"แย่แล้ว!"
ก้านที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองหลงกล แม้จะชักช้าไปอยู่จังหวะหนึ่ง แต่ด้วยความว่องไวที่โดดเด่นเฉพาะตัว เขาจึงสามารถพลิกหันกลับมาเผชิญหน้ากับธีรพลได้แทบจะใกล้เคียงกับเวลาที่ธีรพลทิ้งตัวลงพื้นตั้งหลักมั่น
แต่เพียงชั่วพริบตาของช่องว่างจุดอ่อนที่เผยออก ธีรพลก็พลันปลดปล่อยกำปั้นขวาที่แฝงด้วยพลังอันแกร่งกร้าวรุนแรงขุมหนึ่งคุกคามเข้าที่ท้องน้อยของก้านอย่างรวดเร็ว
วืด!
เนื่องจากไม่สามารถตั้งท่ารับอาวุธของธีรพลได้ทันการณ์ ก้านจึงตัดสินใจหงายตัวก้นจ้ำเบ้าลง หลบกำปั้นของธีรพลอย่างทุลักทุเล แต่ผลก็ทำให้หมัดข้างนั้นเฉียดผ่านร่างของเขาไปอย่างหวุดหวิด หลบรอดหมัดพิฆาตที่สามารถทำให้ลำต้นกล้วยหักกลางลงได้
ทันทีที่เห็นก้านเริ่มมีเค้าลางความเพลี่ยงพล้ำ ธีรพลก็ไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไป เขารีบตามติดร่างของก้านดุจเงาตามตัว กำปั้นซ้ายพลันถูกง้างและปลดปล่อยออกเล็งเข้าทรวงอกของก้านมาแต่ไกล
แต่ขณะอยู่ห่างจากก้านเพียงไม่เกินศอก หมัดข้างซ้ายอันดุร้ายนั้นจู่ๆก็พลันผลุบหายไปอย่างไร้ร่องลอย ปล่อยให้ก้านที่ลุกยืนทรงกายขึ้นอย่างยากลำบากนั้น ยกแขนทั้งสองขวางค้างกันไว้ที่หน้าอก
"หิรัญม้วนแผ่นดิน"
อาวุธประจำกายท่าใหม่ของธีรพลปรากฏขึ้นอีกครา ศอกขวาวกกลับหลังเป็นเส้นโค้งอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงกระแทกเข้าใส่ท่อนแขนของก้านที่ยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าข้างซ้ายไว้ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
เปรี้ยง!
แรงปะทะอันหนักหน่วงจากพลังอันแกร่งกร้าวกระแทกร่างของก้านให้ลอยกลับหลังไปจนเกือบตกขอบเวทีฝั่งหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องดังระงมด้วยความหวาดเสียวจากฝูงชนที่ยืนลุ้นผลการต่อสู้คู่นี้ด้วยจิตใจจดจ่อ
"ไอ้ก้าน ข้าจ้างเอ็งด้วยเงินไม่น้อย เอ็งจะมาแพ้แบบนี้ไม่ได้" ถึงคราที่เฮียสมบัตินั่งไม่ติด ร้อนใจรีบป้องปากตะโกนอย่างมีน้ำโหสั่งให้นักสู้ที่ตนพนันเข้าข้างกลับมาฮึดสู้แต่โดยไว
"ไอ้ธี รีบเผด็จศึกเร็ว!" เมื่อเห็นก้านใกล้จะตกขอบเวทีไป ทั้งสิงห์และเฮียจวงพร้อมด้วยลูกน้องทั้งหมดจึงแสดงท่าทางกวักแขนร้องตะโกนบอกให้ธีรพลรีบเข้าจัดการปิดบัญชีศัตรู
แม้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในขณะนี้เป็นเวลาที่ธีรพลสามารถพลิกจังหวะกลับมามีโอกาสชนะอย่างงดงามได้แล้ว ซึ่งด้านธีรพลก็ไม่ปลดปล่อยให้ก้านได้มีโอกาสพลิกฟื้นคืนเช่นกัน
ธีรพลเร่งเร้าพลังชีวิตภายในกายถึงขีดสุด ร่างพลันเคลื่อนเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็ว ขยับลดช่องว่างกว่าหนึ่งวาในพริบตา แขนซ้ายถูกเหวี่ยงออกง้างกำปั้นเล็งเข้าที่ทรวงอกของก้านอีกครั้ง
เมื่อเห็นดังนั้นก้านก็ตัดสินใจที่จะสู้ตาย ใช้ความว่องไวรวมรั้งพลังชีวิตในกายทั้งหมดไปยังเท้าซ้าย หมายใช้อาวุธออกทีหลังบรรลุถึงก่อน แก้พลิกสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดี
"ขุนยักษ์จับลิง"
แทนที่ธีรพลจะเคลื่อนที่ต่อในลักษณะเดิม แต่ก็กลับเปลี่ยนจังหวะละทิ้งหมัดซ้าย สะอึกเข้าหาท่าเตะของก้านตามเคล็ดวิชา เกร็งพลังยกท่อนแขนขวาขึ้นรับท่าเตะอันรุนแรง ยับยั้งการตอบโต้เฮือกสุดท้ายของก้านไว้อย่างมั่นคง
ตามติดกันนั้น ธีรพลสะบัดแขนขวาที่ชาหนึบ ก้าวสืบเท้าซ้ายสั้นๆ ร่างย่อลงพร้อมกำหมัดประสานแขนทั้งสองข้างประกบติดกัน พลังชีวิตถูกรีดจากบ่อกำเนิดผลักส่งกำลังจากแกนกลางส่งกำปั้นคู่ชกเสยขึ้นไป
"หนุมานถวายแหวน"
กระบวนท่าที่สองจากสามท่าที่ธีรพลเรียนรู้จากลุงทองใบถูกปลดปล่อยออกใช้ในยามที่เหมาะเจาะเป็นที่สุด หมัดคู่เสยเข้าที่กรามของก้านอย่างถนัดถนี่ ส่งให้ร่างลอยลิ่วตกน้ำไปในที่สุด
"ไอ้ธี สุดยอด" สิงห์เฮลั่นสุดเสียง กระโดดตัวโยนท่ามกลางฝูงชนรอบข้างที่บ้างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บ้างก็กุมขมับด้วยความผิดหวัง มีอารมณ์ความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป
"เราได้ผู้ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การแข่งขันรอบสุดท้ายจะมีขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงจากนี้" กรรมการผู้ควบคุมงานประลองหลังจากสั่งให้พนักงานพรรคเข้าช่วยเหลือก้านที่ตกลงน้ำไปแล้ว เขาก็ก้าวเดินขึ้นสู่เวที ก่อนประกาศข้อความด้วยเสียงอันดังต่อผู้เข้าชมทั้งหมด
"เจ้าไปพักก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปตามเมื่อถึงเวลา" กรรมการคนดังกล่าวหันมากล่าวกับธีรพล ก่อนจะใช้สายตาส่งให้อีกฝ่ายเดินกลับไปยังกระโจมที่พักตน
"มวยท่าเสาร้ายกาจจริงๆ ลำพังหากไม่มีอุบายทำให้อีกฝ่ายชะล้าใจ การแข่งขันครั้งนี้คงจะยุ่งยากไม่น้อย" ธีรพลเอ่ยขึ้นขณะที่นั่งเหยียดแขนพักขาอยู่ภายในกระโจม
"วิชาหมัดมวยมีอานุภาพร้ายแรงไม่ต่างกัน พลังชีวิตก็ตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน ความว่องไวก็กินกันไม่ขาด หากสู้กันอย่างไม่มีอุบาย การต่อสู้ครั้งนี้คงจะยืดเยื้อยาวนานไม่เบา สุดท้ายคงต้องวัดกันว่าผู้ใดพลังชีวิตหมดสิ้นก่อนคงต้องพ่ายแพ้ไป" สุบรรณวิเคราะห์
"โชคดีที่แผนตลบหลังสำเร็จได้ด้วยดี การต่อสู้ครั้งนี้เลยได้ชัย ที่สำคัญที่สุดคือสามารถปลดหนี้ให้กับไอ้สิงห์มันได้สำเร็จแล้ว ต่อไปคงไม่ต้องมาทนถูกข่มเหงรังแกอีก" ธีรพลเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจ เปลี่ยนท่าเป็นนอนเหยียดยาวด้วยความเกียจคร้าน
"เราดีใจด้วยที่เจ้าช่วยเกลอเจ้าไว้ได้ ว่าแต่ในรอบชิงชนะเลิศเล่าเจ้าวางแผนไว้เช่นไร?" สุบรรณเอ่ยถาม
"ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีเพียงวิชาบู๊เท่านั้นที่ทำให้ข้าก้าวผ่านฝันร้ายในอดีตมาได้ ข้าอยากจะปกป้องทุกคนที่ข้ารักให้ได้ ดังนั้นการพัฒนาฝีมือจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ข้าเก่งกาจขึ้น เพราะฉะนั้นคำตอบของข้าก็คือ ข้าจะพยายามสู้อย่างสุดกำลังเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงขึ้นในมรรคาวิชาบู๊" ธีรพลขมวดคิ้วเอ่ยตอบความรู้สึกที่ซ่อนเร้นในใจออกอย่างจริงจัง
"คู่ต่อสู้ของเจ้าในครั้งนี้นั้นต่างจากที่เคยผ่านมา หากไม่นับหญิงสาวชุดดำที่บังเอิญไปพบเจอเข้า คุณชายผู้นี้ฝีมือเฉพาะตัวเก่งกาจกว่าเจ้าหลายขั้นนัก การจะเอาชนะคงจะไม่ง่ายดาย" สุบรรณแยกแยะ
"คุณชายนั่นคงถึงขั้นใช้พลังงานธาตุได้แล้วใช่หรือไหม?" ธีรพลถามขึ้นด้วยความกังวลใจ เพราะหากว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่สามารถใช้พลังงานธาตุได้ ผลสุดท้ายแล้วคงเป็นตัวเขาเองที่เป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
"ยากที่จะคาดเดาขอบเขตสูงสุดที่สามารถกระทำได้ แต่จากการพิเคราะห์จับกระแสพลังเท่าที่ผ่านมา เราคาดว่าน่าจะไม่ผิดเพี้ยน เขาสามารถบังคับใช้พลังงานธาตุได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นธาตุไฟเช่นเดียวกับตัวเจ้าและเราด้วย" สุบรรณเอ่ยตอบ
"แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?" ธีรพลถามขึ้นด้วยความกลัดกลุ้มใจ
"หากอีกฝ่ายไม่ใช้พลังงานธาตุเข้าสู้ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าหากเลือกใช้ขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีหนทางอื่นนอกจากหยิบยืมใช้พลังงานธาตุของเราเข้าต่อกร แต่จงจดจำไว้ ร่างกายของเจ้ามีขีดจำกัดไม่อาจรองรับพลังงานธาตุเข้มข้นมากไป ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะบาดเจ็บทุกข์ทรมานแสนสาหัสเลยทีเดียว" สุบรรณกล่าวก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเคร่งขรึมในตอนท้าย
"เจ็บใจจริงๆที่ยังฝึกไปยังขั้นสูงๆไม่ได้" ธีรพลลุกขึ้นนั่งเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย เพราะหากเขาสามารถฝึกฝนฝีมือเฉพาะตัวจนสามารถอยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้แล้ว คงไม่ต้องมานั่งคับข้องใจอยู่เช่นนี้
"ใจเย็นๆเถิด เจ้าเพียงรู้จักใช้พลังงานชีวิตมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น จะให้เก่งกาจขึ้นทันตานั้นคงเป็นไปไม่ได้ และเท่าที่เจ้าทำมาก็เพียงพอกับการใช้คำว่า มีพรสวรรค์ ได้แล้ว อีกทั้งนี่ก็เป็นเพียงการประลองเท่านั้น ใช่ว่าจะตัดสินความเป็นความตายกัน" สุบรรณเอ่ยคลายความกังวลให้กับธีรพล
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สำหรับความรู้สึกของการเป็นเบี้ยล่างนั้นมันชวนให้อึดอัดขับข้องใจเหลือเกิน ต่อจากนี้หากมีเวลาว่างเมื่อใด ข้าจะเร่งฝึกฝนนำพลังงานธาตุมาใช้ให้ได้" ธีรพลแสดงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวเอ่ยปฏิญาณขึ้นอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ
"คิดได้เช่นนั้นก็ดี หนทางในภายภาคหน้าคงจะขรุขระเสียมากกว่าราบเรียบ เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าจะได้มีทุนรอนไว้ใช้ในยามขับขันจำเป็น" สุบรรณเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยกย่องในวิธีการคิดของอีกฝ่ายจากใจจริง
"มีสิ่งหนึ่งที่ข้ายังไม่กระจ่าง ข้าเพียงรู้จากลุงทองใบมาว่าในร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยพลังงานสองประเภท คือพลังงานชีวิตและพลังงานธาตุ ซึ่งสำหรับพลังงานชีวิตนั้นข้าพอที่จะเข้าใจมาบ้างแล้ว แต่กับพลังงานธาตุนั้นข้ากลับไม่เข้าใจเลยสักนิด อีกทั้งยังไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยซ้ำว่ามีพลังงานนี้อยู่ภายในร่าง" ธีรพลขมวดคิ้วถามสิ่งที่เขาสงสัยมาได้สักพักหนึ่งแล้วต่อสุบรรณ
"ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่สามารถสังเกตพบได้ เพราะพลังงานธาตุก็คือพลังงานที่ผูกติดกับจิตวิญญาณของเจ้ามาตั้งแต่กำเนิด และยังคงไหลเวียนอยู่ในกายเจ้าเสมอมา เพียงแต่มันเป็นเรื่องปกติเสียจนเจ้าไม่คาดคิดว่ามีอยู่เท่านั้น" สุบรรณเอ่ยตอบก่อนจะอธิบายต่อไป
"พลังงานธาตุสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม คือหนึ่งธาตุร้อนและหนึ่งธาตุเย็น ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีธาตุย่อยรวมสี่สัณฐาน รวมทั้งสองกลุ่มเป็นแปดสัณฐาน ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ พิษ สายฟ้า น้ำแข็ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออัตลักษณ์พลังก็ล้วนแล้วแต่มีลิขิตฟ้าเท่านั้นเป็นผู้กำหนดให้ แต่ความแตกต่างระหว่างมนุษย์และอัตลักษณ์พลังนั้นอยู่ตรงที่ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเพิ่มขีดจำกัดพลังงานธาตุในกายได้ แต่สำหรับอัตลักษณ์พลังนั้นสามารถที่จะดูดรับพลังงานธาตุจากภายนอกมาเพิ่มขีดจำกัดได้โดยไม่มีจุดสิ้นสุด" สุบรรณอธิบาย
"แล้วเมื่อมนุษย์ใช้พลังงานธาตุออกไปเล่า จะดูดซับกลับคืนได้จากที่ใด?" ธีรพลถามต่อด้วยความฉงน
"พลังงานธาตุไม่จำเป็นต้องดูดซับดั่งเช่นพลังงานชีวิต เมื่อใช้จนหมดสิ้นแล้วก็จะมีผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากยังมีชีวิตอยู่พลังงานธาตุก็จะเพิ่มปริมาณขึ้นตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นถึงเพียงจุดสมดุลเดิมที่ร่างกายพึงมีเท่านั้น ซึ่งสำหรับอัตลักษณ์พลังนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกัน" สุบรรณเอ่ยตอบอธิบาย
"ถ้าเช่นนั้นในกายของมนุษย์หรือแม้กระทั่งอัตลักษณ์พลังก็มีพลังงานธาตุเพียงสัณฐานเดียวใช่หรือไม่?" ธีรพลเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
"โดยปกติทั่วไป ใช่ ดั่งเช่นลุงทองใบของเจ้า และอัตลักษณ์พลังมหิงสานั่น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อยกเว้น ผู้ที่มีพลังงานธาตุในกายมากกว่าหนึ่งสัณฐาน ก็เช่นเจ้ากับข้าอย่างไรเล่า"
"ข้าหรือ!" ธีรพลอุทานตกใจเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ชี้นิ้วเข้าที่ตนเองถามไถ่ขึ้น
"ไม่ผิด" สุบรรณตอบกลับสั้นๆ