webnovel

ตอนที่ 32 หยอกเย้า1/2

-23-

ประตูทางเข้าด้านหน้าคฤหาสน์สกุลชิง

หลังจากรถม้าของชิงหลินเคลื่อนตัวออกไปภายใต้การนำของมู่หลิ่งเหวิน ก็ปรากฏร่างบุรุษห้าคนควบม้ามาค่อนข้างเร็ว และหยุดลงที่หน้าประตูคฤหาสน์สกุลชิง

บุรุษที่นำหน้าเลิกคิ้วดาบมองรถม้าที่เคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยสายตาอ่านยาก จากนั้นก็พลิ้วกายลงจากหลังม้าสีขาวปลอดตัวใหญ่อย่างคล่องแคล่วสง่างาม

"คุณชาย ผู้ที่อยู่ในรถม้าคงจะเป็นบุตรีของคหบดีชิงหยวน สายข่าวของเราแจ้งว่าที่ภารกิจสุดหินสำเร็จลงได้อย่างง่ายดายล้วนเป็นเพราะนางขอรับ" อู่ต้าสงกระซิบรายงานเจ้านายด้วยท่าทางนอบน้อม

"อืม" บุรุษที่ถูกเรียกว่าคุณชายส่งเสียง ใบหน้างามมีเอกลักษณ์แย้มยิ้มแต่ดวงตาหาได้ยิ้มตามปากไม่

"สายข่าวยังแจ้งมาอีกว่า เฉินหลงฮ่องเต้มีราชโองการให้นางและบิดาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ด้วยขอรับ" อู่ต้าสงมองซ้ายขวาก่อนแล้วจึงรายงานต่อ

"หือ พ่อค้าธรรมดาไร้ยศไร้ตำแหน่ง เหตุใดจึงได้รับความสนใจนัก" ผู้เป็นคุณชายคิดวิเคราะห์ ดูท่าจะไม่ใช่สตรีธรรมดากระมัง

"เอ่อ...เชิญนายท่านทั้งหลายทางนี้ขอรับ" พ่อบ้านฝูออกมาต้อนรับบุรุษทั้งห้าตามคำสั่งของนายท่านชิงหยวน คนกลุ่มนี้แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาจนพ่อบ้านฝูที่พอมีวรยุทธ์อยู่บ้างยังหวาดหวั่นใจ

คุณชายเอาสองมือไพล่หลัง หน้ามองตรงพร้อมกับสาวเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน มีอู่ต้าสงและสามผู้ติดตามร่างสูงใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเฟิ่งอิงเดินตามปิดท้าย

ณ โถงรับรอง เรือนดาวดึงส์

"ถวายพระพรองค์ชายห้า" ชิงหยวนและฮูหยินทำความเคารพผู้สูงศักดิ์ หลังจากไล่บ่าวไพร่ออกไปจนหมดแล้ว

"ลุกขึ้นได้" บุรุษที่ถูกเรียกว่าองค์ชายห้ากล่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ไม่มีอาการประหลาดใจแต่อย่างใดที่อีกฝ่ายรู้ฐานะที่แท้จริงของตน

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ / ขอบพระทัยเพคะ" ชิงหยวนและชิงฮูหยินลุกขึ้น เชิญองค์ชายห้าประทับตรงกลาง ส่วนอู่ต้าสงนั่งฝั่งขวา ชิงหยวนและชิงฮูหยินนั่งฝั่งซ้ายขององค์ชายห้า ส่วนผู้ติดตามทั้งสามหรือจะเรียกให้ถูกก็คือองครักษ์ประจำตัวองค์ชายห้านั้น ออกไปยืนเฝ้าหน้าประตูสองนาย ขณะที่อีกนายยืนอยู่ด้านหลังขององค์ชายห้า

"สมกับเป็นสกุลชิง ใช้เวลาสั้นๆ ก็รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา" องค์ชายห้าหรือโจวหยางหมิ่นเป็นโอรสลำดับที่ห้าในโจวหยางเจี่ยนฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวกับหลี่เสียนเฟย นามตวนเหอ พระชายาที่ฮ่องเต้โปรดปรานมาก

"องค์ชายตรัสหนักไปแล้ว โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมเสียมารยาทพ่ะย่ะค่ะ"

"เป็นเราที่เสียมารยาทต่อท่านมากกว่า เห็นใต้เท้าอู่บอกว่าท่านปฏิเสธงานนี้" โจวหยางหมิ่นเอ่ยเข้าประเด็น

ชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ขององค์ชายห้า ก่อนจะก้มศีรษะลงตอบตามจริง "เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ"

"หากคิดปฏิเสธ เหตุใจจึงให้คนไปสืบประวัติเรา ไม่ใช่ว่าท่านเปลี่ยนใจรับทำงานนี้หรอกหรือ" องค์ชายห้ากล่าวอย่างรู้เท่าทัน

"ทรงพระปรีชายิ่งนัก ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนยิ้มตอบ

"ดี" องค์ชายห้าเอ่ยสั้นๆ ได้ใจความ

"แล้วจะไปตามหาจากที่ใด" อู่ต้าสงเอ่ยถามข้อมูล ด้วยสองเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่ฝ่าบาทมีราชโองการให้โอรสทั้งห้าตามหาสัตว์ในตำนานเพื่อมาประดับบารมี โดยมีตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นรางวัล ซึ่งอู่ต้าสงได้จ้างเหล่านายพรานและผู้รอบรู้มากมายเพื่อการนี้ แต่ไร้วี่แววหรือเบาะแสที่จะบ่งชี้ว่ามีเต่ามังกรจริงๆ

จนได้รับรายงานจากสายข่าวว่าที่แคว้นฉีมีพ่อค้าผู้หนึ่งสามารถตามหาสัตว์ในตำนานที่หาได้ยากยิ่งในเวลาเพียงสี่ห้าวัน ราวกับรู้ถึงแหล่งกบดานของสัตว์เหล่านั้นดีอยู่แล้ว จึงได้กราบทูลองค์ชายห้า และสุดท้ายก็เสด็จมาด้วยพระองค์เอง

"เอ่อ...หุบเขากินคนขอรับใต้เท้า" ชิงหยวนหันมาตอบอู่ต้าสง

"หุบเขากินคน? เจ้าหมายถึงหุบเขาที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดแห่งนั้นหรือ" อู่ต้าสงถามเสียงสูง จะว่าไปนั่นก็เป็นแห่งเดียวที่ไม่มีผู้ใดหาญกล้าเข้าไปตามหาเต่ามังกร

"ถูกแล้วขอรับ"

"อย่าหาว่าข้าดูหมิ่นท่านเลยนะ ข้าเกรงว่าจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นเสียเปล่าๆ" อู่ต้าสงเตือนสติชิงหยวน

"ข้าทราบถึงเรื่องนั้นดี เพียงแต่หากรู้แล้วยังนิ่งเฉยก็ไม่ใช่สกุลชิงแล้ว" ชิงหยวนกล่าวอย่างฮึกเหิม แม้จะรู้ถึงอันตรายดี แต่ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงที่สั่งสมมาจะให้ผู้ใดมาหยามเหยียดได้อย่างไร

"ดี! ช่างห้าวหาญยิ่งนัก ข้า อู่ต้าสงนับถือๆ" อู่ต้าสงชอบใจ ลุกขึ้นประสานมือให้ชิงหยวน

"มิกล้าๆ" ชิงหยวนรีบลุกขึ้นประสานมือตอบ

โจวหยางหมิ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยใบหน้าแย้มยิ้มตลอดเวลา

"แล้วจะออกเดินทางเมื่อใด" อู่ต้าสงถามถึงกำหนดการเดินทาง

"ยามเหม่าพรุ่งนี้ขอรับ" ชิงหยวนตอบอู่ต้าสง

อู่ต้าสงมององค์ชายห้าก่อน แล้วจึงค่อยหันมากล่าวกับชิงหยวน "เช่นนั้นเราจะกลับแคว้นโจวก่อน หากได้เรื่องอย่างไรช่วยไปแจ้งที่จวนสกุลอู่ของข้าด้วย"

"ได้ขอรับ" ชิงหยวนรับคำสั้นๆ

"แล้วเรื่องค่าจ้าง" อู่ต้าสงเอ่ยขึ้น

"สกุลชิงของเรามีกฎว่า...งานสำเร็จเงินค่อยมาขอรับ" ชิงหยวนชี้แจงแก่อู่ต้าสง

"ตกลงตามนั้น" อู่ต้าสงตบเข่าดังฉาดอย่างชอบใจ

ณ วังตะวันออก

มู่หลิ่งเหวิน มู่หลิ่งเฟิง และชิงหลิน ยืนอยู่หน้าตำหนักที่ทรุดโทรมตามรับสั่งขององค์รัชทายาท ซึ่งชิงหลินก็ไม่เห็นว่ามันจะทรุดโทรมตามคำกล่าวอ้าง โดยด้านหลังมีหนึ่งขันทีน้อยและสี่นางกำนัลยืนสงบนิ่งรอรับใช้อยู่

"ต้องรื้อทิ้งจริงหรือขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นพี่ชาย

"ใช่" คนตอบเหลือบมองน้องชายแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปหรี่ตามองตำหนักตรงหน้า

"หากท่านมีธุระก็เชิญได้เลยนะเจ้าคะ ไม่ต้องห่วงข้า" ชิงหลินที่อยู่ข้างหน้าทั้งสองหันกลับมาบอกเขา

"ธุระของข้าก็คือดูแลเจ้าไม่ให้ไปซุกซนจนเกิดเรื่องอีก" แม่ทัพหนุ่มตอบกลับคล้ายกำลังคุยกับเด็กเล็กๆ อยู่

"ฮึ! ปากแบบนี้น่าจะโดนซักหมัดสองหมัดให้กินข้าวไม่ได้สักสี่ห้าวัน" ชิงหลินบ่นพึมพำแล้วสะบัดหน้า กระแทกเท้าเข้าไปข้างในตำหนักพร้อมอุปกรณ์เขียนรูป ริมฝีปากอวบอิ่มขมุบขมิบว่าเขาไม่ได้หยุด ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำเป็นจานคว่ำ

"หึๆ" มู่หลิ่งเหวินหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นอาการกระเง้ากระงอดของนาง นึกประหลาดใจที่ทุกครั้งยามได้อยู่ใกล้นาง เขามักจะเผลอทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ร่ำไป พยายามตั้งสติหักห้ามใจแล้วแต่ก็ไร้ผล จนอดคิดไม่ได้ว่าตนอาจจะเป็นพวกมากราคะอย่างที่นางกล่าวหา จึงได้ลองเข้าใกล้สตรีอื่นดูบ้าง แต่กลับไม่รู้สึกอันใด ซ้ำยังหงุดหงิดจนต้องรีบออกห่างจากสตรีเหล่านั้น

"พี่หลินเอ๋อร์ รอข้าด้วย" มู่หลิ่งเฟิงรีบตามว่าที่พี่สะใภ้เข้าไปในตำหนัก ปล่อยให้แม่ทัพหนุ่มอยู่เพียงลำพัง ก่อนจะเลือกไปนั่งที่เก๋งหน้าตำหนักแทน เพราะถึงอย่างไรนางก็ต้องมานั่งเขียนรูปที่นี่เป็นแน่

ผ่านไปสองเค่อ

ชิงหลินเดินคุยกับมู่หลิ่งเฟิงออกมาจากตำหนัก แล้วตรงไปยังเก๋งที่แม่ทัพหนุ่มนั่งพิงเสาพลางกอดอกชันขาขึ้นมาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็วางขนานกับพื้น ดวงตาคมทั้งคู่ปิดสนิท

มู่หลิ่งเฟิงคุกเข่า โบกมือไปมาหน้าพี่ชายแล้วหันมากระซิบบอกว่าที่พี่สะใภ้เสียงเบา "พี่ใหญ่...หลับอยู่ขอรับ" ด้วยเกรงว่าพี่ชายจะตื่น ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วแม่ทัพหนุ่มแสร้งทำเป็นหลับ และรับรู้การมาของทั้งสองคนนับแต่ออกมาจากตำหนักแล้ว

"เช่นนั้นเราไปนั่งเขียนรูปที่อื่นกันเถิด อย่าไปกวนเขาเลย" ชิงหลินกระซิบเบาๆ

"ไปโดยไม่บอกจะดีหรือขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงกระซิบถามต่อ

"ไม่เป็นไรหรอก หากเกิดอะไรขึ้น พี่หลินเอ๋อร์คนนี้จะรับผิดชอบเอง ไปเถิด" หญิงสาวกระซิบตอบกลับอย่างห้าวหาญ คว้าข้อมือของเด็กน้อยได้ก็รีบย่องออกมาจากเก๋ง จากนั้นก็รีบจ้ำอ้าวตรงไปยังคอกของอาชาสวรรค์ ใบหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มอย่างมีความสุข

ขันทีน้อยและสี่นางกำนัลรีบรุดตามไปทันที ไม่เอ่ยปากห้าม ด้วยเป็นรับสั่งขององค์รัชทายาทที่ให้สิทธิ์คุณหนูชิงเข้านอกออกในได้เต็มที่ ยกเว้นวังหลัง

คล้อยหลังคนที่คิดว่าหลับก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ตามไปอย่างรวดเร็ว

ที่คอกม้า

"โอ้ นี่คืออาชาสวรรค์สีทองที่พี่ใหญ่บอกข้า งดงามยิ่งนัก ข้ามิเคยเห็นอาชาสีทองเช่นนี้มาก่อนเลยขอรับ" มู่หลิ่งเฟิงตาโตเป็นไข่ห่านด้วยความตื่นเต้นดีใจ สองเท้าก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ

"สวัสดี เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่" ชิงหลินสื่อสารทางจิตกับเจ้าอาชาสวรรค์สีทอง แล้วหันไปยิ้มให้อาชาสวรรค์สีดำกับสีน้ำตาลไหม้

"อ่อ...พัฒนาขึ้นแล้ว?" อาชาสวรรค์สีทองกลับย้อนถามสตรีที่มันยอมเปิดใจให้

"อย่ากังวลไปเลย เจ้าหน้าเหี้ยมดูแลพวกเราเป็นอย่างดี จนข้าแทบจะวิ่งไม่ไหวแล้ว" อาชาสวรรค์สีน้ำตาลไหม้เพศเมียร้องบอกนาง

"อืม ข้าดีใจที่พวกท่านอยู่สุขสบาย" นางยิ้มให้อาชาสวรรค์ ยื่นมือออกไปลูบแผงคอของอาชาสวรรค์สีน้ำตาลไหม้เพศเมียอย่างสนิทสนม จนมู่หลิ่งเฟิงและเหล่าบรรดาคนเลี้ยงม้าตะลึงด้วยความประหลาดใจระคนชื่นชมปนอิจฉาเล็กน้อย โดยเฉพาะหัวหน้าดูแลอาชาสวรรค์ทั้งสามที่ตั้งใจจะขอความรู้จากนาง ถึงวิธีการกำราบให้มันยอมเชื่อฟังและยอมให้ใส่เกือกเหล็กและบังเหียน

ด้วยที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดทำได้สำเร็จ แม้แต่องค์รัชทายาทที่เคยขี่อาชาสวรรค์สีน้ำหมึกมาก่อนก็ทรงล้มเหลว แต่ที่หัวหน้าดูแลอาชาสวรรค์ไม่ทราบก็คือ ครั้งนั้นเป็นเพราะใช้ยาสะกดใจของสกุลชิงจึงทำให้ขี่มันได้ต่างหาก ไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจแต่อย่างใด

ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมระคนประหลาดใจกับท่าทางสนิทสนมของสตรีกับอาชาสวรรค์ ไม่มีผู้ใดทันสังเกตความผิดปกติของม้าตัวหนึ่งที่หลังจากกินหญ้าชนิดหนึ่งเข้าไปแล้ว ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งวิ่งตรงเข้ามายังกลุ่มคนที่รายล้อมชิงหลินอยู่

"หลบเร็ว! ม้าคลั่ง! ม้าคลั่ง!"

เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งทำให้ฝูงชนที่รายล้อมแตกฮือราวกับผึ้งแตกรัง วิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง

"น้องเฟิงเอ๋อร์!" ชิงหลินรีบคว้าตัวของเด็กน้อยที่มัวแต่ยืนตัวแข็งอ้าปากค้างมาไว้แนบอก แล้วหันหลังให้ม้าตัวที่กำลังคลุ้มคลั่ง ด้วยนางเองก็ตกใจเสียจนก้าวขาไม่ออก จึงทำได้เพียงปกป้องเด็กน้อยคนนี้เอาไว้โดยใช้ร่างตัวเองเป็นโล่กำบัง นางหลับตาลงอย่างยอมรับในชะตากรรม ภาวนาในใจอย่างน้อยก็ขอให้เด็กน้อยคนนี้ปลอดภัยก็ยังดี ส่วนนางหากจะต้องตายอีกครั้งก็ไม่เป็นไร

"ฮี้ๆๆ" กุบกับ กุบกับ พรืดๆ

"หยุดดดด"

"ฮี้ๆๆ" กุบกับๆ

เสียงร้องบอกให้หยุดสลับกับเสียงม้าร้องและเสียงย่ำเท้าของม้าที่ดังอยู่ใกล้ๆ ข้างหลัง ทำให้ชิงหลินที่โอบกอดเด็กน้อยอยู่ในท่าคุกเข่าค่อยๆ เปิดเปลือกตาพร้อมกับเงยศีรษะขึ้น ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มีทั้งความแปลกใจ โล่งใจ และสับสน ฉายชัดบนใบหน้าจิ้มลิ้ม

"นำม้าตัวนี้กลับไป ตรวจสอบหาสาเหตุการคลุ้มคลั่งนี้อย่างละเอียด แล้วนำผลการตรวจมาให้ข้า ข้าจะทูลองค์รัชทายาทให้ทรงทราบเอง" เสียงสั่งการที่ทรงพลังและมีอำนาจของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้เหล่าคนเลี้ยงม้ากระวีกระวาดปฏิบัติตามโดยไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้ง

"เจ้าสองคนปลอดภัยใช่หรือไม่" เสียงเอ่ยถามอย่างห่วงใยทำให้ชิงหลินพยุงตัวของเด็กน้อยให้ลุกขึ้นตาม แล้วพยักหน้าให้คู่หมั้นที่ปรี่เข้ามาช่วยด้วยอีกคน

"ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว" นางยิ้มแห้งๆ

"ยังจะมีแก่ใจพูดล้อเล่นอีก หากข้ามาช่วยไม่ทัน จะเป็นเช่นใด รู้บ้างหรือไม่" แม่ทัพหนุ่มดุคู่หมั้น ดวงตาคมทรงเสน่ห์มีแววขุ่นเคืองเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนตึงขึ้นหนึ่งส่วน

"พี่ใหญ่ เป็นความผิดของข้าที่ตื่นตกใจเกินไป ทำให้พี่หลินเอ๋อร์พลอยลำบากไปด้วย ท่านอย่าตำหนินางอีกเลย" คุณชายน้อยที่หายตกใจแล้วพูดขอร้องแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นพี่ชาย

"อืม ก็ได้ เช่นนั้นก็กลับกันเถิด" กล่าวพลางหมุนตัวเพื่อพาทั้งสองกลับคฤหาสน์สกุลชิงก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง

"ข้าขอไปดูอาการของม้าตัวนั้นหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ" หญิงสาวขออนุญาตคู่หมั้น

"ได้ ครู่เดียวเท่านั้นเข้าใจหรือไม่"

"ขอบคุณเจ้าค่ะ" นางยิ้มขอบคุณแล้วจูงมือเด็กน้อยตรงไปยังคอกม้าตัวนั้น

"อาการของมันเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" ชิงหลินถามทันทีที่มาถึงคอกม้า

"เอ่อ...หายคลุ้มคลั่งแล้วขอรับ" หัวหน้าผู้ดูแลตอบ

"แล้วสาเหตุที่มันคลุ้มคลั่งเล่า" มู่หลิ่งเหวินถาม

"เอ่อ...เรื่องนั้นข้าเองก็ยังไม่แน่ใจขอรับ" ชายคนเดิมตอบพลางลอบกลืนน้ำลาย

"รีบหาสาเหตุให้พบก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับมา เข้าใจหรือไม่" แม่ทัพหนุ่มสั่งเสียงเข้ม สร้างความหวาดหวั่นใจแก่ทุกคน

"เอ๋? นี่มันเถาของต้นใบระบาด ทำไมจึงมารวมอยู่กับหญ้าพวกนี้ได้" มือเรียวขาวหยิบเถาใบระบาดที่มีดอกคล้ายดอกผักบุ้งขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัย

"คุณหนูรู้จักเถาไม้เลื้อยนี้ด้วยหรือขอรับ" หัวหน้าผู้ดูแลเอ่ยถาม สีหน้าบ่งบอกถึงความประหลาดใจ

"อืม ข้าเคยอ่านเจอในตำราเจ้าค่ะ" ยิ้มตอบ

"หรือสาเหตุที่ทำให้ม้าคลุ้มคลั่งก็คือ...สิ่งนี้?" มู่หลิ่งเหวินถาม

"คิดว่าอย่างนั้นเจ้าค่ะ ต้นใบระบาดจัดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย แต่ข้อควรระวังคือ อย่านำใบหรือเมล็ดมากินเป็นอันขาด เพราะหากกินใบเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง มึนงง และตาพร่า ส่วนเมล็ด หากกินเข้าไปจะทำให้ประสาทหลอนเจ้าค่ะ" นางอธิบายยืดยาว แต่สิ่งหนึ่งที่นางไม่เข้าใจคือเถาใบระบาดที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถวอินเดียซึ่งอยู่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตรมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน

"อา...ไม่รู้มาก่อนว่าจะมีพิษร้ายแรงถึงเพียงนี้ นี่มันคงกินไปเพียงเล็กน้อยกระมังจึงหายคลุ้มคลั่งได้เร็ว" หัวหน้าผู้ดูแลออกความเห็น

"คงอย่างนั้นเจ้าค่ะ แล้วมันบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ" หันไปถามพี่เลี้ยงม้าที่ยืนลูบแผงคอมันอย่างปลอบโยน

"เอ่อ...มะ...มันปลอดภัยดีขอรับ" ความตื่นเต้นทำให้เอ่ยตะกุกตะกัก ด้วยนานๆ ครั้งจะได้สนทนากับหญิงงาม ใบหน้าคร้ามแดดแดงก่ำยามที่เหลือบมองหญิงงามเบื้องหน้า ก่อนจะรีบก้มต่ำเมื่อเห็นนางยิ้มให้ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาไม่พอใจคู่หนึ่งจ้องมองอยู่

"หมดเรื่องแล้ว แยกย้ายกันไปทำงานได้!" เจ้าของสายตาไม่พอใจออกคำสั่งด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังและดุดัน ทำให้ชิงหลินและคนงานอื่นๆ สะดุ้งตกใจไปตามๆ กัน

"เฟิงเอ๋อร์ กลับ!" มู่หลิ่งเหวินหันมาบอกน้องชาย ไม่ลืมส่งสายตาขุ่นเคืองให้คู่หมั้น ก่อนจะหมุนกายสูงเดินนำลิ่วๆ ไม่รอใคร

ชิงหลินที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้แต่มองตามหลังอย่างงุนงง ก้มหน้ามองเด็กน้อยก็เห็นเขาอมยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร ก่อนจะคว้ามือนางแล้วพาเดินตามพี่ชายไป

"ช่างเป็นสตรีที่ประหลาดและน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก" หัวหน้าผู้ดูแลม้ากล่าวขึ้น พลางมองหญิงสาวที่ถูกคุณชายน้อยมู่จับจูงไปด้วยความชื่นชมและขอบคุณ หากไม่ได้นางช่วยเห็นทีคราวนี้ตนอาจต้องโทษอาญาก็เป็นได้

"จริงด้วยขอรับ ข้าตกใจแทบแย่ ไม่คิดว่า...นางจะสุภาพอ่อนโยนถึงเพียงนี้" พี่เลี้ยงม้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นด้วยกับถ้อยคำของหัวหน้า เขาเคยพบเห็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางและสนมชายาขององค์รัชทายาทมาบ้าง นอกจากสายตาที่มองอย่างรังเกียจแล้ว ยังมีถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามที่ไม่น่าจะออกมาจากปากคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์อีกด้วย

แต่คุณหนูผู้นี้กลับแตกต่าง ทั้งสุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติ และจริงใจ ปฏิบัติกับพี่เลี้ยงม้าต่ำต้อยเช่นตนราวกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ทำให้อคติที่มีลดฮวบลงหลายส่วน

"นั่นสินะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถิด" หัวหน้าผู้ดูแลม้าโบกมือไปมาก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าทุกคนฟังข้าให้ดี ตรวจสอบหญ้าของม้าทุกตัว ว่ามีเถาไม้เลื้อยเช่นนี้หลงเหลืออีกหรือไม่ แล้วนำมาให้ข้า อย่าได้ชักช้า ไปทำงานได้แล้ว!"

"ขอรับหัวหน้า" รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปทำงานอย่างรวดเร็ว และตั้งใจมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา

"เฮ้อ" หัวหน้าผู้ดูแลม้าถอนใจยาวโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ที่อย่างน้อยก็รู้ถึงสาเหตุแล้ว แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่มีเถาไม้เลื้อยที่ตนไม่เคยรู้จักปนอยู่ในหญ้าซึ่งเป็นอาหารหลักของม้า ช่างน่าสงสัย หรือมีใครคิดอยากจะก่อกวน แล้วจะทำไปเพื่ออันใด

ขณะที่คอกม้ากำลังวุ่นวายโกลาหล อีกทางหนึ่งบรรยากาศมาคุก็แผ่กระจายออกมาจากตัวแม่ทัพหนุ่ม ทำให้ชิงหลินเริ่มใจคอไม่ดี อะไร เกิดอะไรขึ้น เขากำลังโกรธหรือ แล้วโกรธเรื่องอะไร

"พี่หลินเอ๋อร์ พี่ใหญ่กำลังงอนท่านอยู่ขอรับ" คุณชายน้อยดึงแขนว่าที่พี่สะใภ้ให้ก้มลงมา มือป้องปากบอกนางเบาๆ ใบหน้างดงามแย้มยิ้ม

"งอน? เรื่องอะไรกัน" คิ้วเรียวเลิกขึ้นพลางย้อนถามเสียงเบาพอกัน

"เรื่องนั้นท่านต้องไปถามพี่ใหญ่เองขอรับ" คุณชายน้อยเลี่ยงที่จะตอบ พร้อมกับดันหลังของว่าที่พี่สะใภ้ไปข้างหน้าแรงๆ จนชิงหลินที่ไม่ทันระวังเซถลาราวกับนกปีกหัก ประจวบเหมาะกับที่ร่างสูงหยุดเดินกะทันหัน เป็นเหตุให้ร่างเล็กบอบบางชนเข้ากับร่างสูง แขนสองข้างลอดผ่านแขนแข็งแรงไปด้านหน้า พูดให้ถูกคือนางสวมกอดเขาจากด้านหลัง!

ร่างสูงชะงักแล้วยิ้ม ความขุ่นเคืองใจหายไปแทบจะทันที

"เอ่อ...ขออภัยเจ้าค่ะ" ชิงหลินกล่าวพลางขืนตัวและดึงแขนกลับ ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำด้วยความอับอาย ทว่า...เพียงเสี้ยววินาทีแขนนางกลับถูกรวบไว้ด้วยมือหนาอุ่น ทาบทับลงด้วยท่อนแขนแข็งแรงอีกชั้น การกระทำที่เอาแต่ใจของเขาทำให้ร่างเล็กบอบบางแนบชิดกับแผ่นหลังกว้างที่หญิงสาวใฝ่ฝันจะแนบซบสักครั้งในชีวิต

"เอ่อ...ปล่อยข้านะเจ้าคะ" นางขัดขืนดิ้นขลุกขลักเพื่อให้รอดจากการถูกเอาเปรียบ

"เจ้าเป็นคนอยากกอดข้า เหตุใดจึงร้องขอให้ข้าปล่อย" มู่หลิ่งเหวินแกล้งดึงแขนเรียวเล็กนุ่มนิ่มของนาง เป็นเหตุให้ใบหน้าและลำตัวของนางแนบชิดเข้ากับแผ่นหลังของตนมากยิ่งขึ้นไปอีก จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน

"ใครอยากกอดท่านกัน! มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก" ร่างเล็กโต้กลับอย่างมีอารมณ์

"อุบัติเหตุ? พยานล่ะ ข้าไม่เชื่อหากไร้ซึ่งพยาน" ร่างสูงหันมาเผชิญหน้ากับคู่หมั้น ปล่อยแขนลงข้างลำตัวพลางเลิกคิ้วขึ้นมองนางที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตากลมโตจ้องมองตนอย่างเอาเรื่อง นั่นไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่กลับชื่นชอบยิ่งนัก

"ก็เฟิงเอ๋อร์กับเหล่าขันทีนางกำนัลนี่อย่างไรล่ะ เอ๊ะ! หายไปไหนกันหมด เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้" ชิงหลินทำหน้าเหลอหลามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่เห็นใคร นางรู้ได้ในทันทีว่าโดนเจ้าเด็กน้อยหักหลังเข้าให้แล้ว

'ฮึม! แสบพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง อย่าให้ถึงทีเราบ้างก็แล้วกัน'

"บรื๋อ" ข้างฝ่ายคุณชายน้อยรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจนต้องยกมือขึ้นกอดอก

ร่างสูงกอดอกพร้อมกับเย้านางอย่างอารมณ์ดี "พยานไม่มี ยอมรับซะว่าเป็นเจ้าที่ปรารถนาในตัวข้า"

"ไม่! ให้ตาย ข้าก็ยังยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุ" นางเชิดหน้าตอบเพราะไม่ยอมรับ

"เช่นนั้นหรือ เจ้าคงเกลียดข้ามากสินะ" น้ำเสียงและใบหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมองของบุรุษรูปงามหล่อเหลาราวเทพเซียนทำให้ใจนางอ่อนยวบ

次の章へ