ใบหน้าของอูม่าที่เต็มไปด้วยรอยสักสีเหลืองและดำซับซ้อนเปล่งประกายความน่าเกรงขามผ่านแสงไฟวูบไหวของกระโจม ร่องรอยเหี่ยวย่นที่บ่งบอกอายุของเธอถูกกลบด้วยลวดลายเหล่านี้จนไม่อาจมีใครคาดเดาอายุที่แท้จริงของเธอได้
ด้านบนศีรษะคือมงกุฎกระโหลกมนุษย์สามชิ้นที่เรียงซ้อนกันอย่างสมดุลมันไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับแต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและการเชื่อมโยงกับโลกวิญญาณ
ชุดยาวสีเข้มมีลวดลายประหลาดคล้ายสิ่งมีชีวิตที่ทำจากแผ่นหนังสัตว์ด้วยวิธีการเฉพาะบางอย่าง เหนือแผ่นอกของเธอเป็นสร้อยคอกระดูกที่ห้อยลงมาเชื่อมโยงกันด้วยสายหนังและลูกปัดสีดำยิ่งทำให้เธอดูน่ากลัวมากขึ้น
อูม่ายืนขึ้นจนเงาของเธอทอดยาวเหนือกลุ่มคนที่อยู่ในกระโจม เสียงของเธอแผ่วเบาแต่ทุกคำที่ออกมากลับมีพลังราวกับสะกดจิต
"ข้าเชื่อว่าความหวังของเราอยู่ที่การเสียสละในครั้งนี้ หากเราทำให้ถูกต้องวิญญาณเทพอสูรจะอยู่เคียงข้างเราเพื่อช่วยกำจัดภัยพิบัตินี้ไปได้ "
" ทาสเหล่านั้นคือกุญแจสำคัญในพิธีจงรีบไปจัดการ ข้าจะจัดเตรียมพิธีการครั้งนี้เทพอสูรจะต้องตอบรับเสียงเรา ! "
เธอเดินไปข้างหน้ากวาดสายตามองผู้ที่อยู่ในกระโจมทีละคนก่อนหันไปมองไคออร์สด้วยแววตาเฉียบคม
"ให้ชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียงให้ช่วยรวบรวมทาส!บอกพวกเขาว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าจะรายงานต่อวิหารบาร์บาโรสและเมื่อถึงเวลานั้น มหานักบวชจะส่งรางวัลอันมีค่ามอบให้แก่ผู้ที่ช่วยเหลือ! "
เสียงของเดอลุสดังก้องในกระโจม ราวกับเป็นคำประกาศที่ไม่มีใครกล้าขัดขืน
"ในเผ่าของเราก็มีทาสเด็กอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?ใช้พวกมันซะ! และค่อยส่งคนไปรวบรวมทาสเด็กจากเผ่าอื่นๆรีบกลับมาก่อนที่พิธีนี้จะเริ่มขึ้น! "
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครปฏิเสธ ขณะที่สายตาของเหล่านักรบในกระโจมลุกวาวด้วยความมุ่งมั่น
พวกเขารีบลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงก่อนก้าวออกจากกระโจมโดยไม่เอ่ยคำใด บรรยากาศด้านในเงียบงันลงเหลือเพียงแสงไฟที่สะท้อนบนใบหน้าของหัวหน้าเผ่าเดอลุส
เครื่องสังเวยของนักบวชหญิงชราทำให้เดอลุสรู้สึกถึงความร้ายแรงของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อไคออร์สเดินออกไปเขาจึงรีบหันไปถามนักบวชชราโดยทันที
"มันร้ายแรงแค่ไหนกันอูม่า?"
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ขณะที่ใบหน้าอูม่าบิดเบี้ยวด้วยความวิตกกังวลที่ลึกซึ้ง
"มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา..." อูม่าตอบอย่างจริงจัง ดวงตาของเธอจ้องไปยังเปลวไฟที่เต้นระบำภายในกระโจม
"เรื่องนี้ต้องถูกส่งไปยังวิหารบาร์บาโรสเพื่อขอพลังจากพวกเขา แต่ในฤดูกาลนี้การเดินทางมายังดินแดนตะวันออกนั้นเสี่ยงเหลือเกิน! ข้ากลัวว่ามันจะล่าช้าเกินไปและหากไม่รีบ พวกเราทุกคนอาจต้องพบกับจุดจบ..."
เสียงของเธอหายไปชั่วครู่ ขณะที่ทุกคนในกระโจมจ้องมองไปที่อูม่าอย่างตั้งใจ
"การสังเวยครั้งนี้จำเป็นต้องใช้ทาสจำนวนมากเพื่อสะกดพลังของอสูรทมิฬที่ป่าอาถรรพ์ไว้! ถ้าเราไม่ทำ...ชีวิตของพวกเราจะตกอยู่ในอันตราย!"
ความตึงเครียดเริ่มปกคลุมกระโจมเสียงหายใจของทุกคนหนักแน่น ดวงตาทุกคู่ล้วนแสดงออกถึงความหวาดหวั่นต่อโชคชะตาที่รออยู่ข้างหน้า
หลังจากอธิบายจบหญิงชรานักบวชอูม่าหลับตาลง ร่างผอมแห้งของเธอสั่นสะเทือนด้วยท่าทางแปลกๆขณะที่ริมฝีปากสีดำกระซิบคำพูดที่ฟังดูประหลาดและน่ากลัวในขณะเดียวกัน
เสียงนั้นเหมือนเรียกหาสิ่งที่อยู่ไกลออกไป จนกระทั่งร่างของเธอแข็งทื่อศีรษะที่โยกไปมาช้าลงและหยุดนิ่งอย่างกระทันหัน
อูม่าเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังทิศทางของป่าอาถรรพ์ดวงตาของเธอเบิกโพลงเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นมัวจนดูเหมือนไร้ชีวิตชีวา ปากเธออ้ากว้างจนผิดธรรมชาติเสียงที่ออกมาดูเหมือนคำสวดอาคมจากยุคโบราณ
ในเวลานั้นเองหมอกสีดำหนาแน่นเริ่มลอยออกจากปากของเธอ ก่อนที่มันจะกลายเป็นกลุ่มควันยาวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดวงดาวที่เคยสว่างน้อยลงราวกับถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดและน่าสะพรึงกลัว
เมื่อพิธีการเสร็จสิ้นอูม่าก็ล้มลงกับพื้นส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่ดังก้องไปทั่วกระโจมทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงอำนาจที่น่าหวาดหวั่น
ขนทั้งตัวของหัวหน้าเผ่าเดอลุสตั้งขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของนักบวชหญิงผู้ถูกควบคุมโดยพลังที่ไม่สามารถมองเห็นได้
อูม่าคือหนึ่งในนักบวชแม่มดผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดทางดินแดนตะวันออก โดยเฉพาะพลังที่รู้จักกันในชื่อ "สาส์นวิญญาณ" ซึ่งเป็นพลังที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการติดต่อสื่อสารเท่านั้นแต่ยังสามารถส่งข้อมูลลับจากเงามืดไปยังผู้ที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
ด้วยความสามารถในการปล่อยพลังวิญญาณออกไปได้อย่างอิสระ เธอจึงเข้าถึงข่าวสารที่อยู่ห่างไกลและสามารถแจ้งเตือนถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ก่อนใคร
ในขณะเดียวกันเธอยังใช้มันเพื่อสร้างปัญหาและทำให้เผ่าที่มีอำนาจตกอยู่ในสภาพไม่แน่นอนแม้แต่การเคลื่อนไหวของเผ่าที่มุ่งหวังจะขยายอำนาจหรือแข่งขันกับเผ่าดอร์สในด้านการปกครองและทรัพยากรก็ถูกอูม่ารับรู้และขัดขวางไว้ได้อย่างเงียบงัน
อูม่าอาจดูเหมือนเป็นผู้ส่งข่าวสารที่มีความรู้ลึกซึ้งแต่แท้จริงแล้วเธอมีความเห็นแก่ตัวและคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลดีของส่วนรวม เธอใช้ความลับและข้อมูลเพื่อควบคุมหรือขัดขวางความก้าวหน้าในแผนการของเผ่าอื่นไม่ให้สำเร็จ
แต่การใช้พลังนี้ต้องแลกกับพลังชีวิตบางส่วนของเธอทำให้เธอใช้มันอย่างระมัดระวังและในช่วงสำคัญที่สุด เมื่อเสียงกระซิบของอูม่าดังขึ้นชนเผ่าต่าง ๆจะรู้ว่าพวกเขาอยู่ในอุ้งมือของนักบวชที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่น
นักบวชจากชนเผ่ารอบๆนั้นไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเธอ เพราะส่วนใหญ่หน้าที่หลักของพวกเขาคือการรักษาแผลและดำเนินพิธีกรรมทั่วไปทางจิตวิญญาณทำให้พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งหรือต่อต้านอำนาจของเธอได้เลย
แม้ในงานแข่งขันก่อนเทศกาลล่าสัตว์ครั้งแรกในแต่ละปี ซึ่งเป็นการคัดเลือกชนเผ่าที่จะดูแลปกครองพื้นที่ทางดินแดนต่างๆพวกเขาก็ยังคงอยู่ในเงามืดเมื่อเปรียบเทียบกับพลังอันชั่วร้ายของอูม่า
หลังจากที่ได้รับมอบหมายตำแหน่ง 'หมอผีผู้นำสาส์น' จากมหาปุโรหิตแห่งวิหารบาร์บาโรส ชนเผ่าดอร์สจึงได้กลายเป็นชนเผ่าที่มีอำนาจที่สุดทางฝั่งตะวันออก
พวกเขาได้รับสิทธิ์ในพื้นที่ล่าเป็นบริเวณกว้างกว่าเผ่าอื่นในละแวก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันความเป็นผู้นำของอูม่าแต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เธอใช้พลังแห่ง 'สาส์นวิญญาณ' เพื่อขัดขวางแผนการของชนเผ่าที่มีแนวโน้มจะเป็นอันตรายต่อวิหารและเผ่าของเธอ
ชนเผ่าดอร์สได้อาศัยพละกำลังและพลังของอูม่าจนสามารถปีนขึ้นมายึดครองอำนาจการปกครองนี้มาได้ยาวนานหลายปี
ภายใต้การนำของอูม่านักบวชแม่มดผู้ทรงพลัง ที่ใช้พลังส่งข่าวและความลับที่ส่งผลกระทบต่อแผ่นดินเมอร์ทาดัสออกไป
่
แต่การขึ้นสู่อำนาจนี้ต้องแลกมาด้วยข้อผูกมัดบางอย่าง ทุกข่าวสารสำคัญต่ออาณาจักรจะต้องถูกส่งรายงานไปยังวิหารของอาณาจักรทวยเทพ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของชนเผ่าศัตรูหรือแม้แต่เรื่องราวที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเผ่าตน อูม่าและชนเผ่าดอร์สจึงต้องอยู่ภายใต้การจับตามองและข้อกำหนดจากเหล่าทวยเทพอยู่เสมอ
ภายในกระโจมของเธอมักเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หนาวเย็นและเงียบสงัดแม้จะมีไฟในหลุมช่วยส่องสว่างแต่ก็ไม่สามารถขับไล่ความรู้สึกอึมครึมที่แฝงอยู่ภายในได้
คำสั่งและการสื่อสารที่ส่งไปยังวิหารแห่งทวยเทพนั้นไม่ใช่เพียงแค่รายงานข่าวสารทั่วไป หากแต่เป็นเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของทั้งชนเผ่าทั้งในปัจจุบันและอนาคตทำให้ชนเผ่าดอร์สไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระและต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมที่เคร่งครัด
ในขณะเดียวกันชนเผ่าดอร์สก็ตระหนักดีว่าข้อผูกมัดนี้มีความเสี่ยงอย่างยิ่ง หากวันใดวันหนึ่ง อูม่าไม่สามารถทำให้เหล่าผู้คนจากทวยเทพพอใจได้หรือหากข่าวสารที่ส่งไปไม่เป็นที่น่าพอใจ นั่นอาจหมายถึงการสิ้นสุดของอำนาจที่พวกเขาสั่งสมมานานนับปี
ดังนั้นในทุกการตัดสินใจของชนเผ่าดอร์สพวกเขาต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาเสมอ
.
..
...
'หมอผี' หรือ 'นักบวช' จะถูกเรียกแตกต่างกันไปตามพลังของพวกเขาในแต่ละชนเผ่า
นักบวชส่วนใหญ่สามารถพบได้ทั่วไปตามชนเผ่าหรือวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่ใช้พลังวิญญาณช่วยเยียวยารักษาบาดแผล
ขณะที่หมอผีคือผู้เชี่ยวชาญในด้านคำสาปและพลังต่อสู้ที่พิศดารซึ่งต้นกำเนิดของพลังทั้งสองสายนั้นเกิดขึ้นจากพลังจิตวิญญาณภายในร่างกาย
ตามกลุ่มชนเผ่าที่มีมากมายบนโลกนีเมอร์ทาดัส ทุกคนจะเรียกผู้ที่มีพลังวิญญาณว่า ' แม่มด 'แม้กระทั่งนักบวชหรือหมอผีที่มีบทบาทต่างกันในแต่ละชนเผ่าก็มักถูกเรียกตามคำนี้โดยทั่วไป
ความหมายของคำว่าแม่มดจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิงหรือผู้ที่ใช้พลังทางด้านเวทมนตร์ แต่เป็นคำที่ใช้สะท้อนถึงผู้ที่มีความสามารถเชื่อมต่อกับพลังวิญญาณเหนือธรรมชาติ
ในบางชนเผ่าคำว่าแม่มดเป็นคำที่เต็มไปด้วยความเคารพและศรัทธาแต่ในบางพื้นที่คำนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและการต่อต้าน
เนื่องจากผู้คนไม่สามารถแยกแยะพลังของแต่ละบุคคลได้อย่างชัดเจนจึงทำให้ผู้ที่มีพลังวิญญาณถูกเรียกรวมกันว่า แม่มด ไม่ว่าจะเป็นนักบวชที่ใช้พลังในการรักษาหรือหมอผีที่ใช้คำสาปแช่ง พวกเขายังคงอยู่ในขอบเขตเดียวกันภายใต้คำนี้
ตัวตนของพวกเขาจึงถูกบูชาจากทุกคนในเผ่า แม้ในตำแหน่งของนักบวชอาจอยู่รองลงมาจากหัวหน้าเผ่าแต่ไม่มีใครสามารถดูหมิ่นพวกเขาได้เช่นกัน
หากคุณมีเพียงนักรบที่เต็มไปด้วยพละกำลังคุณอาจต่อสู้กับทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ได้แต่ถ้าคุณพบกับพลังที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือเปล่า เช่นคำสาปแช่งล่ะ?
ดังนั้นพลังต่อสู้ของนักรบและความสามารถทางด้านจิตวิญญาณจากนักบวชจึงเป็นตัวแปรที่สำคัญอย่างมากต่อทุกชนเผ่าบนแผ่นดินเมอร์ทาดัส ยิ่งนักบวชของพวกเขามีพลังสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างอำนาจให้แก่เผ่าได้มากขึ้นเท่านั้น
นักบวชตามชนเผ่าเล็กๆส่วนใหญ่จะมีเพียงพลังวิญญาณระดับต่ำและการรักษาบาดแผลที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพซึ่งไม่อาจเทียบได้กับนักบวชที่คอยปกครองตามดินแดนต่างๆหรือแม้แต่เหล่านักบวชจากวิหารบาร์บาโรส
เคยมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่ามหาปุโรหิตที่พำนักในวิหารสามารถใช้พลังแห่งการทำนายอนาคตได้และมีความแม่นยำเหมือนสิ่งนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าเขาทำให้ใครหลายคนต่างพากันเคารพเขาเป็นอย่างมาก
แต่เหล่านักบวชหรือแม้แต่แม่มดที่ทรงพลังก็ไม่อาจรับมือกับสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเช่นสัตว์อสูรวิญญาณบนแผ่นดินได้เพียงลำพัง ดังนั้นจึงเกิดนักรบที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ขึ้นมา
ในยุคดึกดำบรรพ์แผ่นดินเมอร์ทาดัสเต็มไปด้วยเสียงกระซิบของความกลัวและความหวาดหวั่น เหล่าผู้กล้าทั้งหลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยคุกคามที่ร้ายแรง
อสูรวิญญาณและอสูรทมิฬที่ถูกปลุกขึ้นจากความมืดมิดราวกับฝันร้าย พวกมันมีพลังทำลายล้างที่เหนือกว่าทุกสิ่งที่เคยรู้จักแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทั้งแผ่นดิน บังคับให้ชาวเผ่าต้องต่อสู้อย่างสิ้นหวังและสูญเสียชีวิตมากมาย
ทว่าในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนี้โลกได้ให้กำเนิด นักรบสายเลือดเทพอสูร ออกมา ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรจากทวยเทพเพื่อปราบปรามอสูรวิญญาณที่ไร้ความปรานี พวกเขาถูกมอบพลังพิเศษที่มาจากสายเลือดของอสูร และความกล้าหาญในการต่อสู้ ทำให้สามารถยืนหยัดได้แม้ในยามที่มืดมิดที่สุด
นักรบสายเลือดเทพอสูรเหล่านี้ได้กลายเป็นแสงสว่างในความมืดโดยใช้พลังของพวกเขาเพื่อสร้างกำแพงป้องกันและต่อสู้กับอสูรวิญญาณ
พวกเขาไม่เพียงแต่ต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนแต่ยังนำความหวังกลับคืนสู่ผู้คนที่เคยสิ้นหวังจนเกือบจะลืมการมีชีวิตอยู่
การต่อสู้กับอสูรวิญญาณยังไม่สิ้นสุดแต่ด้วยความมุ่งมั่นและพลังจากสายเลือดของทวยเทพ เหล่านักรบสายเลือดเทพอสูรยืนหยัดต่อสู้ไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญหน้ากับอสูรที่ไร้ความปรานี แต่ยังต้องค้นหาความหมายที่แท้จริงของพลังและความรับผิดชอบในภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา
ผู้สืบทอดเชื้อสายของเลือดเทพเจ้าจึงเต็มไปด้วยพลังต่อสู้ที่รุนแรงและทรงพลัง ร่างกายของพวกเขาทนทานและแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปทำให้พวกเขาเป็นนักรบที่น่าเกรงขามในสนามรบ
นอกจากความแข็งแกร่งแล้วบางคนยังมีความสามารถพิเศษที่หลากหลาย ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล พวกเขาถูกเรียกขานในนามของ "นักรบผู้พิทักษ์"
—ผู้ที่มีหน้าที่ปกป้องและนำพาเผ่าของตนสู่ชัยชนะ
นักรบเหล่านี้จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเผ่าตามธรรมชาติเนื่องจากพลังของพวกเขาคือสัญลักษณ์ของชัยชนะที่จะนำพาเผ่าของตนไปสู่ความรุ่งเรืองโดยเฉพาะเมื่อรวมพลังเข้ากับนักบวชระดับสูงผู้ที่สามารถสรรค์สร้างเวทมนตร์อันทรงพลังได้
แต่ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปทำให้สายเลือดที่บริสุทธิ์ของนักรบเทพอสูรกลับลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งและพลังที่เคยมีในอดีตเริ่มถดถอย ผู้ที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้เลือกที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในอาณาจักรทวยเทพดินแดนที่มีพลังและยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินเมอร์ทาดัส
ในขณะที่สายเลือดนักรบผู้พิทักษ์และนักบวชเริ่มน้อยลง ตัวตนของพวกเขาจึงกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความหวังและความเชื่อมั่นของผู้คนทั่วไปเท่านั้น
การดูหมิ่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำได้อย่างเด็ดขาด ทั้งนักรบผู้พิทักษ์และนักบวชแม่มดต่างเป็นเสาหลักของความสงบสุขในดินแดน
แม้ว่าสายเลือดเหล่านี้จะลดน้อยลงจนเกือบจางหายไปในตำนานแต่ความเชื่อมั่นในพลังของพวกเขายังคงอยู่ในหัวใจของผู้คนที่หวังจะได้เห็นการกลับมาของยุคทองที่เต็มไปด้วยความสงบสุขอีกครั้ง
...
..
..