บทที่ 47 ไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อน
ได้เห็นข้อความของเยี่ยหวันหวั่น มีเลือดดันขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เกือบหายใจไม่ออกตายไปแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็มีแต่ผู้คนรายล้อมเหมือนดวงดาวห้อมล้อมพระจันทร์ ไม่เคยถูกพูดให้ร้ายได้ถึงเพียงนี้
หากว่ายัยตัวประหลาดคิดจะดึงความสนใจจากเขาจริง เช่นนั้นเธอทำสำเร็จแล้ว
“เหอะ...ขี้เหร่?”
ได้ยินเสียงจากด้านข้าง เยี่ยหวันหวั่นก็พบว่ามีคนเห็นเนื้อหาในข้อความของตนแล้ว เพียงแต่เธอไม่ได้รู้สึกหวั่นใจเลยแม้แต่น้อย มือยกโทรศัพท์ขึ้นมา ยิ้มตาหยีแลัวหันหน้าไปพูดกับเดือนโรงเรียนที่โกรธจนหน้าดำคล้ำ “ไม่ต้องรู้สึกต่ำต้อยนะ ความจริงนายก็หน้าตาพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่เมื่อเทียบกับแฟนของฉันแล้ว ยังห่างไกลกันมาก!”
ซือเซี่ยย่อมไม่มีทางท้าทายด้วยประโยคโง่เขลา ให้เธอเอาแฟนมาเทียบกันเลยว่าใครหล่อกว่าใครกันแน่ เขาสูดหายใจลึกจากนั้นก็หลับตาแล้วนอนหลับต่อ หากยังสนทนากับยัยปัญญาอ่อนนี่ต่อไป คาดว่าเขาต้องอกแตกตายแน่
เยี่ยหวันหวั่นเบ้ปาก ชิ ที่แท้ก็ไม่กล้า~
เวลานี้เอง คฤหาสน์ตระกูลซือ
ซือเยี่ยหานเพิ่งจะตรวจร่างกายประจำวันเสร็จไปรอบแรก ตอนนี้ยังมีคุณหมอสูงวัยรออีกท่านหนึ่ง ตรงข้ามซือเยี่ยหานมีคุณหญิงย่าวัยเจ็ดสิบแปดสิบนั่งอยู่
คุณหญิงย่ามีผมสีเงินทั้งศีรษะ ในมือถือสร้อยลูกประคำอยู่เส้นหนึ่ง เวลานี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจจ้องมองที่หลานชาย
คุณหมอสูงวัยท่านนั้นกำลังจับชีพจรให้กับซือเยี่ยหาน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ คุณหญิงย่าเห็นคุณหมอมีสีหน้าไม่ค่อยดี ใบหน้าของเธอยิ่งหมองหม่นตามไปด้วย
แต่ตัวซือเยี่ยหานเอง หลังจากจับชีพจรแล้วก็นั่งจิบชาด้วยสีหน้าราบเรียบ ราวกับไม่ได้เป็นกังวลกับร่างกายของตัวเองเลย
คุณหญิงย่าสีหน้าร้อนใจเอ่ยถาม “หมอโม่ หมอซุน พวกคุณสองคนบอกความจริงกับฉันมา ไม่อนุญาตให้โกหกแม้แต่คำเดียว ร่างกายของเสี่ยวจิ่วสรุปแล้วอาการขั้นไหนกันแน่?”
โม่เสวียนเหลือบมองซือเยี่ยหาน กระแอมสองสามที ไม่กล้าพูดอะไร
คุณหญิงย่าเห็นท่าทางเช่นนั้นแล้วก็ถลึงตาใส่เขา “คุณมองเขาทำไม! ฉันเป็นคนถามต่างหาก”
โม่เสวียนกลั่นกรองเรียบเรียงถ้อยคำ จากนั้นจึงเอ่ยตอบ “เรียนคุณหญิงย่า ยังคงเป็นเหมือนเดิมครับ”
คุณหญิงย่าแค่นเสียงเย็นชา “คุณเลิกหลอกฉันได้แล้ว! คุณบอกฉันมาว่าเมื่อคืนเขานอนกี่ชั่วโมง สองคืนก่อนเขานอนไปกี่ชั่วโมง สามคืนก่อนเขานอนไปกี่ชั่วโมง!”
โม่เสวียนอับจนหนทาง ทำได้เพียงตอบไปตรงๆ “สามคืนก่อนการสะกดจิตล้มเหลว สองคืนก่อน...ก็ล้มเหลว...ส่วนเมื่อคืน คุณชายซือกลับมาที่สวนจิ่นหยวนตอนประมาณตีสามครับ และก็ไม่ได้ให้ผมไปบำบัดให้...”
คุณหญิงย่าทำหน้าตกใจอย่างมาก “สามวัน! ทำไมไม่นอนมาสามวันอีกแล้ว!”
โม่เสวียนไม่กล้าพูดอะไร หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ที่การนอนหลับของซือเยี่ยหานค่อนข้างแย่มาก
เขาคาดการณ์ว่าเมื่อคืนน่าจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่เขาจะรับได้แล้ว เป็นกังวลมาโดยตลอดว่าร่างกายของเขาจะมีปัญหาใหญ่ ดังนั้นวันนี้จึงตรวจสภาพร่างกายของซือเยี่ยหาน แต่ก็พบว่าไม่ได้แย่เท่าที่เขาจินตนาการไว้ จึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
คุณหมอสูงวัยที่ยืนอยู่ด้านข้างถอนหายใจยาว “คุณหญิงย่า ผมไม่ขอปิดบังท่าน สถานการณ์ของคุณชายเก้าในช่วงสองปีนี้หนักขึ้นทุกวัน การนอนไม่หลับส่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ของเขามากขึ้นเรื่อยๆ หากยังหาวิธีที่ได้ผลไม่ได้ เกรงว่า...”
คุณหญิงย่าถูกกระตุ้นด้วยคำว่า ‘เกรงว่า’ สองคำท้ายสุดที่ยังพูดไม่จบ “ฉันรู้แล้ว แต่ฉันรู้แล้วมีประโยชน์อะไร! พวกคุณก็คิดหาวิธีที่ดีๆ มาสิ! พวกคุณเก่งมากไม่ใช่เหรอ? ก็แค่โรคเล็กน้อยอย่างการนอนไม่หลับก็รักษากันไม่ได้แล้วเหรอ?”
โม่เสวียนทำหน้าอับจนหนทาง “คุณหญิงย่าครับ คุณชายเก้าป่วยทางใจ เวลาที่เขาอารมณ์ดีก็จะนอนหลับได้มากขึ้น แต่เมื่อไรที่อารมณ์หม่นหมอง อาจเป็นไปได้ว่าไม่อาจหลับได้แม้เพียงหนึ่งนาที”
คุณหญิงย่าตะคอกอย่างโมโห “งั้นก็คิดหาวิธีให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาสิ!”
โม่เสวียนได้ยินแล้วก็ยิ้มฝืด ในใจคิดว่าไม่ใช่คุณจะไม่รู้ว่านิสัยของหลานชายตัวเองแย่ขนาดไหน คิดอยากจะให้เขาอารมร์ดี? พูดง่ายไปหน่อยแล้ว!
พูดกันตามจริง เขาอยู่กับคุณชายเก้าผู้นี้มานานแล้ว จะเห็นเขายิ้มสักครั้งก็ไม่เคยมี?
ในขณะที่บรรยากาศในห้องรับแขกกำลังตึงเครียด ซือเยี่ยหานที่นั่งอยู่บนโซฟา มีสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งกำลังดูโทรศัพท์ พลันหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “ฮ่ะๆ...”
……….…………………………………………………………..