‘โจวหมิงรุ่ย’ ทำพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาจนได้เดินทางข้ามโลกมาอยู่ในร่างของ ‘ไคลน์ โมเร็ตติ’ ใครจะคิดว่าศีรษะของร่างใหม่นี้ กลับปรากฏรอยกระสุนตรงขมับ เป็นแผลเหวอะหวะน่ากลัว ปืนลูกโม่วางแน่นิ่งอยู่ภายในห้อง ทั้งยังพบข้อความทิ้งไว้บนโต๊ะ ทุกคนต้องตาย รวมถึงเรา เขาฆ่าตัวตายไม่ผิดแน่ แต่ด้วยสาเหตุใดไม่มีใครทราบ บนโลกที่คล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู โลกที่มีพระจันทร์สีเลือดลอยเด่นเหนือท้องฟ้า โจวหมิงรุ่ยกลับพบว่า เขาอาจไม่ใช่ผู้เดียวที่เดินทางข้ามทางโลกมายังที่แห่งนี้ เมื่ออดีตมหาจักรพรรดิของโลกนี้เมื่อร้อยปีก่อนทิ้งไดอารีล้ำค่าที่เขียนเป็นภาษาจีนเอาไว้ ไดอารี่ที่่ไม่มีผู้ใดอ่านออก นอกจากโจวหมิงรุ่ยคนเดียว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจใช้ร่างใหม่กับ ‘ข้อมูลอันล้ำค่า’ นี้สืบหาสาเหตุการฆ่าตัวตาย ไปพร้อมๆ กับพยายามหาหนทางกลับสู่โลกเดิมที่จากมา...
ราชันเร้นลับ 1 : แดงฉาน
เจ็บ!
เจ็บฉิบ!
ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้!
ดินแดนความฝันอันแปลกประหลาดที่เปี่ยมด้วยเสียงเพรียกหาลึกลับพลันแหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว โจวหมิงรุ่ยผู้กึ่งหลับกึ่งตื่นรู้สึกเพียงเจ็บแปลบที่ศีรษะอย่างประหลาด ประหนึ่งถูกทุบด้วยท่อนเสาเหล็กแรงๆ ไม่สิ ระบุให้ชัดคือ เป็นความเจ็บปวดราวกับถูกสิ่งของแหลมคมเสียบทะลวงขมับพลางคนกวนให้ยุ่งเหยิง!
ซี้ด... ระหว่างที่สะลึมสะลือโจวหมิงรุ่ยอยากพลิกตัว อยากเงยหน้า อยากลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่ว่าจะสองมือหรือสองเท้าก็ล้วนมิอาจขยับเขยื้อนได้ดั่งใจ ราวกับร่างกายนี้มิใช่ตนที่เป็นเจ้าของ
บางที เราอาจยังไม่ตื่นดี นี่คงเป็นเพียงความฝันเสมือนจริง… ใช่แล้ว เราอาจคิดไปเองว่ากำลังตื่นอยู่ แต่แท้จริงแล้วกำลังหลับ...
เพราะไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ปัจจุบัน โจวหมิงรุ่ยพยายามตั้งสติเพื่อสลัดความดำมืดที่เป็นดั่งฝันร้ายออกไป จิตใจกำลังฝืนเอาชนะร่างกายที่ถูกพันธนาการ แต่ด้วยสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เจตจำนงอันแรงกล้ากลับบางเบาราวกลุ่มหมอก ห้วงความคิดไม่ปะติดปะต่อและยากจะควบคุม ไม่ว่าจะพยายามฝืนสักเพียงใด แต่ความคิดต่างๆ ก็ยังฟุ้งซ่านไม่หยุด
ทำไมจู่ๆ ถึงปวดหัวกลางดึก?
แถมยังเจ็บบัดซบขนาดนี้!
หรือจะเป็นอาการเลือดคั่งในสมอง…
บ้าจริง นี่เรากำลังจะตายทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นเนี่ยนะ!
รีบตื่นเร็วเข้า! ตื่น!
อา… ตอนนี้เหมือนไม่ค่อยเจ็บแล้ว แต่ในหัวเหมือนกับมีบางสิ่งคล้ายมีดทื่อกำลังบรรจงสับสมองเราอย่างเชื่องช้าอยู่…
คงนอนต่อไม่ได้แน่ แล้วเราจะไปทำงานพรุ่งนี้ได้ยังไง
เดี๋ยวสิ นี่เรายังคิดจะไปทำงานอีกหรือ ปวดหัวขนาดนี้ ต้องลาป่วยอยู่แล้ว! ไม่ต้องกลัวผู้จัดการพูดจิกกัดหรอก!
พอคิดแบบนี้ก็เหมือนไม่แย่เท่าไหร่ ฮะๆ อย่างน้อยก็ได้ลาหยุดหนึ่งวัน
หลังจากความรู้สึกคล้ายสมองถูกกรีดแทงจบลง โจวหมิงรุ่ยเริ่มมีกำลังวังชากลับคืนมาอย่างน่าประหลาด จนกระทั่งสามารถเหยียดตัวหลังตั้งตรง ดวงตาสองข้างลืมขึ้นพลางสลัดอาการกึ่งกลับกึ่งตื่นเมื่อครู่ได้เป็นปลิดทิ้ง
ภาพการมองเห็นพร่ามัวอยู่สักพักจึงค่อยปรับสายตาให้ชินกับบรรยากาศรอบข้างที่มีสีออกแดงระเรื่อได้ โจวหมิงรุ่ยมองเห็นโต๊ะไม้ตั้งวางอยู่เบื้องหน้า บนโต๊ะมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่ในสภาพกางเปิดออก กระดาษสมุดทั้งหยาบและเหลือง บนผิวกระดาษมีตัวอักษรประหลาดถูกเขียนไว้ด้วยหมึกสีดำเข้มเด่นสะดุดตา
ด้านซ้ายของสมุดเป็นกองหนังสือที่ตั้งเรียงรายราวเจ็ดแปดเล่ม วางชิดขอบโต๊ะเป็นระเบียบเรียบร้อย บนกำแพงขวามือมีท่อสีเทาอ่อนถูกติดตั้งอย่างเป็นระบบ ปลายสุดของท่อเชื่อมเข้ากับโคมไฟผนัง
โคมไฟผนังให้ความรู้สึกแบบตะวันตกยุคเก่า ขนาดเพียงครึ่งศีรษะผู้ใหญ่ เป็นโครงเหล็กกรุด้วยกระจกใส…
ใต้โคมไฟผนังมีขวดหมึกดำที่หุ้มด้วยกระดาษสีแดงสดเปล่งประกาย ลวดลายบนกระดาษถูกพิมพ์นูนด้วยภาพนางฟ้า
ถัดจากขวดหมึกคือปากกาดำหัวกลมที่วางอยู่ข้างขวาของสมุดอย่างเงียบงันไม่ส่งเสียง ปลายปากกายังคงเหลือคราบหมึกเจือจาง ส่องกระทบแสงสีแดงจนเกิดประกายแวววาว ข้างปลอกปากกามีปืนลูกโม่สีทองเหลืองวางแน่นิ่งอยู่
ปืน… แถมยังเป็นลูกโม่…
โจวหมิงรุ่ยผงะไปครู่ใหญ่ ทุกสิ่งที่มองเห็นล้วนแปลกตา ไม่เหมือนกับบรรยากาศห้องนอนตัวเองเลยสักนิด!
ท่ามกลางความตกตะลึง ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าโต๊ะไม้ สมุดจด ขวดหมึก และปืนลูกโม่ล้วนถูกหุ้มไว้ด้วยชั้น ‘ผ้าบาง’ สีแดง นั่นคือแสงจากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
ขณะสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน โจวหมิงรุ่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
บน ‘ม่านกำมะหยี่’ สีดำยามค่ำคืน จันทร์เต็มดวงกำลังสุกสว่างพลางส่องแสงสีแดงเลือดอย่างเงียบงัน
นี่มัน… โจวหมิงรุ่นเริ่มสัมผัสถึงความไม่ปรกติ มันรีบลุกพรวด แต่น่าเสียดายที่แข้งขายังคงปราศจากเรี่ยวแรง แถมหัวสมองยังคงวิงเวียนไม่หายจากอาการปวด ชายหนุ่มเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าใส่เก้าอี้ไม้เนื้อแข็งพอดิบพอดี
ตุ้บ!
โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม โจวหมิงรุ่ยเอามือยันโต๊ะ พยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจว่าตนเองอยู่ที่ไหนบนโลกกันแน่
ที่นี่คือห้องขนาดเล็กและแคบ มีประตูสีน้ำตาลสองบานซ้ายขวา เตียงไม้สองชั้นวางชิดกับผนังฝั่งด้านตรงข้าม
ระหว่างเตียงไม้และประตูซ้ายมีตู้เสื้อผ้าหันหน้าออก ด้านล่างตู้มีลิ้นชักทั้งหมดห้าชั้น
ท่อสีเทาอ่อนขนาดสูงเท่ามนุษย์ถูกติดตั้งตรงมุมห้อง ปลายท่อเชื่อมกับกล่องกลไกแปลกประหลาดที่ด้านในเผยให้เห็นลูกปืนและเฟืองบางส่วน
ไม่ไกลจากโต๊ะไม้มากนัก มุมห้องฝั่งขวามือมีข้าวของเครื่องใช้มากมายวางเรียงราย ทั้งเตาถ่าน หม้อซุป หม้อเหล็ก และอุปกรณ์ทำครัวอีกหลายชิ้น
ข้างประตูฝั่งขวามีแท่นกระจกเงาสำหรับแต่งตัวที่ฐานทำมาจากไม้ธรรมดา
หลังจากกวาดเพ่งสายตาอยู่ครู่หนึ่ง โจวหมิงรุ่ยเริ่มมองเห็นรูปลักษณ์ในสภาพปัจจุบันอย่างเลือนราง
ผมสีดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาล เสื้อลินินบาง ร่างกายผอมเพรียว หน้าตาปานกลาง กรามค่อนข้างเรียวชัด
นี่มัน…
โจวหมิงรุ่ยพลันสูดหายใจลึกเข้าปอด ความคิดฟุ้งซ่านนานาชนิดกำลังถาโถมโหมกระหน่ำ
ปืนลูกโม่ บรรยากาศอันเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของยุโรปยุคเก่า รวมไปถึงดวงจันทร์สีชาดที่แตกต่างจากโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง ทั้งหมดนำพาไปสู่ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว
เราถูกส่งมาต่างโลก…!
โจวหมิงรุ่ยอ้าปากค้างไม่หุบ
ชายหนุ่มเติบโตมาพร้อมกับนิยายออนไลน์ มันเฝ้าฝันการเดินทางไปยังต่างโลกอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้สัมผัสกับตัวเองจริงๆ กลับยากที่จะทำใจยอมรับเสียเหลือเกิน
นี่สินะที่เขาเรียกว่า ‘เย่กงชื่นชอบมังกร[footnoteRef:1]’… [1: เย่กงชื่นชอบมังกร เป็นสุภาษิตมาจากนิทานที่กล่าวถึง เย่กง ชายที่ชื่นชอบมังกรมาก จนวันหนึ่งมังกรมาหาเขา ทว่าพอเย่กงเห็นมังกรตัวจริงเข้าก็ตกใจจนหน้าซีด แล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เพราะแท้จริงแล้วเย่กงชอบเพียงมังกรที่เป็นภาพวาด ไม่ได้ชอบมังกรตัวเป็นๆ จึงสื่อถึงการที่ปากบอกว่าชอบ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ชอบ เหมือนแสร้งทำเท่านั้น]
หลังจากผ่านการครุ่นคิดอยู่นาน โจวหมิงรุ่ยเริ่มพึมพำกับตัวเองพลางขมวดคิ้ว
หากไม่ใช่เพราะยังมีความเจ็บปวดคุกรุ่นในหัว รวมถึงสติสัมปชัญญะที่เริ่มเฉียบคมและชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ โจวหมิงรุ่ยคงเข้าใจว่าตนกำลังดำดิ่งอยู่ในฝันประหลาด
ใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อน… หลังจากสูดลมหายใจเข้าปอดสองสามหน โจวหมิงรุ่ยก็เริ่มข่มจิตใจให้สงบนิ่ง
ในวินาทีนี้ ขณะจิตและกายเริ่มปรองดองเป็นหนึ่ง เศษเสี้ยวความทรงจำใหม่พลันพรั่งพรูเข้ามาในหัวสมองอย่างช้าๆ
ไคลน์·โมเร็ตติ ชาวเมืองทิงเก็น แคว้นอาโฮว่าของอาณาจักรโลเอ็นในทวีปเหนือ แถมยังเป็นนักศึกษาจบใหม่จากคณะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้…
บิดาเป็นจ่าสิบเอกแห่งกองทัพหลวงผู้สละชีพในสงครามยึดครองดินแดนบนทวีปใต้ เงินชดเชยที่ครอบครัวได้รับ ช่วยให้ไคลน์ได้ศึกษาในโรงเรียนประจำ และนั่นคือพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลให้ไคลน์สอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จ
มารดาเป็นผู้ศรัทธา ‘เทพธิดารัตติกาล’ อย่างแรงกล้า เธอจากโลกนี้ไปในปีเดียวกับที่ไคลน์สอบเข้ามหาวิทยาลัยโฮอี้สำเร็จ
เขายังมีพี่ชายและน้องสาวที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านพักสองห้องนอน
ครอบครัวมิได้ร่ำรวย จะเรียกว่ายากจนกว่ามาตรฐานก็ไม่ผิดนัก รายได้ที่จุนเจือครอบครัวทั้งหมดมาจากพี่ชายผู้ทำงานเป็นเสมียนในบริษัทนำเข้าและส่งออก
เพราะจบด้านประวัติศาสตร์ ไคลน์จึงเชี่ยวชาญภาษาโบราณที่ชื่อ ‘ฟุซัค’ ซึ่งถือเป็นรากฐานของอักษรทวีปเหนือทั้งหมด รวมถึงอักษรเฮอร์มิสที่มักปรากฏบ่อยครั้งในสุสานเก่าแก่ และยังปรากฏในตำรากับบทสวดอีกมาก
อักษรเฮอร์มิส…
ความทรงจำหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในหัวโจวหมิงรุ่ย มันรู้สึกเจ็บแปลบที่ขมับจนต้องเลื่อนมือขึ้นไปจับเพื่อบรรเทา จากนั้น ชายหนุ่มชำเลืองสายตากลับไปมองสมุดบันทึกบนโต๊ะที่หน้ากระดาษเปิดค้างอยู่ ตัวอักษรที่เขียนกึ่งกลางเริ่มแปรเปลี่ยน จากแปลกตากลายเป็นคุ้นเคย จากคุ้นเคยกลายเป็นอ่านออกในที่สุด
ประโยคสั้นที่เขียนด้วยอักษรเฮอร์มิส
หมึกดำนั้นเขียนไว้ว่า
‘ทุกคนต้องตาย รวมถึงเรา’
วาบ!
โจวหมิงรุ่ยสัมผัสถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง มันผงะเซถอยหลังตามสัญชาตญาณ ราวกับต้องการออกห่างจากสมุดเล่มนี้ให้ไกลที่สุด
ร่างกายยังคงอ่อนล้า ชายหนุ่มเสียหลักล้มลงอีกครั้ง เคราะห์ดีว่ายังใช้มือคว้าขอบโต๊ะไว้ได้ทัน รู้สึกเพียงบรรยากาศรอบตัวปั่นป่วน หูเริ่มได้ยินเสียงประหลาดดังแว่ว ให้ความรู้สึกคล้ายกับฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องสยองขวัญสมัยเป็นเด็ก
โจวหมิงรุ่ยสะบัดหน้า ทั้งหมดเป็นเพียงอาการจิตหลอน มันพยายามยืนให้มั่นคงอีกครั้งพร้อมกับเบนสายตาหนีจากสมุดและหายใจหอบคำโต
ขณะนั้นเอง สายตาของโจวหมิงรุ่ยชำเลืองมองปืนลูกโม่สีทองเหลืองที่ส่องแวววาว ความสับสนเริ่มถาโถมเข้ามาในสมอง
“ด้วยสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวไคลน์ หมอนั่นเอาปืนลูกโม่มาจากไหน?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด
ท่ามกลางความสับสนและตื่นตระหนก โจวหมิงรุ่ยเหลือบเห็นรอยครึ่งฝ่ามือสีแดงฉานตรงขอบโต๊ะ สีแดงของมันทั้งสดใหม่และน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าจันทร์สีเลือดด้านนอกหน้าต่าง
ไม่ผิดแน่…นี่คือรอยฝ่ามือเปื้อนเลือด!
“รอยมือเปื้อนเลือด…”
โจวหมิงรุ่ยรีบยกมือขวาที่เมื่อครู่ใช้พยุงตัวกับขอบโต๊ะตามสัญชาตญาณ มันเห็นฝ่ามือและนิ้วมือเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
ขณะเดียวกัน อาการปวดหัวได้วนกลับมาหลอกหลอนอีกระลอก ถึงจะบางเบากว่าช่วงแรก แต่มันยังคงดำเนินอย่างไม่จบสิ้น
“เราหัวแตกงั้นหรือ…”
โจวหมิงรุ่ยคาดเดาพลางเดินไปส่องกระจกที่แตกร้าว
เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ได้เห็นภาพของชายส่วนสูงปานกลาง ผมสีดำขลับ นัยน์ตาสีน้ำตาล ดูมีการศึกษา สะท้อนบนกระจกเงาอย่างชัดเจน
นี่คือตัวเราในปัจจุบันสินะ…ไคลน์·โมเร็ตติ?
เพราะแสงไฟยามค่ำคืนไม่สว่างมากพอ มันจึงเห็นบาดแผลของตัวเองไม่ชัด โจวหมิงรุ่ยพยายามขยับใบหน้าเข้าใกล้กระจกมากขึ้นพลางเอนศีรษะไปยังจุดต้นตอที่เลือดไหล
ภาพบนกระจกเงากำลังสะท้อนบาดแผลเหวอะหวะชวนอาเจียนตรงขมับ รอบปากแผลมีรอยไหม้และคราบดินปืน รอบด้านเปรอะไปด้วยรอยเลือด และด้านในมีสมองสีเทากำลังยุบพองอย่างช้าๆ
........................