webnovel

ตอนที่ 23 : เคล็ดวิชาธาตุ

รถม้ากลุ่มหนึ่งแล่นผ่านดงไผ่โดยมีแสงจันทร์สีเหลืองนวลคอยส่องนำทาง ชี้ให้เห็นหนทางที่คดเคี้ยวสายหนึ่งมุ่งตรงไปยังโกดังไม้หลังใหญ่ที่ปลูกอิงคลองซึ่งไหลไปบรรจบยังแม่น้ำวัง

แม้ดวงอาทิตย์จะลาลับเส้นขอบฟ้าไปได้ไม่นาน แต่ในเวลานี้ทุกที่ทางก็ผันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ท่ามกลางนาข้าวและชายป่าผืนใหญ่ จะมีก็เพียงแต่แสงจากคบเพลิงที่พอจะแสดงให้รู้ว่าในสถานที่แห่งนี้ยังคงมีมนุษย์อาศัยอยู่

ทันทีที่รถม้าจอดสนิท ธีรพลและสิงห์ก็เดินตามกลุ่มของเฮียจวงมาพักยังเรือนไม้รับรองหลังหนึ่งที่หันหน้าเข้าหาชายป่า ซึ่งจะใช้สำหรับเป็นที่ค้างคืนของพวกเขาก่อนเดินทางกลับเวียงพิงค์โดยรถไฟในช่วงเช้ามืดของวันพรุ่งนี้

"เฮียว่าน่าแปลกใจหรือไม่ เหตุใดเฮียสามจึงได้เปลี่ยนสถานที่จัดงานประมูลอย่างกะทันหันเช่นนี้" ไอ้ใหญ่ทำสีหน้าครุ่นคิดเอ่ยถามเฮียจวงผู้เป็นเจ้านาย

"คงจะไม่อยากให้เกิดความอึกทึกวุ่นวายจนดึงดูดความสนใจมากไป เพราะดูเหมือนครานี้จะมีผู้ที่สนใจของที่จะนำมาให้ประมูลทั้งห้าชิ้นอยู่ไม่น้อยทีเดียว" เฮียจวงวิเคราะห์ขึ้น

"ถึงว่า ในลานกว้างจึงได้มีรถม้ามากมายก่ายกองออกปานนั้น" ลูกน้องคนหนึ่งของเฮียจวงเอ่ยเสริมขึ้น

"เวรยามก็ดูมากผิดปกติด้วยเช่นกัน" ไอ้ใหญ่แสดงท่าทีครุ่นคิด

"ยังไงพวกเอ็งก็ระวังไว้ด้วย อย่าได้ไปเดินเที่ยวเล่นเพ่นพ่านจนเกิดการเข้าใจผิดเข้า" เฮียจวงเอ่ยกำชับลูกน้องทุกคน ซึ่งทั้งหมดก็ดูจะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีว่าควรประพฤติตัวอย่างไร

"ธี นี่คือเงินค่าจ้างของเอ็ง ตามที่เฮียสัญญาไว้" ทันทีที่พูดกับลูกน้องจบความ เฮียจวงก็เดินเข้าไปหาธีรพลที่อาการยังไม่ทุเลาหายดี นั่งพักอยู่บนแคร่ไม้ แล้วจึงยื่นธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทจำนวนห้าใบส่งให้ธีรพล

"ระหว่างเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะเฮียจวง" ธีรพลเอ่ยขณะที่ยื่นมือรับเงินจำนวนดังกล่าวมา

"อืม" เฮียจวงพยักหน้ารับสั้นๆพลางตบไหล่ธีรพลเบาๆเพื่อแสดงมิตรภาพระหว่างกัน ซึ่งด้านธีรพลก็ยิ้มตอบรับอีกฝ่ายกลับเช่นกัน

หลังจากพักผ่อนอยู่อีกครู่หนึ่ง พนักงานในชุดเรียบร้อยผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาเชื้อเชิญเฮียจวงและผู้ติดตามให้ไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับการประมูล ซึ่งนอกจากธีรพลที่อาการยังไม่บรรเทาหายดี ต้องการขอตัวพักผ่อนแล้ว เฮียจวงและลูกน้องรวมไปถึงสิงห์ที่อยากจะเข้าไปชมบรรยากาศการประมูลดูสักคราก็พากันติดตามพนักงานคนดังกล่าวเข้างานไปในทันที

"สงสัยจะฝืนตัวเองมากเกินไปจริงๆ" ธีรพลร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เอ่ยรำพันขึ้นเมื่อทุกคนออกจากเรือนรับรองไปแล้วจนหมดสิ้น

"เราเตือนเจ้าแล้วว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับพลังงานธาตุเข้มข้น นี่ยังดีที่เราจำกัดปริมาณให้เจ้าใช้เพียงหนึ่งในสี่ส่วน ไม่เช่นนั้นเส้นลมปราณเจ้าคงแตกสลายไม่มีชิ้นดี" สุบรรณทอดถอนใจ

"ข้าเข้าใจความผิดแล้ว ต่อไปเมื่อใดที่ข้าทุเลาหายดี ข้าจะเร่งกรุยทางเปิดเส้นลมปราณพิเศษเพื่อให้ปลดปล่อยพลังงานธาตุได้อย่างวางใจ เมื่อถึงเวลานั้นหากจะต้องต่อสู้ยืดเยื้อคงจะไม่ต้องเจ็บหนักเช่นนี้" ธีรพลคอตกเอ่ยเสียงอ่อย

"จะว่าไป เมื่อตอนที่ประลองกับคุณชายเหลียนนั่น ข้าไม่เข้าจริงๆว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีท่าร่างที่รวดเร็วและมีการโจมตีที่รุนแรงออกได้ปานนั้น ทั้งๆที่แหล่งกำเนิดพลังก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก" ธีรพลเปลี่ยนหัวเรื่องเอ่ยปรึกษาข้อสงสัยกับสุบรรณ

"สำหรับเรื่องนี้เราก็ไม่อาจเข้าใจถึงร่างกายของมนุษย์ได้กระจ่างนัก เพียงแต่เราสามารถจับกระแสพลังงานภายในกายของอีกฝ่ายได้ว่ามีมวลของพลังงานค่อนข้างหนาแน่นกว่าในตัวเจ้า ส่วนสายสนกลในที่ทำให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าคงต้องไปเสาะหาคำตอบด้วยตนเอง" สุบรรณค่อยๆลำดับความคิดเอ่ยขึ้น

"ลุงทองใบก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี่เสียด้วย" ธีรพลแสดงสีหน้าครุ่นคิด

"ช่างเถอะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคตไป เรามาพูดถึงลูกไฟที่น่ากลัวดวงนั้นกันดีกว่า" ธีรพลสะบัดหน้าขจัดความคิดที่ยิ่งมายิ่งยุ่งเหยิง เปลี่ยนมาวิเคราะห์กระบวนท่าสุดท้ายอันอหังการของเหลียนที่ไม่ได้ถูกใช้ออกแทน

"สิ่งที่อีกฝ่ายใช้ออกนั้นสำหรับมนุษย์จะเรียกว่า เคล็ดวิชาธาตุ ซึ่งเคล็ดวิชาที่ว่านี้เองเป็นสิ่งที่มนุษย์และอัตลักษณ์พลังได้ช่วยกันคิดค้นขึ้นเพื่อเสริมสร้างอานุภาพพลังงานที่นำออกมาใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และที่สำคัญก็คือหลังจากยุคที่มนุษย์เริ่มล่าอัตลักษณ์พลังเป็นต้นมา เคล็ดวิชาที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นก็ยิ่งลดน้อยถอยลง จนในปัจจุบันน่าจะมีเหลือไม่มากแล้ว" สุบรรณเล่า

"มนุษย์และอัตลักษณ์พลังช่วยกันคิด เคล็ดวิชาธาตุ? มนุษย์ล่าอัตลักษณ์พลัง?" ธีรพลส่ายหน้าบ่นพึมพำ เนื่องจากไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าระหว่างมนุษย์และอัตลักษณ์พลังจะมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนานเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อได้ทราบเกร็ดเรื่องราวจากสุบรรณแล้ว ในห้วงความคิดของธีรพลจึงเกิดคำถามมากมายที่ไม่รู้จบ

"ไม่ต้องกังวลใจไป เรายังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างเราจะเล่าประวัติศาสตร์ระหว่างมนุษย์และอัตลักษณ์พลังให้ฟัง" สุบรรณกล่าว

"แล้วที่บอกว่าสำหรับมนุษย์เรียกว่า เคล็ดวิชาธาตุ เช่นนั้นอัตลักษณ์พลังก็มีเคล็ดวิชาที่ว่านี้เหมือนกันหรือ?" ธีรพลเอ่ยถาม

"ใช่ เพียงแต่พวกเราเหล่าอัตลักษณ์พลังจะเรียกสิ่งนี้กันว่า ทักษะยุทธ์ ก็คงจะคล้ายคลึงกับวิชาหมัดมวยที่มนุษย์จำเป็นต้องมีติดตัว เราก็ใช้ ทักษะยุทธ์ ไว้เพื่อต่อสู้ป้องกันตัวเช่นกัน" สุบรรณอธิบาย

"เราก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะมาพบเจอเข้ากับผู้ที่มี เคล็ดวิชาธาตุ ติดตัวรวดเร็วปานนี้ ต่อไปเราคงต้องสอน ทักษะยุทธ์ ประจำกายเราให้เจ้าได้ฝึกฝนไว้บ้าง เมื่อถึงเวลาจะได้มีอาวุธพิฆาตไว้ใช้สักท่าสองท่า" สุบรรณกล่าวต่อ

"อืม" ธีรพลยิ้มพยักหน้าตอบรับงึกๆอย่างกระตือรือร้น

"แต่ตอนนี้เราว่าเจ้าควรโคจรพลังงานชีวิตรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวกันในภายหลัง" สุบรรณแนะ

หลังจากนั้นธีรพลก็ทำตามคำแนะนำของสุบรรณ เขานั่งสมาธิตั้งจิตเข้าสู่ขอบเขตว่างเปล่าหลับตาโคจรพลังอย่างเงียบเชียบ ซึ่งในรอบแรกๆเมื่อบังคับพลังงานชีวิตให้ไหลเวียนผ่านขาทั้งสอง ตัวเขาก็ต้องประสบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสจนแทบจะครองสติไว้ไม่อยู่ แต่ยังดีที่มีสุบรรณคอยช่วยย้ำให้ตั้งมั่น ธีรพลจึงกัดฟันทนโคจรพลังต่อจนได้ครบสิบสี่รอบ ร่างจึงค่อยๆผ่อนคลายลง อาการเจ็บปวดที่ประสบอยู่ก็บรรเทาเบาบางลงไปได้เกินกว่าครึ่ง จนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ ตัวเขาก็ผล็อยหลับไปในที่สุด

โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!

เสียงสุนัขเห่าสะท้อนเข้าสู่โสตประสาทของธีรพล ปลุกเขาให้ตื่นตัวขึ้นอย่างฉับพลัน

แม้สำหรับคนธรรมดาทั่วไปจะคิดว่านี่คงเป็นเสียงของสุนัขที่เห่ากรรโชกขึ้นตามธรรมชาติ แต่แปลกตรงที่ธีรพลนั้นกลับรู้สึกว่าเสียงที่สุนัขเห่านี้เป็นการส่งสัญญาณว่า มันกำลังได้กลิ่นจางๆของผู้บุกรุก

ซึ่งเหตุผลที่ธีรพลรู้สึกแบบนั้นก็เป็นเพราะร่างกายของเขาเริ่มยกระดับปรับตัวเข้ากับพลังงานชีวิตได้อย่างกลมกลืนยิ่งขึ้น สัญชาตญาณจึงเปลี่ยนเป็นละเอียดแหลมคมขึ้นโดยปริยาย

ด้วยความสงสัยใคร่รู้ อีกทั้งตัวเขาก็ยังมีความเชื่อมั่นอยู่กว่าเจ็ดแปดส่วนว่าเรื่องราวจะต้องเกี่ยวข้องกับหญิงสาวชุดดำปริศนาที่ประมือกันเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นธีรพลจึงตัดสินใจเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบออกจากเรือนไม้ และพุ่งตรงเข้าหาต้นตอเสียงในทันที

เวลานี้ร่างกายของเขาค่อนข้างกระปรี้กระเปร่าเข้าที่เข้าทางดี อาการบาดเจ็บที่คงค้างอยู่ก็แทบมลายหายสิ้น ท่าร่างจึงเคลื่อนบ้างสูงบ้างต่ำลัดเลาะผ่านดงไม้อย่างว่องไวจนกระทั่งตามมาถึงชายป่าด้านทิศเหนือ ห่างจากโกดังไม้หลังใหญ่ออกมาราวยี่สิบเส้น[1]

"เอ๊ะ!"

ธีรพลชะงักเท้าลงเมื่อสังเกตเห็นร่างของเวรยามจำนวนสี่คนนอนสลบไสลไม่ได้สติฟุบร่างอยู่บนพื้นพร้อมอาวุธประจำกายที่ร่วงหล่นห่างออกไปไม่ไกลนัก

เขาเดินเข้าไปตรวจสอบเส้นชีพจรของคนผู้หนึ่งจนทำให้รู้ว่า เวรยามเหล่านี้ยังคงมีลมหายใจสม่ำเสมอดีอยู่ เพียงแต่ก่อนหน้าเมื่อไม่นานมานี้คงถูกผู้มีฝีมือสยบลงจนเกิดเป็นสภาพดั่งที่เห็น

ท่ามกลางรอยเท้าที่สับสนปนเป ธีรพลก็ได้สังเกตเห็นชุดรอยเท้าชุดหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของผู้บุกรุกซึ่งประกอบด้วยหนึ่งหญิงหนึ่งชาย กำลังมุ่งหน้าไปทางโกดังไม้

ดังนั้นเมื่อจับเส้นทางได้ ธีรพลก็พลันเคลื่อนที่ติดตามรอยอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งอยู่ห่างจากโกดังไม่เกินห้าเส้น แต่ทันใดนั้นเองเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและเสียงการต่อสู้ก็พลันดังลอดขึ้นจากพื้นที่ภายในของโกดัง

และก็แทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่ธีรพลได้ยินเสียงตีระฆังเตือนภัยดังระงมขึ้น พร้อมๆกับความสับสนอลหม่านของการเรียกระดมพลเข้าจัดการกับผู้บุกรุก ซึ่งนั่นก็ทำให้ธีรพลต้องตัดสินใจพุ่งตัวเข้าซ่อนในดงไม้รกทึบแถบหนึ่ง เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้น

คำอธิบาย

[1] 1 เส้น มีความยาวเท่ากับ 40 เมตร