webnovel

ONMYOJI องเมียวจิ

แนะนำตัวละคร อวี้ อันฉี (อัลฟ่า) (184 ซม. / 74 กก.) นักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีนที่ต้องมาอาศัยอยู่กับตระกูลอาคาวะ ถูกคุณปู่ (อาคาวะคนปู่บังคับให้เรียกเพื่อความสนิทสนม) ฝากฝังให้ต้องไปอยู่ภายใต้การดูแลของ ชิโนบุ และ แบล็ก อาคาวะ ชิโนบุ (182 ซม. / 67 กก.) ทายาทตระกูลอาคาวะที่มีชื่อเสียงเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในเกียวโต เพราะชีวิตผูกพันอยู่กับเรื่องภูตผีมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยจะกลัวอะไรเหมือนคนอื่นเขาสักเท่าไร อาคาวะ แบล็ก (179 ซม. / 72 กก.) เด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีที่ตัวติดกับชิโนบุตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังยิ้มได้ ยกเว้นเวลาที่โกรธมากจริง ๆ เจ้าตัวมักจะคอยอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้อัลฟ่าฟังอยู่เสมอ

LyLyAiAi · LGBT+
Peringkat tidak cukup
34 Chs

18 - กำไลขนหางและปลายเล็บ

ครืด!

เสียงเลื่อนเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบภายในบ้าน เมื่อตอนนี้เป็นเวลาดึกมากจนทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว หากแต่ภายในห้องอ่านหนังสือที่เปิดไฟสว่าง กลับมีคน ๆ หนึ่งกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ

ดวงตาคู่สวยละจากตัวหนังสือที่กำลังอ่านขึ้นมองคนสองคนที่จนตอนนี้ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู คนหนึ่งยืนนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปกติ ขณะที่อีกคนกำลังอมยิ้มน้อย ๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แล้วพอเห็นว่าเขามองอยู่ก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก

"โนบุจังยังไม่นอนอีกเหรอ"

คนโดนถามทำเพียงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ค่อย ๆ ไล่สายตามองสภาพของสองคนหน้าประตูตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ แล้วเลื่อนมันไปวางไว้ที่มุมโต๊ะ

"จะเข้ามาไหม"

"มันเลอะอะ"

คำตอบของแบล็กทำให้คนฟังถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดไฟให้เรียบร้อย

ชิโนบุเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอัลฟ่าและแบล็กที่ขยับเว้นระยะห่างไว้ช่วงหนึ่ง เพราะตามเนื้อตัวของทั้งสองคนยังคงเลอะเทอะจากคราบฝุ่น คราบดิน คราบเหงื่อ และคราบเลือด อันเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก

"หิวหรือเปล่า"

พอเห็นแบบนี้แล้วชิโนบุก็ทำใจใช้ช่องเสียงปกติของตัวเองไม่ลง ดังนั้นประโยคที่ถามออกไปจึงฟังดูอ่อนลงกว่าเวลาปกติมาก...

อ่อนลงมาก...จนได้รับรอยยิ้มที่แฝงอาการอ้อนนิด ๆ ตอบกลับมาจากทั้งสองคน

"หิวมาก"

"งั้นไปอาบน้ำกันก่อนไป ฉันจะเอาข้าวออกมาอุ่นให้"

ชิโนบุมองตามทั้งสองคนที่เดินจากไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง พอเห็นสองคนนั้นฝึกหนักจนมีสภาพแบบนี้กลับมาบ้านทุกวัน เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะทำอะไรไม่ค่อยได้เลย สิ่งที่ทำได้มีแต่อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการคอยอุ่นข้าวที่อายาเมะเตรียมไว้ให้อัลฟ่ากับแบล็กเพียงเท่านั้น

ไม่มีอะไรที่ทำได้มากกว่านั้น

ไม่มีเลย

เป็นแบบนี้มาได้เกือบเดือนแล้วที่อัลฟ่าและแบล็กจะออกไปฝึกซ้อมเรื่องการต่อสู้และการควบคุมพลังภูตในตัว ทั้งสองคนจะตื่นตั้งแต่เช้า ออกไปซ้อมแล้วกลับเข้ามาอาบน้ำเตรียมไปโรงเรียนด้วยกัน จนกระทั่งเย็นกลับจากโรงเรียนก็จะพากันออกไปอีกครั้ง คราวนี้จะหายไปนานมาก กลับมาอีกทีก็ตอนดึกเลย บางคืนดึกจนเขาเผลอหลับไปก่อนก็มี

เพราะฉะนั้นตอนนี้ ช่วงเวลาที่จะได้เจอหรือคุยกันของเราสามคนก็จะมีแค่ตอนอยู่ที่โรงเรียนเท่านั้น

ซึ่ง...

ยอมรับก็ได้ว่ามันค่อนข้างเหงา

แต่ก็เข้าใจนั่นแหละ เลยไม่ได้บ่นอะไร

"วันนี้ทำเวลาได้ดีขึ้นมากเลยนะ"

"อืม รู้สึกจะคุ้นเคยกับมันมากขึ้นแล้ว"

"ดีแล้ว ยิ่งคุ้นเคยกับมันเท่าไร ก็จะยิ่งใช้มันได้ดีขึ้นเท่านั้น"

บทสนทนาที่ดังขึ้นทำให้ชิโนบุได้แต่มองแบล็กกับอัลฟ่าสลับไปมา เขาไม่ได้พูดอะไรเลยมาตั้งแต่ต้นเพราะไม่รู้จะต่อบทสนทนาด้วยยังไง เลยทำเพียงนั่งฟังเงียบ ๆ เท่านั้น

"แต่ตอนใช้ออกมายังรู้สึกว่าควบคุมได้ไม่ดีเท่าไร"

"เรื่องนี้ฉันสอนอะไรไม่ได้แล้ว นายต้องเรียนรู้มันจากประสบการณ์ในการใช้แต่ละครั้งของนายเอง"

"อืม"

ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ชิโนบุก็ยังไม่คิดจะลุกไปไหน แม้จะคุยด้วยไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ยังอยากจะนั่งอยู่ด้วย นับตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มไปฝึกพิเศษด้วยกัน พวกเราสามคนก็ได้กินข้าวด้วยกันวันละมื้อเท่านั้น เช้ากับเย็นเขาจะนั่งกินกับปู่อยู่ที่บ้านเพราะว่าพ่อกับแม่ออกไปทำภารกิจอีกแล้ว ถ้าวันไหนปู่ต้องออกไปข้างนอกแล้วไม่ว่างเหมือนกัน วันนั้นก็จะต้องกินข้าวคนเดียว

พอมานั่งนึก ๆ ดู เราสามคนก็ไม่ได้นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันมานานแล้วเหมือนกันนะ ครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่งานวันเกิดครบ 18 ปี ของอัลฟ่าเมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา

นึกแล้วก็คิดถึงบรรยากาศแบบนั้นจัง

"ชิโนบุ"

เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังนั่งเหม่อได้สติกลับมา ดวงตาคู่สวยมองสบกับคนเรียก ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเข้านิด ๆ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ทั้งอัลฟ่าและแบล็กกำลังมองมาทางตัวเองด้วยสายตาติดจะกังวล

"เป็นอะไรหรือเปล่าโนบุจัง"

ความเป็นห่วงที่แฝงมากับน้ำเสียงทำให้ชิโนบุได้แต่เลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ อย่างแปลกใจ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปตามปกติ

"เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร"

"แต่สีหน้านายดูไม่ค่อยดี"

คราวนี้เป็นอัลฟ่าที่พูดไปขมวดคิ้วไปจนชิโนบุได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี แต่ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านั้น ก็ต้องหันไปหาแบล็กที่พูดเสริมขึ้นมา

"เมื่อกี้โนบุจังเหม่อนานมากนะ เรียกตั้งหลายครั้งกว่าจะตอบ"

"อ้าว เหรอ"

"ใช่ โนบุจังเป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่กำลังคิดอะไรอยู่เฉย ๆ"

"คิดอะไร"

"เรื่อยเปื่อย"

"เรื่อยเปื่อยยังไง"

ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังของแบล็กราวกับจะบอกว่า ถ้าคาดคั้นไม่สำเร็จก็ไม่ต้องนอนกันหรอกคืนนี้ แต่...

ชิโนบุก็ยังงงอยู่ดีว่าแล้วเขามีอะไรให้คาดคั้นกันล่ะ

ก็บอกไปแล้วว่าไม่มีอะไรไง

สองคนนี้นี่!

"ก็แค่เรื่อยเปื่อยอะแบล็ก"

"โนบุจัง"

"เฮ้อ...โอเค ฉันแค่นั่งนึกเล่น ๆ ว่าพวกเราสามคนไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันมาสักพักแล้ว"

"....."

"ก็ปกติเลิกเรียนเราจะไปโน้น ไปนี่ด้วยกันตลอด ตอนนี้พอพวกนายมีฝึกก็เลยไม่ว่างกัน ส่วนฉันก็ว่างอยู่คนเดียว แล้วพอต้องทำอะไรคนเดียว กินข้าวคนเดียวมันก็เลยรู้สึกแปลก ๆ น่ะ"

นึกถึงเมื่อตอนเย็นที่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียวเพราะพ่อกับแม่ออกไปทำภารกิจ ส่วนคุณปู่ก็ไม่อยู่ มันก็เลยรู้สึกเหงา ๆ หน่อย แต่พอตอนนี้ได้มานั่งดูสองคนนี้กินข้าวด้วยก็ดีขึ้นมากแล้ว ถึงจะคุยอะไรด้วยไม่ได้เพราะไม่รู้เรื่องการฝึกของทั้งคู่ แต่ก็ยังไม่เหงาเท่าตอนที่ต้องนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องคนเดียวละนะ

".....?"

ชิโนบุมองทั้งสองคนที่นั่งเงียบไปหลังจากตัวเองพูดจบ แล้วก็ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ 'เป็นอะไรกันไปก็ไม่รู้ จู่ ๆ ก็เงียบไม่พูดไม่จา' เห็นแบบนั้นเจ้าตัวเลยยกมือขึ้นมาเท้าคางแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติไม่ได้สำคัญอะไร

"เงียบกันทำไม ไร้สาระใช่ไหมล่ะ ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเฉย ๆ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"

สิ้นประโยคนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสามไว้ทันที ในขณะที่ชิโนบุได้แต่มองสลับไปสลับมาระหว่างอัลฟ่าและแบล็ก อีกสองหนุ่มเองก็หันมาสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเป็นอัลฟ่าที่พูดขึ้นมาก่อน

"ขอโทษนะ"

"ฉันก็ขอโทษด้วย"

ชิโนบุไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าทั้งสองคนจะขอโทษทำไม แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาที่ส่งมาแล้วมันก็เผลอร้อนรนจนทำอะไรแทบไม่ถูก ได้แต่เปลี่ยนมานั่งหลังตรง ขมวดคิ้วแน่น แล้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะเหวี่ยงนิด ๆ เพื่อกลบเกลื่อน

"แล้วพวกนายจะขอโทษทำไมเล่า"

"ฉันแค่อยากเก่งขึ้นเร็ว ๆ ก็เลย..."

พูดได้แค่นั้นอัลฟ่าก็หยุดไปเฉย ๆ ดวงตาที่สบกันตรง ๆ กับอีกฝ่ายเมื่อครู่หลุบลงมองถ้วยข้าวตรงหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น ที่ผ่านมาเขาไม่ทันได้คิดว่าการออกไปฝึกทุกวันเพราะอยากเก่งขึ้นเร็ว ๆ จะทำให้ชิโนบุต้องเหงาแบบนี้ ต้องปล่อยให้เจ้าตัวอยู่คนเดียวทุกเย็นมาเกือบเดือนแบบนี้...

แย่จริง ๆ

"ขอโทษนะโนบุจัง ฉันผิดไปแล้ว"

ทางด้านแบล็ก เจ้าตัวไม่ทำแค่ขอโทษอย่างเดียวแต่ยังพุ่งเข้าไปกอดชิโนบุด้วยท่าทีงอแงเหมือนเด็ก ๆ สองมือกอดเอวเด็กน้อยของตัวเองไว้แน่น ในขณะที่ใบหน้าก็ซุกเข้าที่ลาดไหล่เล็ก ๆ แล้วเอาแต่พึมพำคำว่าขอโทษด้วยน้ำเสียงอู้อี้ซ้ำไปซ้ำมา

เกือบเดือนมานี้เขาเองก็เอาแต่เคี่ยวฝึกให้อัลฟ่า เพราะอยากให้เจ้าตัวเก่งขึ้นจนสามารถปกป้องโนบุจังได้ เอาแต่สนใจกับเรื่องทางนี้จนลืมสนใจความรู้สึกของโนบุจังไป ทั้งที่มันควรเป็นเรื่องที่เขาต้องให้ความสนใจเป็นอันดับแรกแท้ ๆ...

แย่ชะมัด

"เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ยพวกนาย เลิกกอดได้แล้วแบล็ก ไม่งั้นฉันฟาดจริง ๆ นะ"

เห็นแต่ละคนทำหน้าหงอยแล้ว ชิโนบุก็พลอยจะทำตัวไม่ถูกเลยได้แต่พูดขึ้นด้วยเสียงดุ ๆ ในขณะที่มือก็พยายามผลักแบล็กออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยให้เจ้าหมาดำกอดเอว ซุกไหล่อยู่แบบนั้น จนกว่าเจ้าตัวจะพอใจแล้วเลิกไปเอง

"โนบุจาง ~ ~"

"อะไร"

"ขอโทษน้า ~ ~"

"ขอโทษทำไม"

"ขอโทษที่ปล่อยให้โนบุจังต้องเหงา"

คำขอโทษที่ได้รับทำให้ชิโนบุก้มลงมองคนพูดนิ่ง ๆ โดยไม่ตอบอะไร ก่อนจะใช้มือตบที่ตักตัวเองเบา ๆ แต่แค่นั้นแบล็กก็เข้าใจได้ทันที ภูตพิทักษ์ประจำตระกูลฉีกยิ้มกว้าง ขณะที่รอบตัวเริ่มมีไอพลังสีดำเคลื่อนเข้าปกคลุม ชั่วอึดใจที่ไอพลังค่อย ๆ เลือนหาย ร่างของเด็กหนุ่มมัธยมปลายก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าหมาน้อยสีดำที่นอนขดอยู่บนตักของชิโนบุแทน

อัลฟ่าได้แต่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจ แบล็กเคยสอนแต่การกลับคืนร่างเดิมให้เขา แต่ว่ายังไม่เคยสอนให้ทำแบบนี้...

อยากทำได้บ้าง

พรุ่งนี้คงต้องขอให้แบล็กสอนซะแล้ว

"ไม่ต้องขอโทษฉันแล้ว นายก็ด้วยอัลฟ่า"

คำพูดของชิโนบุทำให้อัลฟ่าละสายตาจากร่างหมาน้อยของแบล็กขึ้นมอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชิโนบุเองก็กำลังมองมาที่เขาพอดี ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันโดยบังเอิญ

รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทายาทคนสำคัญของตระกูลอาคาวะ ก่อนเจ้าตัวจะพูดขึ้นในขณะที่มือก็ลูบขนนุ่ม ๆ ของเจ้าตัวน้อยบนตักเล่นไปด้วย

"ที่นายต้องออกไปทุกวันก็เพราะอยากเก่งขึ้นนี่ ส่วนแบล็กเองก็อยากช่วยให้อัลฟ่าเก่งขึ้นเหมือนกันถึงได้ออกไปด้วยกันใช่ไหมล่ะ แล้วแบบนี้พวกนายจะมาขอโทษฉันทำไม ในเมื่อ..."

"...."

"ที่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะอยากจะปกป้องฉันไม่ใช่เหรอ"

พูดจบชิโนบุก็อมยิ้มออกมาจนลักยิ้มที่ข้างแก้มบุ๋มลงไป ดวงตาคู่สวยก้มลงมองแบล็กที่เอาหัวมาถูหน้าท้องตัวเอง แล้วก็หลุดขำออกมาเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอัลฟ่าที่ตอนนี้กำลังส่งยิ้มมาให้

ระหว่างทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งอัลฟ่าและชิโนบุทำเพียงมองหน้าและยิ้มให้กันเพียงเท่านั้น ก่อนที่อัลฟ่าจะเป็นฝ่ายนึกอะไรขึ้นได้ ล้วงมือเข้าไปหยิบของที่เตรียมไว้ออกมา ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

"ขอมือหน่อยสิ"

แม้จะสงสัย แต่ชิโนบุก็ยื่นมือขวาของตัวเองไปให้ ดวงตากลม ๆ จ้องมองอะไรบางอย่างในมือของอัลฟ่า ที่ดูแล้วคล้ายกำไลแต่กลับแผ่บรรยากาศกดดันออกมาตลอดเวลา

"คืออะไร"

ระหว่างที่ถามไปชิโนบุก็ยังคงจ้องกำไลเส้นนั้นไม่วางตา ตัวกำไลเป็นสีขาวล้วน เหมือนถักมาจากเส้นไหมอะไรสักอย่าง ดูอ่อนนุ่มแต่ก็แข็งแรงในเวลาเดียวกัน ที่ตรงกลางมีคล้าย ๆ หินลักษณะเป็นวงรีสีขาวนวลอยู่ด้วย รวม ๆ แล้วคือสวยมาก แต่ก็น่ากลัวมากด้วยอย่างบอกไม่ถูก

"ใส่ติดตัวไว้ตลอดนะ"

"นายยังไม่ตอบเลยว่าคืออะไร"

"ขนหางทั้งเก้ากับปลายเล็บของฉัน"

"หา?"

คำตอบที่ได้รับทำให้ชิโนบุเกือบกระตุกมือกลับทันที แต่เพราะได้รับสายตาดุ ๆ ของอัลฟ่าที่มองมา ทำให้เขาต้องค้างมือไว้อย่างนั้นให้เจ้าตัวสวมกำไลให้จนเสร็จ

ไม่ได้รังเกียจสักหน่อย ไม่เห็นต้องทำตาดุขนาดนั้นเลย

ที่เมื่อกี้เกือบชักมือกลับเพราะตกใจที่มันคือของสำคัญต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้ว่าขนหางของจิ้งจอกเก้าหางมีพลังอาคมเคลือบอยู่ทุกเส้น แค่ได้มาเส้นเดียวก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แต่นี่เจ้าตัวกลับเอามาถักเป็นกำไลพันรอบข้อมือให้เขาได้...ต้องใช้ไปตั้งกี่เส้นกัน?

ไหนจะปลายเล็บที่อยู่ตรงกลางกำไลนี่อีก ได้ขนหางไปถือว่าโชคดีแล้ว แต่ได้เล็บมานี่ต้องใช้คำว่าโชคดีกี่ครั้งถึงจะพอ เล็บของจิ้งจอกเก้าหางมีอาคมเคลือบไว้รุนแรงยิ่งกว่าขนหางทุกเส้นอีก ถึงแม้จะเป็นแค่ปลายเล็บ แต่พลังกดดันก็ทำให้แม้แต่ภูตระดับกลางบางตัวก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว

แล้วทั้งหมดนั่น กลับมารวมกันอยู่บนข้อมือของเขา...

หลังจากนี้จะโดนหมายหัวเพื่อแย่งชิงกำไลก็ไม่แปลกแล้วล่ะ

"ฉันฝนเล็บจนมั่นใจดีแล้วว่ามันจะไม่บาดผิวนาย"

เห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งจ้องกำไลที่มือขวาอยู่นานสองนาน อัลฟ่าเลยอดพูดขึ้นไม่ได้ ก่อนจะเอามาทำเป็นกำไลเขาตรวจสอบอย่างดีแล้วว่าทั้งขนหางและเล็บจะไม่บาดผิวของอีกฝ่ายแน่นอน

"ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย"

"ก็เห็นจ้องไม่เลิก"

"แค่ไม่คิดว่าของแบบนี้มันจะมาอยู่บนมือฉันต่างหาก"

"อืม ก็พอเข้าใจ แบล็กบอกว่าขนหางกับเล็บของจิ้งจอกเก้าหางหายากมาก"

"ใช่ เพราะตั้งแต่ทามาโมะ โนะ มาเอะถูกผนึกไว้ ก็ไม่เคยมีจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ที่เจออย่างมากก็ห้าหรือไม่ก็เจ็ด แต่พวกนี้ไม่เป็นที่ต้องการเพราะพลังไม่สูงนัก จัดอยู่ในระดับชั้นกลางเทียบกับสัตว์หางจริง ๆ ไม่ติด"

อัลฟ่าพยักหน้ารับเบา ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน เขาเองก็พอรู้บ้างแล้วเพราะแบล็กเคยบอกไว้ ปีศาจจิ้งจอกไม่ได้หายาก แต่จิ้งจอกเก้าหางต่างหากที่หายาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างในตัวของจิ้งจอกเก้าหางจึงถือเป็นสิ่งล้ำค่า ขนหางทุกเส้นเป็นสิ่งล้ำค่า เล็บทุกเล็บเป็นสิ่งล้ำค่า...

และก็เพราะมันล้ำค่า...

ถึงอยากมอบให้

"พลังคุ้มครองของมันอาจจะไม่สูงนัก เพราะฉันยังควบคุมพลังของตัวเองได้ไม่เต็มที่"

ขณะที่พูดไปอัลฟ่าก็แตะนิ้วลงบนตัวกำไลเบา ๆ นิ้วโป้งปัดผ่านเล็บของตัวเองที่อยู่ตรงกลาง ทั้งบรรยากาศกดดันและไอพลังที่แผ่ออกมาเลือนหายไปทันที จนมองดูเหมือนเป็นกำไลถักธรรมดาไม่มีความพิเศษอะไร หากแต่ชิโนบุกลับสะท้านไปทั้งตัว เมื่อความอุ่นวาบเคลื่อนผ่านจากข้อมือเข้าครอบคลุมเขาไว้

แม้จะตกใจ แต่กลับไม่อึดอัด

แม้จะหวาดหวั่น แต่กลับแฝงไปด้วยความปลอดภัย

ชิโนบุไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่นี้คืออะไร เขาทำได้เพียงมองกำไลที่อยู่บนข้อมือขวา ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบกับอัลฟ่าที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าแบล็กที่นอนขดอยู่บนตักก็หันไปมองทางอัลฟ่าเหมือนกัน

ดวงตาสีดำสนิทของอินุงามิในร่างขนาดจิ๋วจ้องมองเด็กสองคนสลับไปมา ก่อนจะเลื่อนลงมองกำไลที่สวมอยู่บนมือของชิโนบุ

เจ้าสิ่งนั้นอัลฟ่าเป็นคนทำขึ้นเอง เขาไม่ได้บอกไม่ได้แนะนำอะไร ออกจะแปลกใจด้วยซ้ำตอนที่อัลฟ่าบอกว่ามันทำอะไรได้บ้าง เพราะเขาก็รู้มาเหมือนกับคนอื่นว่ามันล้ำค่า แต่ก็ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันมีความสามารถอยู่ในระดับไหน

ตอนที่รู้ครั้งแรกก็ตกใจและค่อนข้างอึ้ง แต่อัลฟ่ายืนยันว่ามันทำแบบนั้นได้จริง ๆ เหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ด้วยสัญชาตญาณของเผ่าพันธุ์ตัวเองว่าลึก ๆ ในตัวมีความสามารถอะไรซ่อนอยู่บ้าง มีความพิเศษตรงไหน ทำอะไรได้บ้าง เพียงแต่ยังหาวิธีเอามันออกมาใช้ได้ไม่ทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ขอยอมรับตามตรงว่าบางทีเขาเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกัน ที่ออกไปฝึกพิเศษกันทุกวันก็สอนแค่เรื่องการใช้พลังและเทคนิคการต่อสู้ ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นก็จำเป็นต้องปล่อยให้อัลฟ่าเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ทั้งพลังและความสามารถของจิ้งจอกเก้าหาง ยิ่งได้สัมผัสก็ยิ่งรู้สึกว่ามันซับซ้อน แม้จะเป็นภูตทางสายวิญญาณเหมือนกันแต่ก็ถือว่าแตกต่างกันมาก ยิ่งลองสู้กันก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าสไตล์การต่อสู้ของเขาและอัลฟ่าแทบไม่เหมือนกันเลย...

แต่ก็เพราะอย่างนั้น...

เขาถึงยิ่งวางใจ

อินุงามิในร่างเจ้าตัวน้อยสีดำขยับใบหูเล็กน้อยก่อนจะยิ่งขดตัวในท่าที่สบายขึ้น พวงหางสะบัดไปมาเบา ๆ ก่อนจะเกยคางลงบนขาหน้าของตัวเอง ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม หากแต่มองออกได้ยากนักในร่างของสุนัข

เสียงพ่นลมหายใจดังขึ้นเบา ๆ ฟังดูคล้ายเสียงหัวเราะ ก่อนที่ปลายหางจะตวัดกลับมาแนบสนิทอยู่ที่พื้นข้างลำตัว เมื่อได้ยินเสียงของอัลฟ่ากำลังพูดในสิ่งที่เจ้าตัวเคยบอกกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้...

ไม่ได้ผ่อนคลายตัวเองแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

"แต่มันจะปกป้องนาย และทำให้ฉันรู้ตัวตลอดเวลาถ้าหากนายตกอยู่ในอันตราย เพราะว่า..."

"....."

"ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณฉัน สถิตอยู่ในกำไลเส้นนี้"

คงได้เวลาที่เขาจะสละตำแหน่งผู้คุ้มครองอันดับหนึ่งของโนบุจังแล้วล่ะนะ ^^

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

"ยังไม่ได้เรื่องอีกเหรอ"

"ขอโทษครับ พวกอาคาวะหูตาไวมาก การจะเข้าไปตรวจสอบดูจึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก"

"....."

"แต่เรายืนยันได้แล้วว่ากระแสพลังที่ปะทุออกมาตอนต่อสู้กับหกหางคือพลังของสัตว์หางอีกตัวหนึ่งจริง ๆ ครับ"

"มีสัตว์หางที่ไม่โดนผนึกอยู่ได้ยังไง"

"ผมก็ไม่ทราบครับ"

"....."

"....."

"เอาสัตว์หางตัวนั้นมาให้ฉัน...จะทำยังไงก็ได้ แต่ต้องเอาตัวมันมาให้ฉัน"

"ครับ"

tbc...