...
เมื่อดำรู้ว่าได้อยู่ห้องเดียวกับโช ก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยตัวเขาจะได้มีเพื่อนพอที่จะคุยและทำความรู้จักให้คุ้นเคยกับโรงเรียนใหม่มากขึ้น แน่นอน.. โชนั้นยินดีเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ( แต่ดำเขาคงไม่รู้หรอกนะ ) ….
คราวนี้.. พออาจารย์ประกาศรายชื่อของนักเรียนประจำห้องต่างๆจบ ก็ให้นักเรียนเรียงแถวกันใหม่อีกครั้งนึง โดยให้เรียงตามห้องไป.. อย่างห้องที่หนึ่งมี 30 คน มีใครบ้างก็ให้ยืนเป็นแถวหน้ากระดานจนครบถึงนั่งลงได้ ทำแบบนี้จนครบทุกห้อง ชั้นม.1 ที่โรงเรียนนี้มีทั้งหมด 5 ห้องด้วยกัน จึงทำให้มีแถวของนักเรียน ห้าแถว แต่ละแถวจะแยกนักเรียนชายและนักเรียนหญิงอย่างละฝั่ง ฝ่ายนักเรียนชายจะอยู่ฝั่งข้างซ้าย ส่วนฝ่ายนักเรียนหญิงจะอยู่ทางฝั่งขวา และให้เว้นตรงกลางระหว่างแถว หนึ่งช่วงแขน เพื่อที่จะได้แยกชายและหญิงออกจากกัน หลังจากจัดแถวแยกห้องชั้นเรียนเสร็จแล้ว อาจารย์ก็ให้นักเรียนทุกคนนั่งที่พื้นฟังอาจารย์พูดเพื่อเปิดพิธี
" เอาล่ะ.. นักเรียนคราวนี้ครูจะขอประกาศรายชื่อ ของผู้ที่ทำข้อสอบได้คะแนนสูงที่สุด จากนักเรียนในที่นี้ 10 คน "
โชในตอนนี้รู้อยู่แล้วว่า ท๊อปเท็นมีใครบ้าง แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวของเขาเลย แต่เขาก็ยังนั่งหลังตรง ( ท่าทางดูเหมือนตั้งใจมาก ) รอฟังอาจารย์พูดต่อไป ซึ่งในครั้งนั้น ( หมายถึงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา )โชเขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า.. น่าจะมีสองพี่น้องแฝดนรกรวมอยู่ด้วย แต่เขาไม่แน่ใจว่าคนพี่หรือคนน้องเป็นคนที่ได้ที่หนึ่ง เพราะในอดีตที่ผ่านมาของโชนั้น พี่น้องฝาแฝดนี้เขาเรียนค่อนข้างเก่งมาก และโชในตอนนั้นก็เรียนเก่งนะแต่เขาเก่งมาจากบ้านนอกที่ในสมัยนั้นไม่มีการเรียนอะไรพิเศษเลย อาจารย์ขานรายชื่อตั้งแต่อันดับที่สิบ ไป.. เก้า.. แปด.. เจ็ด.. หก.. ห้า.. สี่.. และให้นักเรียนทั้ง 6 คนที่ถูกประกาศรายชื่อยืนขึ้นในแถว เพื่อจะให้เพื่อนๆดูหน้าตาและปรบมือให้ คราวนี้เหลือสามอันดับสุดท้ายอาจารย์ประกาศด้วยน้ำเสียงแบบภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน
" ในตอนนี้ ทางโรงเรียนของเรามีเด็กนักเรียนที่สามารถทำคะแนนข้อสอบวัดผลนักเรียน มีความสามารถทำคะแนนได้เต็มถึง 100 คะแแนนเต็ม และอีกสองคนที่เหลือก็เก่งมากได้ 95 คะแนนกับ 92 คะแนน ตามลำดับ นักเรียนอยากรู้ไหมว่าเป็นใคร ? "
" อยากรู้ครับ/ค่ะ " เสียงนักเรียนตะโกนขึ้นพร้อมกัน
" ครูจะประกาศชื่อนักเรียนคนที่ได้ 100 เต็มก่อนนะ ด.ช. โชรพีณ์ อัสมานนท์ ปรบมือให้เพื่อนหน่อยทุกคน "
โชตกใจสุดขีด สะดุ้งโหยง มองหน้าคุณครูที่ประกาศรายชื่อของเขาอยู่บนเวที เขาแทบไม่เชื่อหูของตัวเองว่าตัวเขาฟังผิดไปรึเปล่า เสียงเพื่อนๆปรบมือดังสนั่นก้องห้องประชุมไปเลย
" อ่าว.. ครูประกาศเรียกชื่อแล้ว เป็นใครครับนักเรียน?! ลุกขึ้นมาเลยครับ ไม่ต้องเขิน มา มา "
โชลุกขึ้นยืน และเดินขึ้นเวทีไปหาอาจารย์คนที่ประกาศรายชื่อของเขา จากนั้นอาจารย์ก็ประกาศรายชื่อของผู้ที่ได้ที่สองและที่สามตามลำดับ ซึ่งนั่นก็คือเด็กแฝดสองพี่น้องนั่นเอง ทั้งสามคนยืนเรียงอยู่หน้าเวที
" เอ่อ.. คนที่ได้ที่ 1 ครูอยากรู้ว่าเธอทำข้อสอบอย่างไร ? ถึงได้คะแนนเต็ม เพื่อนๆนักเรียนชั้นม. 1 ในที่นี้มีใครอยากรู้บ้าง "
" มีครับ " " อยากรู้ค่ะ " พวกเด็กๆนักเรียนตะโกนตอบกันอื้ออึง
อาจารย์ส่งไมค์ให้โชพูด เด็กแฝดชำเลืองมองมาที่โช และกรอกสายตากลับ
" ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับอาจารย์ " เสียงโห่ร้องปนเสียงหัวเราะของเพื่อนๆนักเรียนดังกึกก้องห้องประชุม แม้แต่อาจารย์ที่สัมภาษณ์ยังอดขำเสียไม่ได้ โชเรียกเสียงหัวเราะปนรอยยิ้มให้กับเพื่อนๆทั้งหอประชุม เขากลายเป็นคนดังไปซะแล้ว อาจารย์สัมภาษณ์นักเรียนที่ได้ที่สองกับที่สาม
" สองคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดกันหรอ ใครพี่ใครน้องกัน ? "
" ผมเป็นพี่ครับ "
" ส่วนหนูเป็นน้องค่ะ "
" เอาล่ะ.. ทั้งสามคนไปนั่งที่ได้ ที่ครูประกาศรายชื่อทั้งสิบคนไปเมื่อกี๊เดี๋ยวตอนพักเที่ยงมาพบครูที่หอประชุมก่อนไปทานข้าวนะ ครูมีของรางวัลให้ทั้งสิบคนเลย "
นักเรียนปรบมือให้กับเพื่อนที่ทำคะแนนสอบคัดเลือกทั้งสิบคนอย่างเสียงดัง และแล้วอาจารย์ก็เริ่มดำเนินรายการต่อไป เด็กนักเรียนทุกคนได้ร่วมกิจกรรมงานปฐมนิเทศที่คณะครูอาจารย์ได้จัดขึ้นไว้ มีทั้งการฟังบรรยายธรรม ร้องเพลง เต้นรำ และเล่นเกมส์เป็นหมู่คณะ โดยที่โชในวันนี้รู้สึกสนุกมากๆ เขาดูมีความสุขจริงๆ
' ไม่คิดเลยว่า การกลับมาเป็นเด็กมันจะดีแบบนี้ สนุกจริงๆ สนุกมากๆ เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แค่ได้เล่นสนุกไปแบบเด็กๆก็ดีไปอีกแบบนะ '
โชรู้สึกโชคดีที่เขาได้ย้อนอดีตกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง แถมยังมีเรื่องที่ทำให้น่าภูมิใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับตัวเขา ซึ่งในครั้งอดีตเขาไม่เคยได้รับ และเขายังแปลกใจว่าทำไมตัวเขาถึงได้สอบคัดเลือกได้คะแนนเต็ม
' แต่มันก็ไม่ได้ยากนะ แค่คำถามทั่วๆไปเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสูตรหรือการเรียนสักเท่าไหร่ เอ่อ… สงสัยเราโตไปเลยมีประสพการณ์มากซะล่ะมั้ง!? หรืออาจารย์จะตรวจผิด แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่รู้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจ แค่ทำตัวของเราให้อยู่กับร่องกับรอยก็เพียงพอแล้ว ต้องตัดสินใจเพื่ออนาคตของเรา เย้!! '
เด็กนักเรียนทุกคน ร่วมกิจกรรมงานปฐมนิเทศที่ทางโรงเรียนได้จัดกันอย่างสนุกสนาน มีอาหารและขนมเลี้ยง จึงทำให้พวกเด็กๆรู้สึกสนิทสนมกับคุณครู และเพื่อนๆในชั้นเรียนได้ง่าย ซึ่งนั่นคือจุดประสงค์ของทางโรงเรียนอย่างแท้จริงจึงทำให้งานปฐมนิเทศถึงจำเป็นต้องมีถึง 5 วันไง พวกเด็กๆจะได้คุ้นเคยกัน เพราะบางคนมาจากต่างจังหวัดก็มี แบบโชเพิ่งจะย้ายมากรุงเทพ และต่างก็เรียนจบประถมจากที่โรงเรียนแตกต่างกัน..
...
ครบ 5 วันของการปฐมนิเทศแล้ว วันนี้คือวันสุดท้าย และอีกสองวันโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว มันทำให้เด็กๆอยากจะเจอเพื่อนอีก นี่คือ ' ทริค ' ที่ทางโรงเรียนวางกับดักไว้ เพื่อล่อเด็กๆเหล่านักเรียนทั้งหลายให้ขยันมาโรงเรียนกัน แล้วค่อยๆต้อนพวกเด็กๆให้ตั้งใจเรียนและทำตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด โดยที่เด็กๆไม่ทันรู้ตัว มันคือนโยบายของทางโรงเรียนนั่นเอง ( ตามที่ ผอ. ต้องการ )
ในวันนี้จึงมีกิจกรรมแบบ ร้อง รำ ฮัมเพลง อย่างสนุกสนาน…
โชเริ่มมองดูรอบๆตัว ในตอนนี้เขาเหมือนกำลังชมภาพยนต์อยู่ โดยมีนักแสดงเป็นสามมิติ คือคุณครู อาจารย์ และเพื่อนๆเด็กนักเรียนทุกคนในห้องประชุม ณ ที่แห่งนั้น ภาพยนต์เรื่องนี้สนุกมาก และสมจริง ( เพราะเป็นสามมิติหรือสี่มิติเลยก็ว่าได้ ) เขาอารมณ์ดีไม่เครียด ไม่กังวล ช่วงเวลานี้เขาได้พูดคุยและทำความสนิทสนมกับดำได้มากขึ้น อย่างน้อยในอนาคตข้างหน้า โชเขาคงสามารถพูดคุย หรือจะโอ้อวดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะตอนนี้ให้แก่ลูกหลานไว้ฟังได้ โดยไม่ต้องรู้สึกอายใคร นี่คือสิ่งดีดีอีกหนึ่งอย่างที่ตัวของเขาทำให้กับตัวของเขาเอง….
......
ณ ที่บ้านหลังหนึ่งแถวเกตร
" แม่จ๋า แม่ทำอะไรอยู่ "
เสียงเด็กน้อยน่ารัก กำลังถามแม่ของเธออยู่
" แม่ก็กำลังรีดเสื้อผ้าชุดนักเรียนให้หนูอยู่น่ะซี.. "
" ชุดนักเรียนของหนูหรือคะ แม่.. " เด็กหญิงเอียงคอถามแม่ของเธอ
" ใช่แล้วจ้า.. อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้นะ!! เดี๋ยวจะโดนเตารีด เพราะมันร้อนมากเลย "
หนูน้อยทับทิมเขยิบถอยห่างจากแม่ของเธอเพียงเล็กน้อย เพราะเธอรู้สึกกลัวความร้อนจากเตารีดตามที่แม่ของเธอบอก แม่ของเธอยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อยของหล่อน
" อีกเดี๋ยว ก็เสร็จแล้วล่ะ หนูจะเอาอะไรหรอลูกทับทิม ? "
" เปล่าจ่ะแม่ หนูแค่มาดูแม่เฉยๆ "
" ออกไปเล่นข้างนอกก่อนก็ได้นะ "
" จ่ะแม่ "
หนูน้อยทับทิม.. ใช่แล้ว!!.. เธอคือทับทิมในวัยเด็กนั่นเอง ตอนนี้เธอยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้น กำลังจะได้เข้าเรียนในชั้นป.1 ของโรงเรียนประถมศึกษาที่หนึ่งแถวๆเกษตร เวลานี้เธออยู่กับแม่ 2 คนที่ห้อง ส่วนพ่อของเธอนั้นไม่ได้กลับบ้านมาเป็นสัปดาห์แล้ว เพราะต้องไปทำงาน พ่อของเธอทำงานเป็นยามและเฝ้าสวนของเจ้านายไปด้วยในตัว เจ้านายของพ่อเธอนั้นรวยมากมีบ้านอยู่หลายที่แต่ไม่มีคนอยู่ เลยต้องจ้างคนไปเฝ้าและดูแล พ่อของเธอเป็นคนที่เจ้านายไว้ใจมาก เพราะทำงานมาหลายปีแล้ว ส่วนแม่ของทับทิมเป็นสาวโรงงาน แม่ของเธอขยันมากทำงานทุกวันไม่ยอมหยุดทั้งทำโอที และไปทำงานแทนเพื่อนถ้าเพื่อนคนนั้นหยุดแต่ไม่อยากเสียงาน เพื่อนที่ทำงานเลยต้องจ้างแม่ของทับทิมไปทำงานแทน เลยทำให้ทับทิมต้องอยู่คนเดียวที่ห้องบ่อยๆ
แต่ก็ไม่ได้เหงาหรือลำบากอะไรมากนัก เพราะที่บ้านหลังนี้เค้าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่จะมีหลายห้อง โดยจะแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆแค่พอนอนภายในครอบครัวแต่ละครอบครัวเท่านั้น ( ความกว้าง เล็กหรือใหญ่ ใช้จำนวนคนกะเกณฑ์เอา แบบว่าถ้าครอบครัวนั้นมี 3 คนก็กว้างหน่อย แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็จะแคบหน่อยแค่พอวางเตียงหรือที่นอนได้เท่านั้น ) ประมาณ 5 ห้องนอน บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สองชั้น มีห้องครัว 1 ห้องเล็กๆแค่พอวางเตากับถังแก๊สได้ แต่มีตู้กับข้าวหลังใหญ่ถึง 3 ตู้กันเลยทีเดียว ส่วนสำคัญที่สุดก็คือห้องน้ำนั้นมีแค่ห้องเดียว แต่มันคงเป็นโชคดีที่ครอบครัวของทับทิมนั้น พ่อกับแม่ของเธอได้ต่อเติมห้องแยกออกมาเป็นสัดส่วน และทำประตูห้องให้เป็นประตูหน้าบ้านของตัวเองจะได้เข้าออกโดยอิสระและปิดตายจากบ้านหลังใหญ่ แถมยังต่อเติมทำห้องน้ำในตัวห้องอีกด้วย จึงทำให้ครอบครัวของทับทิมไม่เดือดร้อนเรื่องห้องน้ำ ส่วนครอบครัวใหญ่ของทางฝ่ายพ่อของเธอมี ปู่กับย่า และบรรดาอาๆทั้ง 5 คนของเธอ ( โดยมีอาคนเล็กที่มีอายุแก่กว่าทับทิมแค่ปีเดียว นั้นเป็นอาบุญธรรม ) และเธอยังมีลูกพี่ลูกน้องอีก 3 คน ที่จริงเธอยังมีป้าอีกคนนะแต่เผอิญว่าป้าของเธอนั้น แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ที่บ้านของสามีที่ต่างจังหวัดแล้วไม่งั้นที่นี่คงบันเทิงกว่านี้แน่ๆ ครอบครัวนี้ ฐานะปานกลาง แต่ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็มีงานทำ จะมีย่าเพียงคนเดียวที่ทำงานอยู่ที่บ้าน และคอยเลี้ยงดูหลานๆ 4 คนกับบุตร ( บุญธรรม ) อีก 1 คนรวมทั้งหมดเป็นเด็ก 5 คนโดยอายุนั้นไล่เลี่ยกัน
ย่าของทับทิมขยันมากแกเป็นลูกเสี้ยวคนจีน ทำให้แกอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ ชอบหยิบจับนั่นนี่หาอะไรมาทำให้ได้เป็นเงินตลอดเวลา ถึงแกจะเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านแกก็ยังรับเด็กมาเลี้ยงเพื่อหวังจะมีรายได้เสริม ( ซึ่งในตอนนั้น หลานทับทิมยังแบเบาะ ) แม่ของเด็กคนนั้นนำลูกสาวที่อายุขวบเศษๆมาฝากเลี้ยงโดยบอกว่าจ้างย่าของเธอ ในตอนแรกหล่อนก็จ่ายค่าจ้างเลี้ยงอยู่หรอกนะ แต่พอพักหลังก็ไม่จ่ายเงินค่าจ้าง แถมทิ้งลูกสาวของตนแล้วหนีหายไปเลย ทำให้ย่าของทับทิมรู้สึกสงสารและเวทนาเด็กหญิงคนนี้มาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้ปรึกษาสามี ( ปู่ของทับทิม ) และบรรดาลูกๆของแก
" ทำยังไงดีพ่อ.. แม่เด็กมันเอามาให้เลี้ยง และก็ทิ้งไป สงสารเด็กมัน "
" อืม.. เราจะรับเอาเด็กมาเป็นลูกบุญธรรมและเลี้ยงดีไหม หรือว่าจะเอาไปส่งที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า "
" โอ้ย!! จะเอามาเลี้ยงทำไม ? ขนาดแม่ของมันยังเอามาทิ้ง " เสียงอาพัชรีลูกสาวคนที่ 4 ของย่าแว้ดใส่
" จริงด้วยแม่… แม่จะเลี้ยงทำไมให้เหนื่อยกัน!! แค่เลี้ยงลูกพี่นนท์คนเดียวก็เหนื่อยพอแล้ว.. " อาพัชราลูกสาวคนที่ 5 ของย่าออกความเห็น
" เหนื่อยอะไร ? พี่ให้เงินแม่ ค่าจ้างเลี้ยงทับทิมนะ " พ่อของทับทิมพูดด้วยท่าทางขึงขัง
" จ่ะๆ แม่รู้แล้ว แต่จะให้แม่เอาเด็กคนนี้ไปส่งที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ "
" แม่มึง.. เราก็เลี้ยงเป็นลูกของเราจริงๆไปเลยสิ เด็กมันยังเล็กจำความอะไรไม่ได้หรอก ลูกๆของพวกเรามันก็โตกันหมดแล้ว มีงานมีการกันทุกคน เลี้ยงเด็กเพิ่มอีกสักคนจะเป็นไรไป เอาไว้ให้เป็นเพื่อนกับหลานทับทิมก็ได้ "
" อะไรของพ่อ!? พวกหนูไม่ช่วยเลี้ยงหรอกนะ ค่านมก็ไม่จ่ายให้หรอก จะเอาลูกใครก็ไม่รู้มาเลี้ยง " อาพัชรีโวยวาย
" เห็นไหม ? หนูบอกแม่แล้ว.. ว่าอย่ารับเลี้ยงเด็กก็ไม่ยอมเชื่อ ทีงี๊.. เป็นไงล่ะ " อาพัชรัตย์ลูกสาวคนเล็กของย่า ( เป็นลูกสาวคนที่ 6 ) ทำเสียงกระเง้ากระงอด ลอยหน้าลอยตาพูด
" ตกลงแม่จะเลี้ยงเด็กคนนี้และรับเป็นลูกจริงๆใช่ใหม ? " พ่อของทับทิมซึ่งในตอนนี้คงจะเป็นพี่ใหญ่ที่สุด เพราะป้าไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว กำลังถามแม่ของเขา
" ยังไม่รู้เลย.. ว่าไงพ่อ ? หรือพวกเราจะไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากัน "
" พวกลูกๆของเรามันเสียงเยอะกว่านี่ งั้นพรุ่งนี้เราไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากัน นะแม่มึง "
อาผู้หญิงทั้งสามคนของทับทิมทำหน้าพอใจในคำพูดของผู้เป็นพ่อ ( ปู่ของทับทิม ) ของตนมาก...