ชื่อของฉันคือแอนนาเบลลา โฮปส์หรือคุณจะเรียกฉันว่าแอนก็ได้ค่ะ
ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีโอกาสดีกว่าคนอื่นเพราะได้ทำงานในสายอาชีพที่ตนเองรัก ฉันเคยเป็นสมาชิกของวงเกิร์ลกรุ๊ปวงหนึ่งก่อนที่จะได้กลายเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา แต่แล้วช่วงเวลาที่คิดว่าทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย โลกที่รู้จักก็ไม่ใช่โลกเดิมอีกต่อไปแล้วค่ะ
ที่ว่าไม่ใช่โลกเดิม ฉันไม่ได้แค่เปรียบเปรย… ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ฉันเกิดและเติบโตขึ้นมา
ระหว่างที่ฉันกำลังร้องเพลงสุดท้ายในงานคอนเสิร์ต สติของฉันดับวูบลงกลางเวที เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โลกที่ฉันอยู่ก็ไม่ใช่ที่เดิมอีกแล้ว
จากที่ฉันสอบถามมา มีผู้คนมากมายที่มีประสบการณ์แบบเดียวกัน พวกเขาทำอะไรบางอย่างอยู่แล้วก็ถูกส่งตัวมาที่โลกนี้แบบไม่ตั้งตัว คล้ายกับในนิยายแนวเกิดใหม่ในต่างโลกที่เคยได้ยินมา แต่ฉันและอีกหลาย ๆ คนมั่นใจว่าพวกเราไม่ได้ตายแล้วเกิดใหม่… แต่ถูกส่งตัวมาที่นี่แบบทั้งที่ยังมีชีวิต
ไม่มีเงื่อนงำอื่นใด ไม่มีพระเจ้ามาบอกว่าคุณถูกเลือกมา ไม่มีเจ้าหญิงมาบอกว่าได้อัญเชิญคุณมาสู่โลกนี้เพื่อปราบจอมมาร ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด ไร้เงื่อนงำจนอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่อุบัติเหตุหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติมากกว่าที่จะเป็นฝีมือของใคร
เคยคิดว่าฉันก็แค่ใช้ดวงที่มีทั้งหมดไปแล้ว
แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น แม้ว่าชีวิตในโลกใหม่จะหนักหนาแต่ฉันก็ได้อะไรจากที่นี่ไม่น้อย ที่เห็นชัดที่สุดก็คือฉันได้เพื่อนดี ๆ ได้พบเจอคนดี ๆ ที่คอยช่วยเหลือแม้โลกที่อยู่จะเป็นโลกแบบนี้ก็ตาม
เบนจามิน สตรอง ชายกล้ามโตชอบใส่เสื้อยืดคับเกินตัว ใจร้อน พูดจาขวานผ่าซาก แม้จะเป็นพวกทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังให้ดีแต่เขาก็เป็นเพื่อนที่ฉันเชื่อใจ
เจนนา รีชเชอร์ เพื่อนสาวที่รู้จักกันมาตั้งแต่โลกเก่า เจนนาเคยทำงานอยู่ฝ่ายบริหารของค่ายเพลงที่ฉันสังกัดอยู่ แต่เดิมในโลกเก่าฉันและพี่เจนนารู้จักกันแค่เฉพาะส่วนของงานเท่านั้น แต่การที่ได้มาเจอเธออีกครั้งและผ่านการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี ทำให้เราสองคนผูกพันกันราวกับพี่น้อง
จิมมี บาวเดอร์ คุณจิมมีเป็นอีกคนที่ฉันเคยเจอมาตั้งแต่โลกเดิม เขาเป็นชายร่างผอม แก้มตอบ สายตาสั้นจนต้องใส่แว่นหนาเตอะ ไว้ผมยาวจนบางครั้งก็ทำให้ถูกเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเป็นผู้หญิง คุณจิมมีเป็นแฟนคลับตัวยงของฉันก่อนที่เราจะกลายมาเป็นเพื่อนกันในโลกนี้
ความจริงแล้วกลุ่มของเราเคยใหญ่โตกว่านี้ แต่สมาชิกส่วนใหญ่มักจะเป็นขาจรหรือไม่ก็คนที่โชคไม่ดี ทั้งสามคนที่เหลืออยู่ตอนนี้จึงเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับฉัน
ทั้งที่เป็นแบบนั้น…
"อย่าตามหมอนั่นไปเลย มันไม่คุ้มหรอก" คุณเจนนาพยายามห้าม
"แต่… เขากลับเข้าไปคนเดียวนะคะ"
[บางอย่างพยายามสื่อสารกับคุณ]
ฉันขยี้ตา เมื่อครู่มีของแปลก ๆ ที่เหมือนกับกรอบสีน้ำเงินปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่มันหายไปก่อนที่ฉันจะได้มองดูมันให้ดี
"ต่อให้เข้าไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับออกมา ก็ยังยืนกรานว่าจะเข้าไปให้ได้เหรอครับ" คุณจิมมีถามเสียงสั่น
ฉันไม่โทษเขาและคนอื่น ๆ เลย ฉันเองก็ยังขวัญเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าพวกเราหนีออกมาช้ากว่านี้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็คงมีคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมดที่ต้องกลายเป็นอาหาร
ฉันกลั้นใจพูดต่อ "ฉันจะกลับเข้าไปค่ะ"
"แอน เธอรู้ใช่ไหมว่าพวกเราจะไม่รอ" คุณเจนนาพูดเตือนอีกครั้ง
"ค่ะ" ฉันตอบด้วยเสียงสั่น ฉันเลือกแล้วแม้จะไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเลือก
ฉันไม่อยากเสียใจตอนที่เห็นเพื่อน ๆ เดินจากไป เลยเป็นฝ่ายหันหลังกลับและไม่เหลียวไปดูพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
โรงพยาบาลร้างที่ถูกพวกกินคนเอามาใช้เป็นฐานทัพ สถานที่ที่แม้แต่ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันก็ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ ตอนนี้ฉันกำลังสำรวจที่แบบนั้นด้วยความระแวงว่าจะมีอะไรโผล่มาหรือไม่
พอนึกถึงซอมบีกับพวกเรดสคาร์ฟ ฉันก็เกือบก้าวขาไม่ออกแล้ว ฉันยังดันเผลอไปนึกถึงสิ่งที่กลัวมากยิ่งกว่านั้นเพิ่มเข้ามาอีก ในโรงพยาบาลร้างแบบนี้… แถมยังเป็นสถานที่ที่คนจำนวนมากถูกจับมาฆ่า…
มันจะมี… ไหมนะ
ฉันพยายามนึกถึงเรื่องอื่นเพื่อข่มความกลัว แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉันแทบไม่รู้จักเขาเลย ผู้ชายคนนั้น
เขาเคยบอกชื่อเอาไว้… คามิล
ฉันเดาว่าเขาน่าจะอายุไล่เลี่ยกับฉัน กลุ่มของเราเจอคามิลอยู่หลายครั้งระหว่างที่สำรวจเดิร์กลิน เขาดูแตกต่างจากพวกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ คามิลดูไม่ไว้ใจใครแต่ขณะเดียวกันเขาก็ดูมีความมั่นใจจนล้นเหลือ อย่างชุดที่เขาใส่เองก็แปลกประหลาด คนแบบไหนกันที่จะสวมชุดสูทแบบจัดเต็มแบบนั้นในโลกที่ล่มสลาย
[ข้อมูลไอเท็ม]
[ชื่อ: ชุดสูทเจ้าชายสีขาวดำ]
[ระดับ: SSR (สเปเชียลซุปเปอร์แรร์)]
[รายละเอียด: หนึ่งในไอเท็มล้ำค่าที่สุดในมิสเซลเลเนียสแพ็ค พลังป้องกันสูงเหนือชุดทั่วไป เพิ่มเสน่ห์ที่เหลือล้น ชุดนี้ไม่สามารถถูกทำลายและดูเหมือนใหม่เสมอ]
จะว่าไป ตอนที่จ้องมองชุดนั้นก็เห็นบางอย่างแปลก ๆ โผล่ขึ้นมาด้วย แต่อาจจะแค่ตาฝาดล่ะมั้ง
คิดนอกเรื่องอยู่ได้ไม่นาน ขาทั้งสองก็พาไปถึงห้อง ๆ หนึ่ง แสงไฟที่ลอดออกมาจากประตูและเสียงดังโหวกเหวกโวยวายทำให้รู้ว่าข้างในห้องกำลังเกิดเรื่อง ฉันแน่ใจว่าคามิลต้องกำลังสู้กับพวกเรดสคาร์ฟอยู่แน่นอน
เรื่องจริงแตกต่างจากที่คิดไว้ มันไม่ใช่การต่อสู้แต่เป็นการเข่นฆ่าของฝ่ายเดียว รอบ ๆ ห้องเต็มไปด้วยศพของพวกเรดสคาร์ฟหลายคน ทุกคนต่างแน่นิ่งไปแล้ว ยกเว้นเพียงชายชราที่กำลังถูกคามิลยกลอยขึ้นด้วยแขนข้างเดียว
"หยุดนะคะ" ฉันตะโกนห้ามด้วยความลืมตัว
"หืมมม กลับมาทำไมเนี่ย ผมบอกให้หนีไปแล้วไง"
"มะ แม่หนู ช่วยลุงด้วย" ชายชราเห็นฉันเข้าก็ร้องขอความช่วยเหลือ
คามิลทุ่มชายแก่ลงกับพื้นด้วยความแรงที่หากอีกฝ่ายจะกระดูกหักสักท่อนสองท่อนก็ไม่น่าแปลกใจ เขาเขม่นจ้องมาทางฉันเหมือนจะเอาเรื่อง ทั้งที่ฉันต่างหากที่อยากโวยวายเรื่องเขาทำร้ายคนไม่มีทางสู้
เมื่อสังเกตดูรอบ ๆ ด้วยการกวาดตาอย่างรวดเร็ว ฉันก็ยิ่งตกใจ พวกที่ล้มระเนระนาดอยู่ทั่วห้องต่างก็เป็นคนแก่ทั้งนั้น พวกเขาดูไม่เหมือนสมาชิกของเรดสคาร์ฟ
"ฉันเข้าใจว่าคุณโกรธ แต่พวกเขาเป็นแค่คนแก่นะคะ คุณทำอะไรลงไป"
"รู้ไหมว่าพวกมันเป็นใคร พวกนี้คือพ่อ แม่ แล้วก็ญาติ ๆ ของหัวหน้ากลุ่ม"
"ถึงจะเป็นแบบนั้น คุณก็ไม่น่าทำร้ายคนไม่มีอาวุธนะคะ" ฉันเผลอลดระดับเสียงลง
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ "เจ้าพวกนี้รู้ว่าเนื้อที่ลูกหลานตัวเองเอามาให้ทำจากอะไร"
ชายแก่ไม่ได้แก้ตัว เขาพยายามคลานหนีสุดชีวิต คามิลมองเห็นว่าทิศทางที่ฝ่ายนั้นกำลังตรงไปมีปืนตกอยู่ นี่ราวกับเขาพยายามพิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าเขาคิดถูก ทันทีที่ชายแก่คว้าปืนไว้ได้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
"ตายซะเถอะไอ้พวกเวร"
คามิลเบี่ยงตัวพร้อมกับพุ่งสวนวิถีกระสุน ไม่รู้ว่าเขามองทันหรือเป็นแค่ความโชคดี กระสุนสองนัดที่ชายแก่ยิงไม่ได้เฉี่ยวโดนเขาด้วยซ้ำ
คามิลประชิดตัวและทำการปลดอาวุธอีกฝ่าย ง่ายดายและรวดเร็วราวกับแย่งปืนจากเด็ก
สีหน้ายิ้มกระหยิ่มของชายแก่กลับมาเป็นสีหน้าหวาดวิตกอีกครั้ง คามิลปักมีดลงบนอกของศัตรูโดยปราศจากความลังเล
เลือดสาดกระจายหลังจากมีดถูกดึงออก เลือดส่วนหนึ่งควรชโลมไปทั่วร่างของคามิล แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น มันน่าอัศจรรย์ที่ฉันมองไม่เห็นเลือดแม้แต่หยดเดียวบนชุดสูทระยับของเขา
แม้จะเข้าใจเหตุผลที่เขาลงมือ แต่ใจหนึ่งฉันก็รู้สึกระแวงในตัวชายคนนี้ นี่ฉันคิดถูกจริงหรือไม่ ที่เสี่ยงชีวิตกลับมาดูเขา