ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้ตื่นตะลึง ผู้ชมทั้งสนามหลังจากเงียบเสียงด้วยความตกใจไปครู่หนึ่ง ก็พลันระเบิดเสียงโห่ร้องอย่างกึกก้องขึ้นอีกครั้ง
"ตั้งแต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มายังไม่เคยเห็นผู้ใด ปลดปล่อยไฟได้เช่นนี้มาก่อน" ผู้ชมคนหนึ่งรำพึงขึ้น
"แล้วไอ้หนุ่มจากเวียงพิงค์นั่นจะสู้ได้อย่างไร" ผู้ชมอีกฝั่งที่ดูเหมือนจะพนันฝั่งธีรพลไว้จึงเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
"ไอ้ธี เอ็งมีท่าไม้ตายใดเก็บไว้ ก็รีบเอาออกมาใช้ได้แล้ว" สิงห์ที่ก็ดูกังวลใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นท่าว่าเกลอรักจะตกเป็นรอง จึงได้รีบป้องปากตะโกนร้องเตือน
เหลียนยังคงบุกกระหน่ำจู่โจมอย่างบ้าคลั่งอยู่พักใหญ่ ซึ่งธีรพลที่รับรู้พิษสงของเพลิงสีส้มเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงตั้งใจถอยห่างหลีกหนีจากอาวุธพิฆาตของอีกฝ่ายไปเท่านั้น
แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ผลของการจู่โจมไม่รู้จักหยุดจักหย่อนของเหลียนก็เริ่มแสดงผล เพราะดูเหมือนการจู่โจมด้วยเปลวเพลิงนั่นจะผลาญพลังงานชีวิตและพลังงานธาตุไปไม่น้อย เหลียนที่ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อในที่สุดก็ตกอยู่ในสภาวะพลังงานขาดห้วงท่าร่างเชื่องช้าลงวูบหนึ่ง
เมื่อเห็นว่ามีจังหวะโอกาสให้ฉกฉวย ธีรพลแม้ในขณะนี้เส้นลมปราณในขาทั้งสองข้างจะเจ็บปวดเกินทานทนเพราะรับพลังงานธาตุอันเข้มข้นต่อเนื่องนานจนเกินไป แต่เขาก็ยังกัดฟันทนฝืนความเจ็บปวดบังคับหยิบยืมใช้พลังงานธาตุลมอีกครา
เขาก้าวเท้าซ้ายเฉียงหลบจากหมัดเพลิงอันเกรี้ยวกราดของเหลียนอย่างรวดเร็ว ลมหมุนลูกย่อมๆพลันปรากฏขึ้นบนแข้งซ้าย พลิกส่งให้ร่างของเขาหมุนเกลียว เพิ่มแรงที่ปลายเท้าขวาให้กวาดจากล่างขึ้นบนวกอ้อมเป็นเส้นโค้งกลับหลังส่งฟาดเข้าที่ก้านคอของเหลียน
"จระเข้ฟาดหาง"
ท่าไม้ตายสุดท้ายที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากทองใบถูกปลดปล่อยด้วยความรวดเร็วปานฟ้าแลบ
เปรี้ยง!
พลังลมอันแหลมคมจากธีรพลกระแทกเข้ากับกำแพงเพลิงของเหลียนที่สามารถยกขึ้นปกป้องร่างกายท่อนบนไว้ได้อย่างทันการณ์
ตูม!
ราวกับเติมเชื้อไฟในกองอัคคี ทันทีที่พลังลมอันแกร่งกร้าวปะทะเข้ากับเพลิงสีส้มแล้ว ห้วงอากาศก็พลันบิดเบี้ยวโย้เย้ก่อนแตกระเบิดกำจายออก ส่งเปลวไฟสีส้มให้แลบลามออกไปไกลถึงกว่าสามวา พื้นเวทีบางส่วนก็เกิดรอยไหม้ลากยาวเสียหายไปแถบหนึ่ง
ไอความร้อนอันน่าสยดสยองพลันแผ่รังสีออกเป็นระลอกคลื่นจากจุดศูนย์กลาง ซึ่งแม้จะอยู่ห่างไปถึงอัฒจันทร์แต่ผู้ชมที่นั่งบนแถวหน้าสุดก็ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนอันน่าตระหนกนี้
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้ชมทั้งสนาม ร่างของธีรพลและเหลียนก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาฝูงชนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางด้านของธีรพลนอกจากรอยไหม้เล็กน้อยบนเสื้อผ้าแล้ว ภายนอกก็ดูปราศจากอาการบาดเจ็บใดๆให้เห็น ผิดกับเหลียนที่เสื้อผ้าบางส่วนกลับขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมมหน้าตาหม่นหมองจนผิดวิสัย
"ไม่ไหวแล้ว ขยับขาไม่ได้เลย!"
ธีรพลยื่นมือยึดกุมหัวเข่าทั้งสองข้างไว้พยายามบังคับขาของเขาไม่ให้สั่นเทา พลางข่มกลั้นความเจ็บปวดที่แล่นผ่านครึ่งท่อนล่างของตน
แม้ภายนอกจะดูปกติดี แต่หลังจากฝืนใช้พลังงานธาตุอันเข้มข้นที่ปกติเส้นลมปราณของมนุษย์ยากจะทนทานรับได้ติดต่อกัน ในที่สุดร่างกายของธีรพลก็เดินมาถึงขีดจำกัด ไม่อาจใช้พลังธาตุกับขาทั้งสองได้อีก
และสถานการณ์ก็ดูจะเลวร้ายลงไป เมื่อเหลียนจู่ๆก็ตั้งท่ายกแขนประกบมือทั้งสองขึ้น ไอร้อนอันหนาหนักพร้อมสะเก็ดไฟจำนวนมากพลันแผ่พุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองอย่างทะลักทลาย
ดวงไฟสีส้มสองลูกค่อยๆประสานตัว ก่อนที่จะดูดกลืนหลอมรวมเข้าหากันจนกลายเป็นลูกไฟสีส้มปนเหลืองดวงหนึ่งที่ปลดปล่อยพลังงานความร้อนอันน่าสยดสยองออกมา
"เคล็ดวิชาทะลายหยก ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นผู้ใดกัน! เหตุใดจึงใช้วิชาของพรรคบัวมารมรกตได้" ฉานผู้นำพรรคม้าเหล็กฉุกคิดขึ้นในใจทันทีที่เห็นเหลียนใช้เคล็ดวิชานี้ขึ้น
"ไม่ได้การ หากปล่อยให้ใช้ออกได้ มีหวังคนดูได้โดนลูกหลง เวทีได้พังทลายย่อยยับเป็นแน่" ฉานนึกขึ้นพลางเกร็งกำลังจนไอเย็นพลันแผ่ซ่านออกจากร่าง เตรียมพร้อมกระโดดลงเวทีเข้าสกัดยังยั้งท่าพิฆาตของเหลียนในบัดดล
ด้านธีรพลเมื่อรู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้านิ่งได้แต่รอรับการโจมตีของอีกฝ่าย แต่กระนั้นสภาพจิตใจก็ยังคงกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมจำนนต่อเหตุการณ์โดยง่าย จิตจึงสื่อสารไปยังสุบรรณร้องขอหยิบยืมพลังงานธาตุจากพญาครุฑอีกครั้ง
"เจ้าแน่ใจแล้วหรือ? ถ้าใช้ธาตุไฟครั้งนี้ไป ทั้งแขนและขาของเจ้าจะเจ็บปวดจนขยับไม่ได้ไปอีกพักใหญ่เชียวนะ" สุบรรณถามย้ำ
"สู้มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้มายอมแพ้ทั้งๆที่ยังพอมีทางสู้ได้อยู่อย่างนั้นหรือ ให้ข้าลองเสี่ยงดวงดูสักคราเถิด หลังจากนี้ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ล้มลง ข้าจะเอ่ยขอยอมแพ้เอง" ธีรพลแสดงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวกัดฟันฝืนทนความเจ็บปวดพลางเอ่ยขึ้น
"เจ้านี่มันรั้นจริงๆ เอาเถิดจากนี้ถ้าต้องนอนเป็นผักปลาก็อย่ามาโทษว่าเราก็แล้วกัน" สุบรรณเอ่ย
"เอ๊ะ!"
ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดก่อนการห้ำหั่นขั้นตัดสินกำลังจะอุบัติขึ้น จู่ๆเหลียนจากที่ตั้งหน้าตั้งตาจะปลดปล่อยระเบิดลูกย่อมๆเข้าปะทะกับธีรพลก็พลันสลายพลังหยุดชะงักท่าร่างลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"ท่านหัวหน้าพรรค ข้าได้รับบาดเจ็บบอบช้ำภายในไม่อาจสู้ได้สืบไป ดังนั้น ข้าขอยอมแพ้ถอนตัวออกจากการแข่งขัน" เหลียนหันมาโค้งคำนับเอ่ยกล่าวกับฉานอย่างนอบน้อม
"ยังสู้ไม่จบเลย ยอมแพ้ได้อย่างไร" เสียงผู้ชมคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น
"เอ็งจะล้มมวยอย่างนั้นหรือ" เสียงตะโกนที่ดังมาจากฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่งพลันดังขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นเหมือนการจุดชนวนประเด็นอันร้อนแรงขึ้น
หลังจากหันไปพูดคุยปรึกษากับกรรมการผู้ควบคุมงานประลองอยู่ครู่หนึ่ง ฉานก็พลันลุกขึ้นยืนชูมือห้ามปรามเสียงดังเซ็งแซ่วิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชมไว้ ก่อนเอ่ยประกาศด้วยเสียงอันดังขึ้น "ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ เรื่องนี้ต้องได้รับการตรวจสอบให้กระจ่างเสียก่อน"
แต่ก่อนที่กรรมการผู้ที่มีหน้าที่จะลงไปตรวจสอบร่างกาย เหลียนก็ชิงยกมือขึ้นห้ามปรามไว้ และยืนยันที่จะให้ความร่วมมือตรวจสอบร่างกายโดยฉานหัวหน้าพรรคม้าเหล็กแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งนั้นก็ทำให้ฉานไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากยินยอมปฏิบัติตาม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไว้วางใจอีกฝ่าย ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมาตรการป้องกัน ระดมชายฉกรรจ์กำชับอาวุธเป็นจำนวนมากเข้ารุมล้อมเวทีไว้เป็นชั้นๆ ซึ่งหากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงใดขึ้น แม้เหลียนจะมีปีกโบยบินก็ยากที่จะรอดพ้นจากชะตากรรมถูกคร่ากุมไปได้
เมื่อวางแผนมาตรการความปลอดภัยแล้วเสร็จ ฉานก็พลันเกร็งกำลังกล้ามเนื้อปูดโปนกระโดดจากอัฒจันทร์ข้ามผืนน้ำกว่าสองวาทิ้งตัวลงบนเวทีอย่างมั่นคง
เขาก้าวย่างตรงเข้าหาเหลียนอย่างผ่าเผย ยื่นมือเข้าจับชีพจรตรวจสอบอาการดูอย่างละเอียด ซึ่งในระหว่างนั้นทั้งสองก็ได้พูดคุยสนทนากันอย่างลับๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นการผนึกพลังชีวิตรับฟังจากธีรพลที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่สุดไปได้
"ท่านหัวหน้าพรรค ข้าต้องขออภัยที่ต้องหยุดการประลองเอาไว้กลางคันเช่นนี้" เหลียนเอ่ยขึ้น
"เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ!" ทันทีที่ฉานส่งพลังชีวิตของตนเข้าตรวจสอบสภาพในกายของเหลียนดูก็ทราบว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงรีบโคจรพลังชีวิตป้องกันจุดสำคัญบนร่าง
"ช้าก่อน ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายท่าน ข้าคือประมุขน้อยพรรคบัวมารมรกตแห่งหอบูรพา" เหลียนกล่าวพร้อมดึงหยกประดับทองชิ้นหนึ่งออกจากอกเสื้อ แสดงให้ฉานดูแต่เพียงผู้เดียว
"คุณชาย เราขออภัย" เมื่อได้เห็นตราหยกซึ่งเปรียบเสมือนหลักฐานยืนยันที่หนักแน่นที่สุด ฉานก็ทำท่าจะคุกเข่าลงทำความเคารพในทันใด แต่อาการดังกล่าวก็ต้องชะงักค้างไว้เพราะถูกเหลียนดึงรั้งทัดทาน
"ข้าไม่ได้มาปฏิบัติงานตามคำสั่งของท่านปู่ ข้ามาด้วยเรื่องส่วนตัว ต้องการที่จะเข้ามาสืบข่าวตามหาคนผู้หนึ่งเท่านั้น" เหลียนเอ่ยต่อ
"เหตุใดคุณชายจึงไม่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเราโดยตรง?" ฉานเอ่ยถามอย่างพินอบพิเทา
"เหตุการณ์ค่อนข้างยุ่งเหยิงติดพัน จึงจำใจต้องเข้ามาในลักษณะนี้ แต่ตอนนี้ข้าเหมือนจะเห็นคนที่ตามหาแล้ว จึงใคร่ขอปลีกตัวจากไป" แม้จะมีศักดิ์ฐานะที่ใหญ่โตกว่า แต่ในขณะที่กล่าวขอร้องเหลียนก็ยังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อมไม่แสดงอำนาจบาตรใหญ่
"คุณชายเกรงใจเราเกินไปแล้ว ด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด" ฉานยิ้มประจบ
"ต้องขออภัยอีกครา ที่ทำให้กิจการวุ่นวาย" เหลียนก้มหัวคำนับ
"ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล ที่แท้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ เราต่างหากที่ต้องขอบใจคุณชาย แล้วคุณชายจะรั้งอยู่ต่อหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะได้จัดสถานที่ที่ดีที่สุดให้ หรือหากต้องการจะให้เรากระทำสิ่งใด? ก็บอกเรามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ" ฉานที่เหมือนต้องการที่จะประจบเอาใจเหลียนเป็นที่สุด จึงรีบตบอกขันอาสาสร้างบุญคุณเผื่อว่าในอนาคต หากเหลียนได้ขึ้นเป็นประมุขจะได้ส่งเสริมพรรคของเขาให้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งกว่านี้
"ไม่เป็นไร ข้าจะรีบไปในบัดดล แจ้งผลออกไปก็พอ" เนื่องจากกลัวว่าจะคลาดกับคนที่ตามหาอีกครา เหลียนจึงรีบตัดบทเร่งให้ฉานประกาศคำตัดสินออกไปแต่โดยไว
หลังจากที่ฉานประกาศผลว่าเหลียนไม่สามารถสู้ต่อไปได้ แม้จะจำใจรับคำตัดสินของทางพรรคก็ตาม แต่ก็มีฝูงชนจำนวนไม่น้อยที่แสดงอาการไม่พอใจ พยายามลุกขึ้นประท้วงขอเงินที่พนันไปคืน ซึ่งก็ทำให้ทางพรรคต้องเร่งเข้าเจรจาควบคุมสถานการณ์ และในช่วงจังหวะชุลมุนนี้เอง เหลียนก็ได้เร้นตัวหลบออกจากสถานที่ไปอย่างไร้ร่องรอย
"ไอ้ธี เรารวยแล้ว" สิงห์ที่ขณะนี้ประพฤติตัวเหมือนคนบ้า มัวแต่ร้องรำทำเพลงเต้นแร้งเต้นกาโดยไม่สนใจว่าธีรพลกำลังพยายามประคองตัวเดินออกจากสนามไปอย่างยากลำบาก
"เอ็งสติหลุดหรือไร? เอ็งมีเวลาไปเอาเงินมาจากที่ใดกัน?" ธีรพลถามขึ้นด้วยหน้าตาที่เหยเกเพราะความเจ็บปวด
"ก็เงินพนันอย่างไรเล่า ข้าได้เท่าใดกันนะ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ" สิงห์ที่แทบจะพูดจาไม่เป็นภาษาเพราะความตื่นเต้น เอ่ยระรัวขึ้นจนธีรพลต้องทักให้เกลอรักใจเย็นลง และค่อยๆเล่าเหตุการณ์มา
"จริงๆสองรอบแรกข้าก็ไม่กล้าพนันหรอก แต่พอเห็นเอ็งผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้ ข้าก็เลยพนันข้างเอ็งไป รวมถึงรอบชิงด้วย" สิงห์เริ่มเล่า
"แล้วรอบตัดเชือกเอ็งได้มาเท่าใด?" ธีรพลถามขึ้น
"อัตราต่อรองเอ็งแทงหนึ่งจ่ายหนึ่ง ข้าแทงไปทั้งหมดห้าบาท ได้กลับคืนมาเป็นสิบบาท" สิงห์ทำท่าครุ่นคิด
"ห้าบาท! นี่อย่าบอกนะว่าเอ็งเอาเงินที่ข้าให้เอ็งไว้ติดตัวมาพนัน" ทันที่ที่นึกเชื่อมโยงขึ้นได้ ธีรพลก็หันมาชี้หน้าสิงห์เพื่อคาดคั้นหาความจริง
"ใช่" สิงห์ยิ้มแห้งหน้าเจื่อนตอบรับ
"เอ็งนี่มัน" โดยความโมโหที่สิงห์ไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบนำเงินไปเล่นพนัน ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีเงินเก็บสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ธีรพลจึงคิดจะง้างเท้าเตะสั่งสอนเกลอรักสักหนึ่งเท้า แต่ก็ติดตรงที่ขาทั้งสองยังไม่ทุเลาหายดี จึงทำได้แค่ชี้หน้าต่อว่าไปเท่านั้น
"ใจเย็นๆก่อนไอ้ธี เรื่องมันผ่านไปแล้ว และตอนนี้ข้าก็ได้เงินก้อนมาถึงห้าสิบบาทเชียว เอ็งต้องดีใจกับข้าถึงจะถูก" สิงห์ยิ้มประจบพลางนับนิ้วเอ่ยเงินที่ได้จากการพนันอย่างตื่นเต้น
"นี่ข้าตกเป็นรองถึงสี่ต่อเชียวหรือ?" ธีรพลหยุดเดินและหันมาถามสิงห์ด้วยหน้าตาขึงขังจริงจัง
"ใช่ และที่สำคัญก็คือคนกว่าแปดเก้าส่วนพนันเข้าข้างคุณชายหน้าขาวนั่นทั้งสิ้น" สิงห์เอ่ยตอบ
"นั่นก็จริงอยู่ หากฝั่งตรงข้ามไม่เลิกล้มความคิดต่อสู้ อย่างไรท้ายที่สุดข้าก็อาจจะต้องแพ้อยู่ดี" ธีรพลทำหน้าห่อเหี่ยวส่งเสียงแผ่วกล่าวขึ้น
"เอ็งก็อย่าเศร้าไปเลย แม้คุณชายนั่นจะเก่งกาจ แต่เอ็งก็ยังสู้อีกฝ่ายได้อย่างสูสี ใครจะรู้ว่าหากพบกันครั้งหน้า เอ็งอาจจะเป็นต่อก็ได้" สิงห์ตบไหล่ธีรพลเอ่ยกล่าวปลอบใจอยู่พักใหญ่จนทั้งสองขึ้นรถม้าออกจากสนามพรรคม้าเหล็กกลับเข้าตัวเมืองเขลางค์นครไป