webnovel

บทที่ 3 : เงามืดบนเกาะวาลดัล

ค่ำคืนที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงของดวงดาวและจันทราราวกับว่าราตรีนี้ความมืดจะย้อมทุกสรรพสิ่งบนโลกเมอร์ทาดัสให้กลายเป็นสีดำไร้จุดสิ้นสุด

ห่างออกไปทางดินแดนตะวันออกเมื่อพ้นเขตล่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยป่าไม้เขียวอุดมสมบูรณ์ เพียงแค่ก้าวข้ามผ่านไปอีกฝากฝั่งของทุ่งราบรกร้างคุณจะพบกับสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายและคำสาปจากอดีตกาล

ทุกตารางเมตรถูกปกคลุมไปด้วยต้นหนามขนาดใหญ่สีทะมึนขึ้นสูงแน่นหนาราวกับป้อมปราการที่มั่นคง

ต้นแบล็คธอร์น สีดำจำนวนมากไร้ซึ่งใบประดับมีเพียงหนามพิษแหลมคมของมันที่เกี่ยวทับซ้อนกันเป็นเกลียวคลื่นเต็มไปด้วยอันตรายป่าซึ่งไร้ลมหายใจของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเศษซากกระดูกตกกระจัดกระจายอยู่ด้านนอกกองทับถมจนไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของมนุษย์หรือสัตว์

ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่างหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์ตามแนวชายป่าอาถรรพ์เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ที่พยายามเข้าไปในป่าแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับออกมาเป็นเหมือนคุกนรกที่กักขังผู้บุกรุกไว้ตลอดกาลดินแดนแห่งความตายซึ่งเต็มไปด้วยคำสาปแช่งถูกเรียกขานในอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ป่าอาถรรพ์วาลดอน

' ผู้อ่อนแอที่ขลาดเขลาจะไม่เฉียดเข้าใกล้ป่าแห่งนี้ดั่งเช่นผู้รุกรานที่เข้าไปจะไม่มีวันได้กลับออกมาพร้อมลมหายใจของพวกเขา '

ลึกเข้าไปหลังกำแพงหนามพิษที่สูงตระหง่านคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ขยายกว้างไกลออกไปหลายสิบเมตรน่าประหลาดที่บริเวณใจกลางของทะเลสาบนั้นกลับมีเกาะเล็กๆตั้งอยู่โดยไม่เคยถูกผู้ใดค้นพบมาก่อน

ริมชายฝั่งด้านบนที่เคยเงียบสงบมานานหลายปีตอนนี้กลับมีร่างของเด็กชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นในสภาพที่น่าสมเพชราวกับว่าเขาเพิ่งวิ่งฝ่ากองกระสุนสงครามออกมาเสื้อผ้าบนตัวขาดหลุดรุ่ยไม่ต่างจากขอทานที่อาศัยอยู่ในตรอกสลัม

แต่สิ่งที่ทำให้สัตว์ป่าผู้หิวกระหายพากันแปลกใจคือพลังเวทย์ที่คอยปกป้องเด็กคนนี้อยู่ตลอดเวลา แม้อีกฝ่ายยังคงไม่ได้สติแต่พวกมันก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้เช่นกันทำได้เพียงเฝ้ารออย่างใจจดจ่อเพื่อหวังว่าพลังของเกราะป้องกันจะรีบสลายหายไป

นกเวนเดอร์ รอบๆเริ่มส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพื่อเรียกฝูงของมัน เหยื่อมนุษย์ที่เล็ดลอดเข้ามาคืนนี้จะกลายเป็นอาหารอันโอชะไม่ช้าก็เร็ว

ดวงตาสีแดงกระหายเลือดไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาคอยจ้องมองเหยื่อบนพื้นอย่างไม่ลดละสายตาปีกสีดำกระพือขึ้นลงเพื่อคิดหาทางเจาะทำลายเกราะป้องกันตรงหน้าของมัน

ในขณะที่ลมหนาวเย็นพัดผ่านร่างของเด็กชายคล้ายกับกำลังเรียกสติให้เขาตื่นขึ้น วิคตัสพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของเขาอย่างยากลำบากอากาศหนาวเย็นรุนแรงเสียเกินกว่าที่เขาจะเพิกเฉยต่อไปได้จริงๆ

หลังจากดวงตาสีเขียวเข้มสดใสค่อยๆปรับโฟกัสให้เข้าที่ได้สักพักสิ่งที่ฉายในแววตาคู่สวยของเขากลับมีเพียงความมืดมิดและพลังเวทย์คุ้มกันของแม่ผู้เป็นที่รักที่ค่อยๆเริ่มเบาบางลง

วิคตัสหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามปรับตัวกับความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกาย เขามองออกไปรอบตัวก่อนเผชิญกับภาพที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงกลิ่นสาบเหม็นหืนของซากสัตว์และความชื้นแฉะของดินโคลนกลบกลิ่นเปลือกไม้แห้งที่ลอยเด่นชัดอบอวลอยู่ท่ามกลางอากาศ

" นี่มันที่ไหนกัน? "

วิคตัสแน่ใจว่าตอนนี้เขาอาจถูกส่งมายังป่าลึกสักแห่งที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเมืองหลวงอย่างแน่นอนแต่ก่อนที่จะทันได้มีเวลาตั้งสติเสียงขยับกิ่งไม้แปลกๆก็ดังขึ้นด้านบนศีรษะทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ

ทันทีที่เงยหน้าขึ้นดวงตาของวิคตัสก็เบิกกว้างด้วยความตกใจป่าที่เคยมืดมิดเงียบสงบตอนนี้กลับเต็มไปด้วยดวงตาสีแดงหลายสิบคู่ล้อมวงจ้องมองมาที่เขา ร่างกายที่เคยผ่อนคลายกลับตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาอันตรายที่จ้องมองมาจากทุกทิศทาง 

ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ดูมืดมนกว่าที่เคยเป็นราวกับเวลาถูกหยุดไว้ชั่วขณะ เมื่อเสียงกระทบกันของปีกกระพือดังขึ้นจากด้านบนแม้จะฟังดูแปลกประหลาดแต่แอบแฝงไปด้วยพลังที่น่าหวาดกลัวนกปีศาจเวนเดอร์ตัวหนึ่งในฝูงหมดความอดทนในที่สุดก่อนพุ่งเข้าใส่เหยื่อตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูพร้อมจะงอยปากแหลมคมโฉบผ่านไปและสร้างบาดแผลขนาดใหญ่ที่ต้นแขนของวิคตัสได้ในชั่วพริบตา

กลิ่นเลือดจากบาดแผลเปรียบเสมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิงได้เป็นอย่างดีเมื่อพวกมันได้รับรู้ถึงรสชาติที่น่าหอมหวานเสียงกระทบปีกที่บ้าคลั่งก็ดังขึ้นทั่วบริเวณอีกครั้ง

ไม่จริงใช่มั้ย!!!

วิคตัสพยามยามลุกขึ้นหนีอย่างทุลักทุเลด้วยขาที่สั่นสะท้านจากผลกระทบของเวทย์พอทัลกว่าเขาจะปรับตัวได้ร่างกายที่เปลือยเปล่าก็เต็มไปด้วยบาดแผลจำนวนมากพร้อมกลิ่นเลือดที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งจนกลายเป็นสัญญาณระบุตำแหน่งของเขาได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะวิ่งออกมาได้สักพักแต่นกกระหายเลือดพวกนั้นยังคงตามติดเขามาได้ทุกครั้ง

เมื่อเขาเห็นนกตัวหนึ่งบินลงมาในที่สุดวิคตัสก็มองเห็นรายละเอียดของสิ่งมีชีวิตนั้น

ขนสีดำที่หยาบกระด้างและดวงตาสีแดงก่ำเจิดจ้านกเหล่านั้นมีกรงเล็บที่แหลมคมขนาดใหญ่พอที่จะฉีกทุกสิ่งออกเป็นชิ้นๆได้ทันทีที่พวกมันสัมผัส

' .. .นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย '

ฝูงนกเวนเดอร์ ยังคงไล่ตามเหยื่อของมันอย่างไม่ลดระกลิ่นหอมหวานของมนุษย์ผู้นี้ช่างดึงดูดเกินกว่าที่พวกมันจะยอมปล่อยไปได้จริงๆ

ขณะที่พยายามหลบหนีอย่างยากลำบากในที่สุดเมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดของสภาพแวดล้อมสติของเขาก็เริ่มกลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง การวิ่งต่อไปอย่างไม่มีจุดหมายเช่นนี้อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักและสภาพที่เปลือยเปล่าของเขาตอนนี้ช่างดูอนาจารเสียเหลือเกิน

ใช่แล้ว!!ตอนนี้บนร่างกายที่เหลือมีเพียงสร้อยคอสีเขียวอย่างเดียวเท่านั้น

วันพีช. ...วีนพีชของแท้!!

ให้ตายเถอะ...ช่างน่าอับอายจริงๆ!! 

เด็กหนุ่มเริ่มรวบรวมพลังเวทย์ในร่างกายอย่างรวดเร็วเพียงชั่วครู่ไม้คทาสีเข้มรูปทรงเรียบง่ายก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

ไม้กายสิทธิ์ขนาด 13 นิ้วที่สร้างจากไม้โบราณอายุมากกว่า 100 ปี ถูกประดับด้วยหินอัญมณีสีเขียวสดใสที่ปลายด้านบนมีตัวอักษรรูนสลักไว้เป็นแนวยาวเรียงลงมาอย่างสวยงาม

เมื่อวิคตัสสัมผัสได้ถึงการโจมตีที่พุ่งมาจากด้านหลังเขาก็ร่ายมนตร์พร้อมสะบัดไม้คทาในมือออกไปโดยไม่ลังเล

Pannetto!

เหล่าเถาวัลย์จงมาฟังบัญชาข้าเถิด! จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติจงผูกมัดและหยุดยั้งศัตรูที่มืดมน !! 

เมื่อสิ้นสุดคำร่ายเพียงชั่วพริบตาเถาวัลย์สีเขียวจำนวนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินที่ว่างเปล่าโบกกิ่งก้านของมันเพื่อโจมตีฝูงนกที่บินไล่ล่าเขาอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นคาถาพื้นฐานของผู้ใช้เวทมนตร์ประเภทไม้ที่เขาถนัดมากที่สุด มนต์ระดับ1 ใช้สำหรับสร้างพืชเถาวัลย์ออกมาเพื่อขัดขวางศัตรูหรือสร้างกับดักอย่างง่าย

คาถานี้ใช้พลังเพียงเล็กน้อยแต่กลับมีประโยชน์มากขึ้นแล้วแต่สถาณการณ์แม้จะไม่สามารถสังหารศัตรูได้แต่ก็ช่วยถ่วงเวลาหรือสร้างความสับสนให้อีกฝ่ายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เถาวัลย์ที่ถูกเสกขึ้นมาจะกวัดแกว่งลำต้นอวบแน่นของมันเพื่อจับเป้าหมายตามการควบคุมของผู้ร่าย ยิ่งระดับพลังของพ่อมดแม่มดสูงขึ้นต้นเถาวัลย์ที่ดูธรรมดาเหล่านี้จะเต็มไปด้วยอันตรายมากขึ้นอย่างแน่นอน

เนื่องจากจำนวนนกปีศาจมีมากจนเกินไปทำให้เถาวัลย์ของเขาไม่สามารถกักขังพวกมันทั้งหมดได้ในขั้นตอนเดียว วิคตัสหยุดวิ่งเมื่อรู้สึกว่าเขาอยู่พ้นจากระยะการโจมตีของนกซอมบี้พวกนั้นก่อนหันกลับมาร่ายคาถาอีก 2-3 ครั้งติดต่อกัน

เพียงไม่นานพุ่มเถาวัลย์สีเขียวจำนวนมากก็โผล่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้ฝูงนกกัสเนียร์ที่กำลังไล่ล่าเขาด้วยความเร็วต่างบินชนกระแทกกันก่อนล้มลงไปกับพื้น

เมื่อพวกมันต้องการไล่ตามเหยื่อตรงหน้าต่อก็พบว่าพืชเหล่านี้จะออกมาปิดกั้นหนทางของพวกมันทุกครั้งก่อนจะถูกกิ่งของเถาวัลย์รัดไว้แม้จะหลบหนีออกมาได้ก็จะพบกับเถาไม้ที่ยุ่งเหยิงพวกนี้อีกครั้งไม่จบไม่สิ้น

น่ารำคาญที่สุด!!!!!

เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นจนผิดสังเกตของเหล่านกปีศาจทำให้วิคตัสสะดุ้งตกใจ

ดูเหมือนคาถานี้จะยั่วยุพวกมันได้ดีเลยทีเดียว ?

เมื่อเห็นว่าฝูงนกทั้งหมดถูกขัดขวางไว้ได้ชั่วขณะเขาจึงรีบหลบออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว เวทย์มนตร์อาจช่วยยับยั้งได้ในตอนนี้แต่อีกไม่นานคงสลายไปหากถึงตอนนั้นเกรงว่ากลยุทธ์ของเขาคงใช้การอีกไม่ได้แน่นอนและที่สำคัญบาดแผลบนร่างกายมีมากเกินกว่าที่จะเสี่ยงเดินต่อไปท่ามกลางความมืดเช่นนี้

ความมืดเข้าครอบงำในจุดที่วิคตัสหยุดยืนอีกครั้ง เขาสามารถรับรู้ได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านหน้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างหงุดหงิดของนกปีศาจเหล่านั้น

" ต้องรีบออกจากที่นี่ก่อน! "

วิคตัสพึมพำกับตัวเองขณะมองไปยังเงามืดที่เคลื่อนไหวกันอย่างบ้าคลั่งด้านหลัง หัวใจกลับเต้นแรงอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว

เขารีบมองหาเส้นทางที่สามารถหลบหนีก่อนวิ่งตรงออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล ในใจเต็มไปด้วยความหวังว่าจะหนีพ้นจากอันตรายที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่แต่ใครจะรู้ว่าข้างหน้ามีสัตว์ป่าชนิดใดรออยู่บ้าง ?

Phaedra Phara !!

แสงสว่างจงเปิดเผย ผีเสื้อนำทางผู้อ่อนโยนโปรดมอบเส้นทางให้แก่พวกเรา !! 

สิ้นเสียงก้องกังวาลไม้คทาในมือก็โบกขึ้นกลางอากาศอีกครั้งก่อนส่องแสงสว่างเปรียบเสมือนตะเกียงนำทาง ประกายเวทมนตร์สีเขียวเปลี่ยนเป็นผีเสื้อเรืองแสงคอยบินล้อมรอบวิคตัสเพื่อสร้างความสว่างให้แก่เขาทำให้บรรยากาศใกล้เคียงดูอบอุ่นและน่าอัศจรรย์ราวกับตกอยู่ในเส้นทางความฝัน

แต่สิ่งที่ปรากฏในสายตาตลอดเส้นทางมีเพียงหมอกหนาจากสภาพอากาศที่มืดครึ้มและอึดอัดจนทำให้ทุกลมหายใจรู้สึกหนักหน่วงตามไปด้วย

ต้นไม้สองข้างทางดูไร้ชีวิตประดุจถ่าน เปลือกไม้แห้งกร้านเมื่อเหยียบย่างเท้าลงไปดูเหมือนจะซ่อนความลับอันน่ากลัวไว้กระทั่งหญ้าข้างทางและดอกไม้สีเข้มเหล่านั้นพวกมันต่างดูอึมครึมแถมยังมีรูปลักษณ์น่าสะพรึงกลัวไม่ต่างจากบรรยากาศป่าแห่งนี้อีกด้วย

จากระยะเวลาหลายสิบปีที่เขาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับพืชและสมุนไพรต่างๆมาวิคตัสเชื่อว่าเขาจดจำรูปร่างและสรรพคุณของพวกมันได้เป็นอย่างดี

แม้แต่พืชสมุนไพรเก่าแก่จากยุคโบราณยังถูกบันทึกข้อมูลไว้อย่างละเอียดโดยไม่มีข้อผิดพลาด อีกทั้งเขาเป็นผู้ใช้เวทย์สายธรรมชาติจึงมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อพืชต่างๆมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่าเขาจึงมั่นใจว่าพืชพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปอย่างแน่นอน

สายตาสีเขียวจ้องมองไปยังพืชที่ดูน่าขนลุกตามเส้นทางด้วยความสนใจแม้ต้องการเก็บตัวอย่างกลับไปเพื่อศึกษาแต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก

ตลอดเส้นทางวิคตัสยังคงมุ่งหน้าไปอย่างไร้จุดหมายนอกจากพืชแปลกๆพวกนี้แล้วโชคดีที่เขาไม่พบสัตว์ร้ายตัวอื่นๆเหมือนฝูงนกกระหายเลือดเหล่านั้นอีก

หลังจากเดินลึกเข้าไปด้านในของป่าจำนวนสิ่งมีชีวิตดูเหมือนจะลดน้อยลงกระทั่งเสียงของแมลงที่เคยรบกวนมาตลอดทางกลับไม่ปรากฏให้เขาได้ยิน ความผิดปกตินี้ทำให้วิคตัสรู้สึกกังวลก่อนตัดสินใจหยุดพักและเก็บแผนการทั้งหมดไว้ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้แทน

คงดีกว่าหากเดินทางช่วงที่มีแสงสว่างอีกทั้งแผลบนร่างกายก็เริ่มสร้างผลกระทบกับเขาแล้วด้วยเหมือนกัน

หลังจากสังเกตว่ารอบๆไม่มีสัตว์ป่าอย่างแน่นอน วิคตัสจึงเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก่อนใช้ไม้คทาในมือสร้างอักษรรูนบนพื้นดินล้อมรอบมันอย่างระมัดระวัง

- Incantatio Domus Somniorum - 

เสียงร่ายมนต์อันไพเราะฟังดูคล้ายบทเพลงร่ายรำของเหล่าภูติตัวน้อยถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีซีดบ่งบอกได้ว่าเจ้าของร่างกายเสียเลือดไปไม่น้อยจากการโจมตีที่ผ่านมาในค่ำคืนนี้

เมื่อสิ้นสุดการร่ายคาถาตัวอักษรรูนที่สลักบนพื้นดินก่อนหน้าก็เริ่มสว่างขึ้นคล้ายสปอร์ตไลท์และเริ่มชำระล้างพื้นที่ภายในเขตอาคมทั้งหมด

เวทมนตร์อักขระค่อยๆดูดซับพลังวิญญาณแห่งป่าไม้จากรัศมี 300 เมตร และเปลี่ยนรูปร่างเป็นฝูงผีเสื้อโบยบินล้อมต้นไม้ตรงหน้าพ่อมดหนุ่มอย่างรวดเร็ว

ทุกกระบวนการทำงานของคาถาวิคตัสสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ในร่างกายที่ถูกระบายออกไปเป็นจำนวนมากและถ้าหากยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้เขาอาจหมดสติลงก่อนที่คาถาจะร่ายสำเร็จ

ช่วงเวลาของการเฝ้าระวังดูเหมือนเวลาจะผ่านไปอย่างช้าๆเมื่อสิ้นสุดความคิดในจิตใจแสงของเวทย์มนตร์ก็ค่อยๆสงบลงเพียงไม่นานกระท่อมไม้เก่าแก่ทรุดโทรมสภาพไม่ต่างจากผู้ร่ายปรากฏขึ้นสู่สายตาของเด็กหนุ่ม

 ดูเหมือนคราวนี้เขายังพอมีโชคเหลืออยู่เล็กน้อย

โครงสร้างของกระท่อมมีร่องรอยของช่วงเปลี่ยนผ่านเวลาราวกับผ่านพายุฝนและลมหนาวมานานหลายร้อยปี ผนังดูกรอบและมีราดำเป็นจุดๆทั่วผนัง หลังคาถูกคลุมด้วยใบสนที่แห้งแล้งหนึ่งในแผ่นที่ปกคลุมดูเหมือนกำลังจะล้มตายและร่วงลงมา

สิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อนี้ถูกตั้งติดอยู่กับโคนต้นไม้ขนาดใหญ่คล้ายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันเมื่อสัมผัสกับแรงลมที่พัดผ่านมาจะได้ยินเสียงไม้ลั่นดัง 'เอี้ยด—อ้าด' คล้ายกับว่ามันกำลังเยาะเย้ยผู้คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ามัน

บริเวณประตูทางเข้ามีสัญลักษณ์ผีเสื้อซึ่งเป็นตราประจำตัวของผู้ร่ายคาถาถูกสลักไว้อย่างสวยงาม ดอกไม้เล็กๆบานอยู่รอบกระท่อมเปรียบเสมือนสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ยังคงต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางความเสื่อมโทรมทั้งหมด

แสงไฟสลัวลอดส่องรำไรออกมาผ่านทางช่องหน้าต่างช่วยขับไล่ความมืดมิดด้านนอกได้เป็นอย่างดี ด้านข้างของประตูไม้สีดำมีป้ายเล็กๆถูกแขวนไว้พร้อมข้อความกำกับคล้ายเป็นคำเตือนสำหรับผู้มาเยือน

ระวังอันตรายหากคุณเปิดและปิดฉันแรงเกินไป '

เด็กหนุ่มยืนอ่านป้าย'คำเตือน'ตรงทางเข้าก่อนเปิดประตูขึ้นอย่างช้าๆแอบถอนหายใจกับตัวเองพร้อมกับลากขาทั้งสองข้างที่อ่อนล้าของเขาเข้าไปด้านใน

..

.

.

.

ปัง

. .

.

.

เฮ้อออ. . . ในที่สุดก็ได้พักหายใจสักที !!

Bab berikutnya