ตอนที่ 64 โอสถเร่งรวมพลัง
ท่ามกลางสายตาสำรวจคาดเดาของฝูงชน มีชายชราสวมชุดสีเทาท่านหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้ม เขาโค้งคำนับคารวะ “คารวะใต้เท้า ข้าน้อยแซ่จู เป็นรองหัวหน้าผู้ดูแลที่นี่ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีอะไรให้กระผมช่วยรึขอรับ?”
เฟิ่งจิ่วที่มองไปรอบๆ ดึงสายตากลับมามองผู้ดูแลตรงหน้า เธอกล่าวว่า “หาห้องส่วนตัวที่สามารถชมการต่อสู้บนลานประลองให้ข้าสักห้องสิ”
ได้ยินเช่นนั้น รองหัวหน้าผู้ดูแลก็ยิ้มๆ เขากล่าว “เชิญใต้เท้าตามกระผมมา ลานประลองอยู่ด้านหน้าขอรับ” เขานำทางอยู่เบื้องหน้า พาเฟิ่งจิ่วไปยังห้องส่วนตัวที่ชั้นสองของลานประลอง
“เชิญใต้เท้าลองดู ท่านพอใจหรือไม่ขอรับ” หลังจากเปิดหน้าต่างให้ เขาก็ถอยมาอยู่ข้างๆ
เฟิ่งจิ่วเดินไปด้านหน้า เห็นเพียงลานกว้างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านล่าง บริเวณรอบๆ นอกจากที่นั่งแต่ละแถวตรงชั้นหนึ่ง ชั้นสองทั้งหมดก็เป็นห้องส่วนตัว ทั้งบนล่างรวมสองชั้นรับรองคนได้เกือบพัน
และตอนนี้เอง บนลานประลองมีนักรบสองท่านกำลังต่อสู้กัน ฉากเบื้องหน้าช่างเข้มข้นอย่างมาก เสียงกู่ร้องของผู้ชมรอบๆ ต่างแซ่ซ้องกันล้นหลาม
“จุดที่พวกเราอยู่ตรงนี้เป็นตลาดย่อย มีแค่ลานประลอง ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงมีป้ายรายชื่อสีเหลืองอยู่เพียงป้ายเดียว หากวันใดใต้เท้าไปถึงเมืองอวิ๋นเยวี่ย ก็ลองไปดูที่ตลาดหลักของพวกเราได้ มีเพียงทางด้านนั้นถึงจะมีป้ายรายชื่อผู้มีพลังเร้นลับในใต้หล้าทั้งสามป้ายใหญ่ตั้งอยู่ขอรับ”
เห็นเฟิ่งจิ่วกำลังมองโดยไม่พูดไม่จา ผู้ดูแลจึงพูดอย่างยิ้มๆ อีกว่า “หากใต้เท้าสนใจ ท่านสามารถวางเดิมพันเพื่อซื้อตัวนักรบผู้ชนะที่ท่านถูกตาต้องใจได้ อัตราการต่อรองอยู่ที่หนึ่งต่อสิบขอรับ”
เพียงมองอยู่สักพัก เฟิ่งจิ่วก็ดึงสายตากลับอย่างไม่สนใจนัก เธอมองไปทางผู้ดูแล แล้วถามว่า “ที่นี่พวกท่านมีนักวิเคราะห์หรือไม่?”
ผู้ดูแลนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “มีขอรับ ไม่ทราบว่าใต้เท้าอยากวิเคราะห์สิ่งใด?”
“พวกยาน่ะ”
ได้ยินคำพูดนั้น บนใบหน้าผู้ดูแลก็มีความจริงจังอยู่บางส่วน “ใต้เท้าโปรดรอสักครู่ เดี๋ยวกระผมจะไปเชิญนักวิเคราะห์มาขอรับ” ขณะที่พูด เขาโค้งตัวคารวะ ถึงจะถอยออกไป
ในเวลานั้นที่ประตูปิดลง ผู้ดูแลหันมองกลับไปที่ห้องแวบหนึ่งอย่างมีความนัย จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าจากไป
เวลาประมาณครึ่งก้านธูป ผู้ดูแลจูก็พาชายชราสองท่านกลับมา พอเข้าประตู เขาแนะนำอย่างยิ้มแย้มกับเฟิ่งจิ่วว่า “เรียกใต้เท้า ท่านผู้นี้แซ่ต่ง เป็นหัวหน้าผู้ดูแลตลาดมืดของพวกเรา ส่วนท่านนี้ เติ้งเหล่า เป็นนักวิเคราะห์ยาของพวกเราขอรับ”
ทั้งสองท่านที่เข้ามา พินิจมองคนในห้องอย่างสงบนิ่ง
เห็นเขาในชุดแดงนั่งเอียงตัวไปทางหน้าต่าง มือหนึ่งเท้าคางมองการแข่งขันบนลานประลองด้านล่าง บนหน้ากากสีทองมีดอกลำโพงแห่งแดนนรกที่งามตาผลิบานอยู่ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายมนต์เสน่ห์แสนร้ายกาจ ทว่าในกลิ่นอายนี้กลับยังมีความสูงศักดิ์ที่สูงส่งเกินอาจเอื้อม ทำให้ผู้คนหวั่นเกรงขึ้นในใจอย่างไม่อาจควบคุม
ขณะที่เขาได้ยินเสียงจนหันกลับมามอง แววตานั้นลึกล้ำราวกับบ่อน้ำที่ไม่อาจมองเห็นก้นบึ้ง มันมีความเอื่อยเฉื่อยอยู่สามส่วน กับความหลักแหลมอีกเจ็ดส่วน
เพียงพินิจมองภาพตรงหน้า ทั้งสองก็รู้ ว่าชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าน้อยแซ่ต่ง ขอคารวะใต้เท้า ไม่ทราบว่าใต้เท้าต้องการวิเคราะห์ยาแบบไหนขอรับ?”
ยา คือสิ่งที่ต้องฝึกฝนการเป็นนักปรุงยาถึงจะผสมออกมาได้ ไม่ต้องพูดถึงหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขาเลย ต่อให้เป็นเมืองอวิ๋นเยวี่ย ก็เกรงว่าจะพบได้น้อยยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ได้ยินว่ามีคนต้องการวิเคราะห์ยา เขาจึงเร่งรีบมา
เฟิ่งจิ่วมองพวกเขา จากนั้นจึงหยิบขวดใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อส่งให้ผู้ดูแลจูที่อยู่ข้างๆ น้ำเสียงเฉื่อยชาดังลอยมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ขวดนี้คือโอสถเร่งรวมพลัง มันทำให้คนที่พลังเร้นลับอ่อนแรงสามารถระเบิดพลังออกมาได้เป็นสามเท่าจากปกติในเพียงชั่วครู่ และจะคงอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม”
“อะไรนะ?” ทั้งสามคนในห้องอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ
…………………………………………………….