสุดของห้อง ตามเพดานก็ยังมีภาพวาดที่แสดงถึงอารยะธรรมในยุคสมัยนั้นไว้อย่างหลากหลาย
"สุดยอดไปเลย"
อาเธอร์พยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคที่ได้ยินทันที แม้ตัวเขาจะไม่เข้าใจภาษาพวกนี้แต่ก็อดชื่นชมไปกับความสวยงามที่เห็นไม่ได้ ทั้งในใจยังแอบคิดว่าในยุคสมัยนั้น อาณาจักรแห่งนี้คงต้องรุ่งเรืองมากแน่ ๆ
...หึ...
เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกที่ดังขึ้นข้างหูทำให้อาเธอร์รีบหันขวับกลับไปมองทันที หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นเมื่อสิ่งที่เห็นมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ดวงตาเรียวคมกวาดมองไปทั่วทั้งห้องโถงเมื่อสัญชาตญาณภายในร้องเตือนว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะเขาหูแว่วไปเอง แต่มันมีอะไรบางอย่างที่มาส่งเสียงหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ จริง ๆ ความเครียดและความกดดันที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้อาเธอร์เผลอขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนขึ้นมา ร่างสูงใหญ่รีบเดินเข้าไปหาธาราที่ยังนั่งอ่านบันทึกอย่างตื่นเต้นโดยไม่รู้เรื่องอะไร
"...นครแห่งมหาอำนาจ ความรุ่งเรือง มั่งคั่ง..."
น้ำเสียงไพเราะไล่อ่านบันทึกเรื่องราวแรกเริ่มที่เกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่ที่ฝั่งหนึ่งของห้อง จนไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้อาเธอร์กำลังพบเจอกับเรื่องผิดปกติบางอย่างอยู่ ดวงตากลมโตไล่ไปตามอักษรแต่ละตัวแล้วเริ่มประมวลผลตามไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่านี่จะเป็นบันทึกของกษัตริย์รุ่นที่หก เพราะเริ่มมาเข้าเรื่องตอนที่มเหสีของกษัตริย์รุ่นที่ห้ากำลังประสูติโอรส...
"โอรสสองพระองค์...แฝด?"
ธาราพึมพำกับตัวเองอย่างค่อนข้างตกใจ ซึ่งความจริงมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีเด็กแฝด แต่ถ้าเด็กที่เกิดในราชวงศ์เป็นแฝดเด็กผู้ชายทั้งคู่ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่แบบนี้ แล้วเรื่องบัลลังก์ล่ะ?
"นี่คงไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการล่มสลายหรอกนะ..."
"ทาร่าครับ"
"ครับ?"
จู่ ๆ ก็โดนเรียกแบบไม่ทันตั้งตัวธาราเลยรีบหันไปตอบรับอย่างไว ใบหน้าขาวใสเงยขึ้นมองเป็นเชิงถาม แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของอาเธอร์ก็พลอยให้ใจหล่นวูบ รีบผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่อิดออดงอแงจะอยู่อ่านต่อแต่ประการใด
"เราออกจากที่นี่กันก่อนเถอะครับ ไว้ผมให้คนมาเคลียร์เรียบร้อยแล้วคุณค่อยเข้ามาใหม่"
"ได้ครับ"
"งั้นไปครับ"
ปัง!
ทันทีที่ทั้งคู่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังทางออก เสียงเหมือนของหนักกระทบกันอย่างแรงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังจนอาเธอร์ต้องรีบคว้าตัวธารามากอดไว้เพื่อความปลอดภัย มือหนึ่งกอดไหล่แล้วดึงอีกฝ่ายเข้าหาตัวในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ควักปืนขึ้นมาจ่อไปยังทิศทางของเสียงได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อ
และเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นจริงเมื่อทางที่อาเธอร์หันไปนั้น...
ไม่มีอะไรอยู่เลย
ยิ่งเห็นแบบนั้นอาเธอร์ก็ยิ่งเครียดหนัก เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เสียงดังจนพื้นแทบสะเทือนขนาดนั้นแต่กลับไม่มีร่องรอยให้เห็นเลยว่าเกิดจากอะไร และยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่จะเกิดมาจากที่อื่น เพราะเสียงมันใกล้มากจนเหมือนเกิดขึ้นด้านหลังพวกเขาไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่พอหันกลับมาดันไม่มีอะไรอยู่เลย
ธาราที่ตกใจมุดไหล่อาเธอร์อยู่พอไม่ได้ยินเสียงอะไรตามมาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นอย่างหวาด ๆ ดวงตากลมโตกวาดไปโดยรอบเพื่อมองหาที่มาของเสียง แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนสุดท้ายก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่าเหมือนกัน
"เมื่อกี้เสียงอะไรเหรอครับ"
"ผมก็ไม่รู้ครับ แต่เรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า"
"ครับ"
พอได้รับการพยักหน้าตอบกลับมาอาเธอร์ก็รีบเก็บปืนแล้วปล่อยให้ธาราได้เป็นอิสระ ก่อนจะพาเจ้าตัวมุ่งหน้าไปยังทางออกให้เร็วที่สุด ฝ่ามือใหญ่แตะลงที่กลางแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ด้านหน้าเบา ๆ เป็นเชิงเร่งในขณะที่ตัวเองก็สาวเท้าตามโดยไม่ทิ้งระยะห่างเลยแม้แต่น้อย
"....."
ทันทีที่มาถึงทางออกก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกโล่งเกิดขึ้นจนอดจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ ไม่ได้ อาเธอร์เหลือบตากลับไปมองภายในห้องโถงอีกครั้งก่อนจะดันหลังธาราให้เดินออกจากห้องนี้ไปด้วยกันซึ่งเจ้าตัวเองก็ทำตามโดยไม่ค้านอะไร เพียงแต่...
จังหวะที่กำลังจะออกไปกลับเกิดความอยากรู้ขึ้นมา
ดวงตากลมโตเหลียวกลับไปยังทิศทางที่ตัวเองนั่งอ่านบันทึกเมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้ง หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อดูชื่อที่อ่านค้างไว้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับไปอีก
อามลินท์ และ อารีมาน
tbc…