webnovel

ตอนที่ 014

ตอนที่ 14 ถูกพิษ ?

เย่หนิงส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิดเดียว !”

“แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ !” หยางปินมองไปที่ศพเหล่านั้นด้วยความงุนงง เวลาเสียชีวิตไม่เกินสองชั่วโมง เป็นไปไม่ได้ ! ยังไม่ตาย ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย !

“ต่อให้พวกเราสันนิษฐานกันใหม่ตอนนี้อีกรอบก็คงไม่รู้ผลอะไรหรอกครับ ชันสูตรศพต่อเถอะ” เสิ่นอี้ตัดสินใจแทนพวกเขา “นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรอก”

แล้วเมื่อคืนไม่ใช่ว่าคุณก็เพิ่งฟื้นมาเหรอไง ?

เย่หนิงแอบพึมพำอยู่ในใจ

ใช่แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่ายังไงคำพูดนี้ก็คงพูดออกมาไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นหยางปินคงคิดว่าเธอเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ

เย่หนิงยังคงเริ่มที่จะชันสูตรศพของหวังจวิ้นเป็นคนแรกเช่นเดิม

ลู่เว่ยช่วยโกนผมให้กับร่างของหวังจวิ้น สำหรับการโกนผมแล้วเขานับว่าถนัดกว่าเย่หนิงมากนัก ถ้าให้เย่หนิงลงมือเองล่ะก็ มีหวังได้เจ็บปวดรวดร้าวเหมือนถูกหมากัดแน่ ๆ ถ้าโชคดีหน่อยก็คงแค่โดนบาดเพียงแค่จุดสองจุด แต่ถ้าโชคไม่ดีล่ะก็......อย่าให้เขาพูดเลย ทางที่ดีขอเพียงแค่ลู่เว่ยอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว เพราะการโกนหัวสำหรับเธอแล้วคงทำไมได้แน่นอน

เย่หนิงเช็คส่วนศีรษะของผู้ตายอย่างละเอียด ก็ไม่พบบาดแผลใด ๆ เช่นกัน

ดูท่าแล้วคงต้องพึ่งการผ่าชันสูตรเท่านั้น ถึงจะตรวจพบกับสาเหตุการตาย

เธอหยิบมีดผ่าขึ้นมา แล้วก็กรีดเปิดทรวงอกและหน้าท้องของผู้ตาย ทันใดนั้นทั้งตัวของเธอก็แน่นิ่งไป

“เป็นอย่างไรบ้างคุณหมอเย่ ?” เสิ่นอี้ถามขึ้นมา “มีปัญหาอะไรไหมครับ ?”

“เลือด...” เย่หนิงมองมีดผ่าที่อยู่ในมือตัวเอง แล้วมองไปที่ศพที่ถูกผ่าเปิดอกสลับไปสลับมา พูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก “ทำไมถึงไม่มีเลือดเลยล่ะ ?”

ผิวหนังที่เปิดออก ลายผิวหนังชัดเจน มองเห็นซี่โครงที่เรียงตัวเป็นระเบียบในทรวงอกของผู้ตายได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่มีร่องรอยของเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว

ถึงจะเสียชีวิตมาแล้วหลายวันก็เถอะ ศพก็ยังไม่ได้แห้ง แต่ทำไมถึงไม่มีเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว พอมองผิวที่ขาวซีดแล้ว ก็เหมือนกับว่าเลือดของคน ๆ นี้ได้ระเหยหายไป ในใจของเย่หนิงสั่นเทิ้มไปหมด หรือว่าเป็นเพราะแบบนี้ ร่างผู้ตายถึงได้ไม่มีรอยเลือดคั่ง

การเกิดขึ้นของรอยเลือดคั่งนั้น เกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนโลหิตโดยตรง

หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว เมื่อระบบหมุนเวียนโลหิตหยุดลง น้ำเลือดและของเหลวที่อยู่ระหว่างเซลล์จะตกลงมาอยู่ภายในหลอดเลือดช่วงล่างของศพจนเกิดปรากฏการณ์อย่างนี้ขึ้น ดังนั้นถ้าหลังจากเสียชีวิตไปแล้วศพยังนอนหงายอยู่ตลอดเวลา รอยเลือดคั่งส่วนใหญ่ก็จะไหลรวมไปอยู่ที่บริเวณหลังหรือขาทั้งสองข้างเป็นต้น แต่บนร่างของผู้ตายเหล่านี้กลับไม่พบร่องรอยของเลือดคั่งใด ๆ เลย หรือว่ามันเป็นเพราะพวกเขาเสียเลือดมากเกินไปหรือเปล่านะ

เลือดมันไหลไปไหนหมดล่ะ ? บนร่างของผู้ตายก็ไม่มีปากแผลเลยสักที่ คงไม่น่าเป็นเพราะเสียเลือดมากจนเสียชีวิต

เมื่อมองเย่หนิงที่มีท่าทีครุ่นคิดเช่นนั้น เสิ่นอี้จึงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “คุณหมอเย่ คุณคิดอะไรออกแล้วหรือครับ ?”

เย่หนิงพูดสิ่งที่ตนเองสันนิฐานไว้ “ฉันคิดว่า การที่ไม่มีรอยเลือดคลั่งปรากฏอย่บนร่างของศพนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ตายนั้นเสียเลือดมาก......ผิวของผู้ตายซีดเผือด ราวกับมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ถ้าเขาเสียเลือดมากจนทำให้เสียชีวิตจริง ๆ แต่ทำไมบนร่างกายของเขากลับไม่มีบาดแผลอะไรเลย ถ้าเช่นนั้นเขาจะเสียเลือดไปได้อย่างไรกันล่ะคะ ?”

หยางปินพูดด้วยเสียงที่หนักแน่น “น่าแปลกจริง ๆ บนร่างของผู้ตายเหมือนกับว่าไม่มีเลือดอยู่เลยสักนิด มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว”

เย่หนิงคิดไม่ออกไปชั่วขณะว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร จึงทำได้เพียงแค่ผ่าชันสูตรต่อไป แต่ไม่มีใครดาดคิดว่าเมื่อเธอผ่าเปิดทรวงอกและช่องท้องผู้ตายออกแล้วนั้น จะพบกับเหตุการณ์ที่น่าแปลกประหลาดอีกครั้ง

ภายในทรวงอกและช่องท้องของผู้ตายนั้นล้วนเป็นสีดำ หลังจากที่ผ่าออกมาแล้วก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าแปลก ๆ โชยออกมาอีกด้วย รวมถึงอวัยวะภายในของผู้ตายมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อ สีของมันเปลี่ยนเป็นสีขาวอมเทา อีกทั้งยังแห้งเหี่ยว เมื่อเธอหยิบหัวใจของผู้ตายออกมาดูก็ถึงกับช็อกจนพูดไม่ออก หัวใจของผู้ตายนั้นทั้งแห้งและแข็ง ราวกับว่าถูกสูบน้ำออกจนเหือดแห้งอย่างไรอย่างนั้น

หยางปินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย !”

เย่หนิงก็มีสีหน้างุนงงเช่นเดียวกัน เธอไม่รู้จริง ๆ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอชันสูตรมาก็หลายศพนัก เห็นตัวอย่างมามากมายหลายแบบ แต่เหตุการณ์แบบนี้กลับไม่เคยเจอมาก่อนเลย ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้ว นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“ขอผมดูหน่อย” เสิ่นอี้สวมถุงมือ หยิบเอาหัวใจที่แข็งโป๊กมาจากมือเย่หนิง “อืม เหมือนว่านี่จะเป็นที่มาของอาการนะครับ”

เมื่อมองแล้วลู่เว่ยก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา “นะ...นี่มันอะไรกันเนี่ย ! มะ...มันจะแปลกเกินไปแล้ ภายนอกของคนคนนีก็ดูปกติดี แต่ทำไมอวัยวะภายในกลับเสียหายหมดเลยล่ะ !”

“แปลกมากจริง ๆ” เสิ่นอี้ครุ่นคิด “การที่เนื้อเยื่อของอวัยวะภายในเน่าตายหมดแบบนี้ ก็น่าจะต้องใช้เวลาสักหน่อยสิ หรือว่าก่อนหน้านั้นตัวเขาไม่เคยสังเกต ไม่รู้สึกสักนิดมาก่อนเลยหรอ หรือไม่ก็หลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว อวัยวะถึงกลายเป็นแบบนี้ อย่างนั้นมันก็เร็วเกินไปหน่อย”

ลู่เว่ยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกกลัว “คะ...คนตายไปแล้ว ทำไมอวัยวะถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้...หรือว่าจะถูกพิษเข้าแล้วครับ ?”

เสิ่นอี้พยักหน้า “น่าจะถูกพิษเข้าจริง ๆ นั่นแหละ” เขาพูด พลางหันไปถามเย่หนิง “คุณหมอเย่ คุณว่าอย่างไรครับ ?”

ในตอนนี้เย่หนิงก็ไม่ได้แน่ใจนัก เธอจึงพูดเพียงแค่ว่า “ถึงแม้จะถูกพิษ ก็คงเป็นพิษที่แปลกประหลาดมาก ไม่รู้ว่าสาเหตุการตายของอีกสองคนนั้นจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า ?”

เธอตัดสินใจชันสูตรอีกสองศพที่เหลือต่อว่าจะมีลักษณะอาการเดียวกันหรือไม่

ผลการชันสูตรก็ไม่ผิดไปจากข้อสันนิษฐานของเธอนัก ทั้งสองศพที่เหลือมีลักษณะเดียวกันก็คือ ไม่พบสาเหตุการตายเหมือนกัน บนร่างไม่มีบาดแผลใด ๆ และระหว่างที่ผ่าศพนั้นเลือดไม่ได้ไหลออกมาแม้สักนิดเดียว เนื้อเยื่อของอวัยวะภายในก็ตายจนแข็งตัว แต่ระดับการแข็งตัวก็จะแตกต่างเล็กน้อย

ศพของหวังจวิ้นที่ได้ผ่าชันสูตรเป็นรายแรก ระดับการแข็งตัวของอวัยวะสาหัสที่สุด สำหรับลู่เว่ยแล้ว ร่างนั้นไม่มีอะไรที่ต่างจากก้อนหินเลย ส่วนรายที่สองคือจางหลิงคุน เมื่อเทียบกับหวังจวิ้นแล้วระดับการแข็งตัวของอวัยวะนั้นดีกว่าเล็กน้อย คือไม่ค่อยแข็งทื่อสักเท่าไหร่

ส่วนรายสุดท้าย ฟางอี้ ถึงแม้ว่าอวัยวะจะมีการแข็งตัว แต่มีบางจุดเท่านั้นที่ยังอ่อนนุ่มอยู่ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้แข็งตัวโดยสมบูรณ์

เนื่องจากไม่สามารถจะวินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ตายทั้งสามได้ เย่หนิงจึงทำได้เพียงสันนิษฐานตามช่วงเวลาที่ผู้ตายทั้งสามได้หายตัวไปและกระบวนการแข็งตัวของอวัยวะ ผู้ตายรายแรกหวังจวิ้น เวลาเสียชีวิตมากกว่าสี่วัน รายที่สองจางหลิงคุน เวลาเสียชีวิตมากกว่าสามวัน รายที่สามฟางอี้ เวลาเสียชีวิตอยู่ในข่วงระยะเวลาระหว่างประมาณสี่สิบแปดถึงเจ็ดสิบสองชั่วโมง

แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตอย่างชัดเจนได้อยู่ดี

ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้ที่ผู้ตายจะถูกพิษนั้นมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ว่าเป็นพิษอะไรกันล่ะ ที่จะสามารถทำให้เลือดของคน ๆ หนึ่งนั้นแห้งเหือดไป และอวัยวะแข็งตัวโดยสมบูรณ์ได้ภายในเวลาอันแสนสั้นขนาดนี้

ถ้ามีจริงล่ะก็......มันก็น่ากลัวเกินไปแล้ว !

อีกทั้งมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เย่หนิงเกิดสังหรณ์ใจขึ้นมา ถ้าคน ๆ หนึ่งเสียเลือดมากเกินไป นอกจากผิวที่ขาวซีดนั่นแล้ว ก็จะต้องมีบริเวณใดที่แห้งเหี่ยวด้วย แต่เมื่อตรวจดูศพเหล่านี้แล้ว ผิวหนังกลับยังคงมีความยืดหยุ่นดี ไม่มีอะไรที่ต่างจากคนที่มีชีวิตอยู่เลยแม้แต่น้อย

“คุณหมอเย่” เสิ่นอี้ถามขึ้นมา “คุณพอจะได้ข้อสรุปอะไรบ้างไหม ?”