ครุฑาจอมราชันย์เป็นนวนิยายแนวกำลังภายในแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วง พ.ศ.2470 คาบเกี่ยวไปถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเนื้อเรื่องจะเล่าถึงตัวเอกที่มีชื่อว่าธีรพล ชายชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ได้รับอัตลักษณ์พลังสถิตรูปพญาครุฑนามว่าสุบรรณมาตั้งแต่กำเนิด ในวัยเด็กนั้นเขาได้ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มองค์กรลึกลับซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ พรรคภูติราชันย์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพรรคผู้ร่วมก่อตั้งของภาคีซันเหอหรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนามว่าอั้งยี่ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่าหนึ่งร้อยสิบแปดปี แต่ด้วยความคิดจะตั้งตนเป็นเจ้าในแผ่นดินสยามจึงได้ถูกพรรคบัวมารมรกต หรืออีกหนึ่งพรรคก่อตั้งตลบหลังให้ความร่วมมืออย่างลับๆกับทางการ จนเป็นผลให้พรรคภูติราชันย์ถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินสยามในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ในเวลาต่อมา แม้ทางภาคีซันเหอจะคาดคิดว่าพรรคภูติราชันย์ได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้วก็ตาม แต่เมฆผู้เป็นบิดาของธีรพลก็ได้ไปค้นพบหลักฐานของการดำรงอยู่ของพรรคภูติราชันย์เข้า จนส่งผลให้ทั้งตัวเขารวมไปถึงลี่ผู้เป็นภรรยาและธีรพลในวัยสี่ขวบถูกติดตามฆ่า จนในที่สุดเมฆและลี่ก็ถูกหนึ่งในขุนพลของอีกฝ่ายสังหารลง แต่สำหรับธีรพลที่ได้รับความช่วยเหลือจากทองใบเกลอคนสนิทของเมฆไว้นั้นก็สามารถหลบหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่เวียงพิงค์ อีกกว่าสิบห้าปีถัดมา ธีรพลในวัยฉกรรจ์ที่ได้รับการฝึกฝนมวยไทยอย่างหนักจากทองใบก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้เขาได้รู้จักกับพลังงานชีวิต พลังงานธาตุ และอัตลักษณ์พลัง จนนำไปสู่การค้นพบสุบรรณในที่สุดซึ่งก็ทำให้เขาได้พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับขั้น ด้วยโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตเขาต้องเข้าไปผัวพันกับภาคีซันเหอ องค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลสูงสุดในสยามประเทศ ธีรพลก็จึงได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ผิดกฎหมาย และต้องต่อสู้กรุยทางเพื่อสร้างพรรคของตนให้มีอิทธิพลอำนาจสูงขึ้นในภาคีและตามล่าหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสังหารครอบครัวของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของชีวิตผู้คนในพิภพสหัสดาราที่ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานต่างมิติกับโลกมนุษย์ ที่ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหนอันสืบเนื่องมาจากพระราชาองค์ปัจจุบันได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้บรรดาเผ่ามนุษย์ที่เคยสมัครสมานสามัคคีกันได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแสวงหาอำนาจต้องการตั้งตนเป็นใหญ่ และที่สำคัญที่สุดเผ่าพันธุ์อสูรที่เคยถูกสยบอยู่กว่าสองพันปีก็ได้โอกาสอันดีเริ่มเคลื่อนไหวรุกรานอาณาจักรต่างๆอีกครึ่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ทิตยะ ก็ทำให้ธีรพลได้พบกับแม่ทัพใหญ่อัศวเมธ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือตามหาองค์ชายราวินทร์ที่หายสาบสูญไปจากพิภพสหัสดารา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วหลังจากธีรพลออกค้นหาอยู่ภายในโลกมนุษย์ได้สักระยะหนึ่งก็ได้พบกับองค์ชายราวินทร์และช่วยกันกำจัดพรรคภูติล้างวิญญาณซึ่งมีตัวการใหญ่ก็คือจอมเวทย์บุศัยยะ ผู้ที่แฝงตัวเข้ามายังโลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงานธาตุจากอัตลักษณ์พลัง และที่สำคัญก็คือจอมเวทย์ผู้นี้เองเป็นผู้ที่สั่งการฆ่าครอบครัวของเขา เมื่อไม่มีจอมเวทย์บุศัยยะคอยบงการ พรรคภูติราชันย์จากที่จะสามารถล้มล้างภาคีซันเหอซึ่งเป็นศัตรูสำคัญลงได้และกำลังจะดำเนินแผนการยึดครองสยามประเทศ ก็ได้ถูกธีรพลซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำภาคีพลิกสถานการณ์เข้าจัดการจนสามารถล้มจอมราชันย์ของพรรคลงได้ และทำลายแผนการอันชั่วร้ายของพรรคภูติราชันย์ทั้งหมด จากนั้นธีรพลก็ได้กลับไปยังพิภพสหัสดาราเพื่อช่วยเหลือองค์ชายราวินทร์ รวบรวมคนจากเผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่านาคาและเผ่าสัตว์เทพเข้าต่อกรกับเผ่าอสูรที่จอมเวทย์บุศัยยะบงการอยู่ เพื่อขัดขวางการปลุกชีพจอมมารรามสูรที่เคยอาละวาดเมื่อราวสองพันปีก่อนลง ซึ่งด้วยพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความเก่งกาจของธีรพลที่มีอัตลักษณ์พลังสถิตอยู่ด้วยกันถึงห้าตน ก็ทำให้เขาสามารถสังหารจอมเวทย์บุศัยยะผู้เป็นตัวการพรากชีวิตของบิดามารดาเขาลงได้และสามารถช่วยเหลือพิภพสหัสดาราไว้ได้ในที่สุด
ในคืนเดือนมืดที่ดูเหมือนบรรยากาศจะสงบเงียบเป็นพิเศษ ท่ามกลางเสียงแมลงน้อยใหญ่ร่ำร้องให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ มีหนึ่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทำลายความสงบโดยรอบมาแต่ไกล
ควายเทียมเกวียนคันหนึ่งแล่นผ่านพื้นที่ชายป่าติดนาเกลือที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาไปอย่างเร่งร้อนตัดกับบรรยากาศโดยรอบไปอย่างสิ้นเชิง ตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่เบื้องหน้าเกวียนส่องสว่างให้เห็นชายวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงโปร่ง ที่มองดูแล้วเห็นเค้าความองอาจอยู่รำไร
เชือกจูงในมือชายคนดังกล่าวบังคับเร้าเร่งจตุบาทสหายคู่ใจในยามยากอย่างร้อนรน พร้อมกับชำเลืองมองไปยังทิศเบื้องหลังอยู่เป็นนิตย์ ราวกับว่าจะมีพญามัจจุราชตามมาทวงเอาชีวิตอยู่ก็มิปาน
"อีกไกลไหมเมฆ?" เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังชายคนดังกล่าวเอ่ยดังขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ดูกระวนกระวายใจเป็นที่สุด
"อีกไม่เกินชั่วโมง น่าจะถึงจุดที่เรานัดหมายกับพี่ทองใบไว้แล้ว" ชายที่ถูกเรียกหาว่า "เมฆ" หันกลับมาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ป่านนี้พวกมันคงจะพบเห็นร่องรอยพวกเราแล้ว อีกไม่นานน่าจะไล่ตามมาทัน" หญิงสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความกังวลใจ
เนื่องด้วยทั้งสองรู้ดีแก่ใจว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเร่งรีบเดินทางโดยไม่หยุดพักติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว แม้จะอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ควายเทียมเกวียนเจ้ากรรมก็ไม่อาจทนทานต่อไปได้อีก
และเมื่อไม่อาจเพิ่งพาพาหนะที่มีชีวิตได้อีกต่อไป ทั้งสองจึงตัดสินใจละทิ้งเกวียน ปลดแอกให้เกลอเพื่อนยากเป็นอิสระ ก่อนจะทิ้งทางถนนเดินเท้าตัดทะลุดงไม้เบื้องขวาออกไป
"ตาธี ธีลูกแม่ ตื่นได้แล้วลูก" หญิงสาวร้องเรียกเขย่าตัวลูกชายวัยสี่ขวบที่นอนขดตัวอยู่ในอ้อมอกของเธอด้วยความเอ็นดู
ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าเธอจะผ่านความยากลำบากมามากมายเพียงใดก็ตาม ขอเพียงแต่ได้มองหน้าลูกชายที่อยู่ในวัยกำลังซุกซนผู้นี้ ความเหนื่อยล้าก็อันตรธานไปสิ้น ก้นบึ้งในจิตใจราวกับมีพลังงานพิเศษบางอย่างเอ่อล้นออกมาอย่างบอกไม่ถูก จากที่เคยจะหมดเรี่ยวสิ้นแรง ก็มีแรงฮึดสู้ต่อไป
"เดินไหวไหมลูก?" หญิงสาวเอ่ยยิ้มถามขึ้นอย่างอ่อนโยน
แม้เธอจะสามารถเดินต่อไปได้ในลักษณะนี้ แต่เพราะเส้นทางที่ชื้นแชะนั้นทำให้การเคลื่อนตัวโดยอุ้มเด็กไว้เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง อีกทั้งยังจะทำให้ทั้งหมดเชื่องช้าลง ไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องเดินแข่งกับเวลาเช่นนี้เป็นที่สุด
ถึงแม้หน้าตา เนื้อตัวจะมอมแมมเนื่องจากความตรากตรำในการหลบหนี แต่ลูกชายที่ยังไม่ทันได้ตื่นลืมขึ้นอย่างเต็มตาดีนัก ก็แสดงออกถึงธาตุแท้ของความเด็ดเดี่ยวที่ขัดกับวัย เขาพยักหน้ารับยิ้มตอบ พร้อมกับคว้าจับมือแม่อันเป็นที่รักไว้แน่น ก่อนก้าวเท้าเดินออกไปอย่างว่าง่าย
ทั้งสามเดินตัดผ่านนาเกลือไปอย่างทุลักทุเล แต่นั้นก็ทำให้สามารถร่นระยะทางลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อพอเทียบเวลาดูแล้ว หากเดินต่อไปอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีก็น่าจะถึงจุดหมายที่นัดเรือประมงพาหนีเข้าทะเลอ่าวไทยได้ในทันที
แม้จะลำบากลำบนก้าวผ่านบนพื้นดินโคลนที่ต้องใช้พละกำลังมากในการเคลื่อนตัวอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนฝนฟ้าจะไม่รับรู้ อีกทั้งยังจะไม่เป็นใจ เทกระหน่ำสาดซัดลงมาทั้งๆที่ปราศจากเมฆฝนตั้งเค้าให้เห็นแต่อย่างใด ซึ่งนั้นก็ทำให้ทั้งสามเชื่องช้าลงอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ธี อดทนหน่อยนะลูก อีกไม่ไกลแล้ว" ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวตะเบ็งเสียงสู้พระพิรุณที่ยิ่งมายิ่งหนาหนักขึ้นเรื่อยๆ เอ่ยให้กำลังใจลูกชาย พร้อมกับหันหน้ามาดูสภาพภรรยาสาวคนสวยที่ความตรากตรำไม่อาจพรากความงามที่มีมาแต่กำเนิดของเธอลงได้
ชั่ววูบหนึ่งของความคิด ในความทรงจำที่ผ่านมา เขายังจำได้เสมอว่าหญิงสาวในวัยใกล้เคียงกันนี้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งเพียงใด ทั้งรูปโฉมโนมพรรณ การศึกษา ชาติตระกูลก็ล้วนแล้วแต่เกินกว่าที่เขาจะเอื้อมคว้ามาด้วยประการทั้งปวง แต่สวรรค์เอ๋ย ใครจะเชื่อว่าหญิงสาวที่เพียบพร้อมเช่นนี้ แม้จะมีคนหมายปองเธอมากมาย มีชายที่ดีพร้อมให้เธอเลือกดั่งซื้อผักซื้อปลา แต่เธอก็ดันมาหลงรักเขา เมื่อนึกดูแล้วก็ทำเอาสะทกสะท้อนใจที่ตอนนี้ตัวเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ภรรยาสาวต้องมาตกระกำลำบาก หลบหนีหัวซุกหัวซุนอยู่เช่นนี้
"นั่น!"
แม้จะอยู่ห่างออกไปไกลลิบ แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมของเมฆ ประกอบกับอยู่บนพื้นที่โล่ง ในที่สุดเขาก็ปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ยับยั้งความคิดชั่วแล่นของตนเอาไว้ชั่วคราว ชี้มือไปยังตำแหน่งคันดินที่อยู่สูงจากพื้นราวหนึ่งวาผืนหนึ่ง ซึ่งเบื้องบนปลูกสร้างไว้ด้วยโกดังไม้ชั้นเดียว หันหน้าเข้าหาท้องทะเล และที่สุดปลายมีสะพานไม้ยื่นทอดยาวออกไปไว้ใช้สำหรับลำเลียงขนถ่ายเกลือสินค้าลงลำเรือ
ราวกับมีแสงสว่างอันน้อยนิดที่ปลายอุโมงค์ ความรู้สึกกดดันที่เคยกัดกร่อนสติสัมปชัญญะก็ล้วนมลายไปสิ้น ความหวังในจิตใจที่เคยเหือดแห้งก็เริ่มเอ่อนองขึ้น เมื่อพบหนทางรอดที่กำลังเปิดออก
เมฆกล่าวเร่งภรรยาและลูกชายให้เคลื่อนไหวไวขึ้น จากเดินเป็นกึ่งวิ่งทั้งหมดก้าวฉับๆอย่างไม่ลดละ กระทั่งอยู่ห่างจากคันดินเพียงไม่เกินสามสิบวา จิตใจที่เคยหนักอึ้งก็เริ่มจะผ่อนคลายลงได้บ้าง
แต่ทันใดนั้นเองเสียงม้าแผดร้องจากการถูกเฆี่ยนลงแส้เร่งความเร็วอย่างหนักก็ดังรอดมาจากเบื้องหลัง ทำให้เมฆและภรรยาต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าไปตามกัน
"ไม่คิดว่าจะไวปานนี้" เมฆบ่นพึมพำ ก่อนจะชักนำภรรยาและลูกขึ้นหน้าตนเปลี่ยนเป็นรั้งท้าย คอยรับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงที่กำลังจะอุบัติขึ้น
เมื่อทั้งสามก้าวขึ้นบนคันดินได้อย่างมั่นคง ก็เป็นเวลาเดียวกันที่ม้าพันธุ์ดีรูปร่างสูงใหญ่จำนวนสี่ตัวไล่กวดมาถึง
ม้าทั้งสี่ยังไม่ทันได้หยุดยั้งฝีเท้าลง เงาร่างดำทะมึนสี่สายก็กระโดดลอยตัวข้ามผ่านพื้นที่ช่องว่างกว่าสี่วา ทิ้งตัวลงบนคันดินอย่างราบรื่น ก่อนจะแยกย้ายกันเป็นสี่ทิศ ปิดบังทางรุกถอยหนีของเมฆและครอบครัวไว้ยังกึ่งกลาง
ทั้งสี่ร่างเคลื่อนไหวออกทีหลังแต่กลับบรรลุถึงตำแหน่งแง่มุมอันมีเปรียบได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ทุกการเคลื่อนไหวของทั้งสี่ล้วนรื่นไหลเคลื่อนติดตามกัน แสดงออกให้เห็นถึงพลังฝีมืออันน่าตระหนก และการสอดประสานร่วมงานกันออกมาได้อย่างไร้ช่องว่างจุดอ่อนให้ฉกฉวย
ด้านเมฆที่แม้จะเห็นว่าผิดท่า แต่หากเรือโดยสารและพี่ทองใบเกลอคนสนิทของเขาที่นัดหมายไว้มาถึง เขาก็มั่นใจถึงเจ็ดแปดส่วนว่าจะพาลูกและภรรยาตีฝ่าวงล้อมออกไปได้ แต่นี่กลับย่ำแย่กว่าที่เขาคาดคิดไว้โข เรือโดยสารที่จ้างวานไว้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ทั้งพี่ทองใบที่นัดหมายกันไว้ก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็นแต่อย่างใด ความหวังที่นับว่ามีอยู่น้อยนิดเกือบพังทลายไปสิ้น
"จากมา สบายดี" ชายผู้อยู่ทิศเบื้องหน้าและดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของคณะอาคันตุกะทั้งสี่ จู่ๆก็พลันเอ่ยขึ้นโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุราวกับรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวเมฆเป็นอย่างดี
"พี่หลง!"
แม้ผู้ไล่ล่าคนดังกล่าวจะโพกผ้าคลุมศีรษะมาอย่างมิดชิดเพียงใดก็ตาม แต่เสียงๆนี้ที่เปล่งออกมานี้ ก็ไม่อาจหลบซ่อนปกปิดความคุ้นเคยจากภรรยาสาวของเมฆไปได้
"ต้องขออภัยที่ให้รอนาน" ชายที่ถูกเรียกหาว่า "พี่หลง" ค่อยๆปลดเปลื้องผืนผ้าที่ปกปิดใบหน้าลงอย่างใจเย็น ก่อนจะเผยอยิ้มเย็นที่ชวนให้ขนลุกเกลียว
และก่อนที่ฝั่งตรงข้ามจะพูดถามอันใดต่อไป ชายผู้ถูกเปิดโปงก็ชิงยกมือห้ามปรามทำสัญลักษณ์เป็นเชิงบอกกล่าวว่าถามอันใดมาก็ป่วยการ แล้วจึงค่อยกล่าวต่อไป "คราครั้งนี้ ท่านจอมราชันย์ต้องทุ่มทุนไปไม่น้อยกว่าจะค้นพบตัวน้องทั้งสอง อีกทั้งยังสั่งการให้พวกเราออกตามล่าลงมือด้วยตัวเอง สุ่มเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงตัวตนเป็นที่สุด แต่เอาเถอะ...อย่างไรเสียทุกอย่างก็ต้องสิ้นสุดในค่ำคืนนี้"
"ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่หลงก็เป็นหนึ่งในพวกมัน" เมฆกัดฟันกรอดลอบเกร็งกำลังเตรียมตัวรับศึกกับศัตรูทั้งสี่พลางเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บแค้นที่เคยหลงไว้ใจชายคนดังกล่าว
"เมฆเอ๊ย ถ้าจะมีอะไรผิด ก็ผิดที่เจ้าไปรับรู้เรื่องราวที่ไม่ควรรู้นั้นแหละ ถึงข้าจะห่วงใยเอ็งเสมือนน้องชาย แต่อย่างไรเสียเรื่องราวของพรรคก็ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว" หลงเบี่ยงตัวหันหลังกลับมองไปยังทะเลอันไกลโพ้นอย่างช้าๆ เขาถอนหายใจเบาๆเนื่องจากรู้สึกสะทกสะท้อนใจในชะตากรรมของอีกฝ่ายพลางเอ่ยพูดขึ้นเนิบๆตอบกลับไป
"เรื่องนี้ ลี่และตาธี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ถ้ามีอะไรก็มาลงที่ข้า ข้าจะรับมันไว้เอง" เมฆที่ตอนนี้แม้จะสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังทำใจดีสู้เสือเอ่ยประวิงเวลารอจังหวะที่เหมาะสมชิงเป็นฝ่ายลงมือ อีกทั้งการจงใจกล่าวเช่นนี้แม้ไม่มากก็น้อยที่อีกฝ่ายต้องนึกถึงการณ์เก่าก่อน เป็นเหตุให้สภาวะอ่อนโทรมลง
"เรื่องราวในวันนี้ไม่อาจประนีประนอม พวกเจ้าไม่มีหนทางเลือกอื่น แต่เอาเถิด เห็นแก่สัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน หากพวกเจ้าไม่ขัดขืน ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสองได้ตายอย่างรวบรัด พวกเจ้าจะไม่ทันได้รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ ส่วนลูกของเจ้า ข้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ ส่วนจะอยู่รอดหรือไม่ ก็แล้วแต่บุญกรรมของมันเอง" แม้จะรู้ว่าที่เมฆเอ่ยขึ้นนั้นเพียงเพื่อคิดถ่วงเวลา แต่หลงที่ถือไพ่เหนือกว่าก็ยังยินยอมเดินตามหมากของอีกฝ่าย ทั้งนี้เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องลงแรงต่อสู้จนฝ่ายตนต้องมารับบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งสูญเสียจากการปะทะ ดังคำที่ว่า อย่าไล่หมาให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม เพราะถ้าหากหมามันรู้สึกจนตรอกเมื่อใดมันย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตมันไว้ เมื่อถึงเวลานั้นฝ่ายตนย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไป ดังนั้นการเว้นทางถอยให้กับอีกฝ่ายยอมเป็นหนทางที่เหมาะสมของนักเลงเก่าผู้ช่ำชอง
"อย่างนั้นขอส่งตาธีจากไปก่อนได้หรือไม่? แล้วจากนั้นจะกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่พี่หลงจะกรุณา" เมฆแสร้งทำเป็นน้ำเสียงอ่อนลงวิงวอนให้อีกฝ่ายเห็นใจ แต่แท้จริงแล้วเขาต้องการที่จะส่งลูกให้พ้นห่างออกจากวงต่อสู้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วงหน้าพะวงหลังอยู่เช่นนี้
เมื่อได้ฟังดังนั้น หลงก็พลันหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นสั้นๆก่อนจะกล่าวตอบไป "ได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ใช่เด็กอมมือไม่รู้ประสา จึงจะได้หลงกลลูกไม้ตื้นๆเช่นนี้ และตอนนี้ก็ยังไม่ถึงตาที่เอ็งจะมาต่อรอง"
"พอเถอะ อย่าเสียเวลาเลย ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว" ภรรยาสาวของเมฆชื่อ "ลี่" ที่ยืนอิงพิงกับสามีตนโดยมีลูกน้อยคั่นอยู่ตรงกลาง จงใจเอ่ยเสียงดังขึ้นราวกับมีแผนการมั่นเหมาะ จึงได้บอกกล่าวกับศัตรูออกไปตรงๆ
ทันใดนั้นพลังงานอันโอฬารสองสายจากหนึ่งหญิงหนึ่งชายที่เป็นศูนย์กลางก็พลันประทุทะลักทะลายออกมาอย่างไม่ปิดบังอำพราง
"สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่ของภาคี"
แม้ว่าทั้งสี่โดยรอบจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องตื่นตะลึงกับพลังงานชีวิตอันล้นหลามที่ปล่อยออกมาจากคู่สามีภรรยาทั้งสองนี้
ไอร้อนละอองสีขาวขุ่นสายแล้วสายเล่าพลันปรากฏขึ้นและตีเกลียวหมุนวนอยู่รอบกายเมฆอย่างน่าอัศจรรย์ จากเดิมที่ฝนตกจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มโชก ตอนนี้บนร่างของเมฆถึงกับปราศจากเค้ารางของคราบน้ำฝน ชุดเสื้อที่เขาสวมใส่ไว้ก็เบ่งพองขึ้นเล็กน้อย ผมเผ้าก็แลดูชี้ชันจนผิดวิสัย อีกทั้งเมื่อมองดูใกล้ๆแล้วยังจะเห็นเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบพลันเปลี่ยนทิศทางทันใดเมื่อเข้าใกล้กายเขาในรัศมีหนึ่งศอก
ส่วนทางด้านลี่ภรรยาสาว ทั้งผมเผ้าร่างกายเสื้อผ้าก็ล้วนกลับกลายเป็นแห้งสนิทในบัดดล ไอน้ำสีขาวขุ่นอันเกิดจากการระเหยของห่าฝนลอยคละคลุ้งปกคลุมทั่วทั้งร่าง กลุ่มไอ้ร้อนหนาแน่นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยรวมตัวกันขึ้น จนในบางจังหวะก็บังเกิดการสันดาปเป็นสะเก็ดไฟสีส้มแตกดังเพียะพะมาให้ได้เห็นเป็นระยะ
เมฆฉวยโอกาสขณะที่ศัตรูยังไม่ทันได้ตั้งหลักรับสถานการณ์อย่างมั่นคง เขาชิงจังหวะพุ่งตัวด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พุ่งเข้าปะทะหลงที่อยู่ห่างออกไปเพียงวาเศษ
ทันใดนั้นอุณหภูมิโดยรอบระหว่างคนทั้งสองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ละอองไอ้ร้อนสีขาวที่ตีเป็นเกลียวอยู่รอบร่างพลันเปลี่ยนทิศทางมารวมรั้งไว้ที่แขนข้างขวาของเมฆอย่างหนาแน่น
กำปั้นเมฆหดขยายเป็นภาพเงาซ้อนด้วยความเร็วตามติดกันดั่งเล่นกล พลังงานที่รวมตัวกันอยู่ที่แขนขวาแปรเปลี่ยนสภาพเป็นเกลียวคลื่นพายุลูกย่อมๆเหนือกำปั้นของเขา เพียงแค่นึกถึงสภาพหากโดนกำปั้นข้างนี้เข้าไปจังๆ ทั้งเลือดเนื้อและกระดูกคงแหลกเละไม่มีชิ้นดี
ทางด้านหลงผู้เป็นเป้าหมาย ที่ก็ผ่านสมรภูมิน้อยใหญ่มาไม่ต่างจากเมฆก็ยอดเยี่ยมยิ่ง ในคราขับขันแทนที่จะแตกตื่นลนลาน แต่เขากลับเร่งเร้าพลังงานชีวิตภายในกายอย่างว่องไว หวังใช้แข็งชนแข็ง หมายเข้าปะทะวัดพลังชีวิตกันอย่างซึ่งๆหน้า
เพียงชั่ววูบความคิด ลูกไฟสีขาวนวลก็ปรากฏขึ้นบนกำปั้นขวาของหลง ทันใดนั้นอุณหภูมิจากเดิมที่ว่าร้อนแล้วก็ยิ่งร้อนระอุทบทวียิ่งขึ้นไป แม้จะยังไม่ทันได้เข้าปะทะแต่พลังงานจากขั้วทั้งสองก็เกิดการกัดกร่อนและฉีกกระชากกันเองอย่างบ้าคลั่ง
"เอ๊ะ!"
แต่ในระหว่างที่กำปั้นทั้งสองกำลังอยู่ห่างจากกันเพียงศอกเศษ หลงก็พลันนึกเอะใจ รีบพินิจรูปลักษณ์ของเมฆที่เบื้องหน้าแต่โดยไว ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าผิดท่าเพราะร่างเมฆที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นเพียงร่างเงาเท่านั้น
"ระวัง!"
ขณะที่ผู้ไล่ล่ากำลังงงงันกับภาพที่เห็นอยู่นั้น ร่างของเมฆก็พลันพุ่งเข้าปะทะกับหลงแล้ว แต่แทนที่ร่างดังกล่าวจะระเบิดพลังการทำลายล้างออกมา ก็กลับดับสลายสูญไปสิ้นราวปาฏิหาริย์ทันทีที่กระทบถูกดวงไฟสีขาวลูกนั้น
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่ร่างของเมฆปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งทางเบื้องขวาห่างออกไปจากตำแหน่งเดิมราวสามวา และเพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้าสู่ระยะประชิดเตรียมตัวลงมือกับศัตรูที่อยู่ริมคันดินแล้ว
"เงามายา"
หลงที่พึมพำเสียงยังไม่ทันได้ขาดห้วงดี กำปั้นข้างหนึ่งที่หมุนวนไว้ด้วยพายุเกลียวของเมฆ ก็เงื้อง่าเตรียมปลดปล่อยพลังงานอันน่าสยดสยองออกมา
หนึ่งคนซึ่งพรักพร้อม อีกหนึ่งซึ่งฉุกละหุก แค่เพียงเสี้ยววินาทีของการเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ แม้จะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่สำหรับยอดฝีมือที่กำลังชิงชัยกันอยู่ ก็สามารถตัดสินความเหลือมล้ำต่ำสูง ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ได้ในเพียงชั่วลมหายใจเข้าออกไม่กี่ครา
เปรี้ยง!
ร่างคู่มือของเมฆลอยละลิ่วหลุดออกจากคันดินดั่งว่าวขาดป่าน ก่อนจะตกกระทบพื้นนาเกลือที่ห่างออกไปเกือบเจ็ดแปดวา และแม้จะดูว่าเหมือนว่าคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างลอยคว้างจนไร้การควบคุม แต่แท้จริงแล้วแม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบไฟ แต่ขอเพียงเป็นผู้ที่มีสายตาแหลมคมก็จะมองออกว่า ในขณะที่ปะทะกันนั้นผู้ไล่ล่าคนนี้ยังสามารถยกมือตั้งแขนทั้งสอง สร้างเกาะกำบังที่ทั้งแข็งกร้าวและอ่อนหยุ่นในเวลาเดียวกันขึ้นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้จะไม่สร้างอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็ลดทอนขีดความสามารถในการต่อสู้และคงต้องใช้เวลาฟื้นฟูกำลังอีกชั่วระยะหนึ่ง