ภายในกระโจมสีขาวที่ใช้สำหรับรับรองแขกกิตติมศักดิ์ มีชายสามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่จัดเรียงไว้ให้หันหน้าเข้าหากัน โดยหนึ่งในนั้นก็คือธีรพลที่นั่งเคียงคู่อยู่กับสิงห์ ส่วนที่ฝั่งตรงข้ามด้านในนั้นนั่งไว้ด้วยเฮียจวงที่กำลังเอ่ยปากด้วยสีหน้าวิงวอนเป็นที่สุด
เดิมทีเฮียจวงตั้งใจจะเก็บงานชดใช้หนี้ไว้ใช้ในยามจำเป็นคับขันจวนเจียนจริงๆเสียก่อน แต่ตอนนี้เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ จึงไม่อาจไม่นำไพ่ตายใบสำคัญนี้ออกมาใช้ แม้จะเสียดายมากก็ตาม แต่ถ้าหากได้มีโอกาสระบายความคับแค้นใจที่ได้รับเสมอมา อีกทั้งปัจจัยจากเงินก้อนโตที่ใช้เป็นเดิมพันด้วยแล้ว เขาก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง
"เฮียรับรอง จบงานนี้ถือว่าเราหายกัน" เฮียจวงเอ่ย
"แต่เฮียจะให้ไอ้ธีมันเป็นคนชดใช้ก็ไม่ถูกนัก ข้าเองที่เป็นคนติดค้างหนี้ ข้าก็ต้องเป็นผู้กระทำจึงจะถูกต้อง" สิงห์เอ่ยกล่าวอย่างมีเหตุมีผล
"นั่นก็ไม่ผิด แต่หากจะเอาเอ็งลงประลองอย่าว่าแต่เงินสองพันห้าของข้าจะมลายสิ้น ตัวของเอ็งเองก็อาจจะบาดเจ็บบอบช้ำถึงขั้นพิการได้เลยทีเดียว" เฮียจวงเอ่ยโต้แย้งอย่างมีเหตุผลเช่นกัน
"ไอ้ใหญ่เล่า มันก็มีฝีมือชั้นเชิงไม่เบา เหตุใดจึงไม่ให้มันลงประลอง" สิงห์ถกถามอย่างเคร่งเครียด
"ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้มันลงประลอง แต่ไม่สามารถต่างหาก ตอนนี้ไอ้ใหญ่มันยังมีอาการบาดเจ็บบอบช้ำติดตัวมาจากคราก่อนที่พวกเอ็งมีเรื่องกัน ด้วยเหตุนี้เฮียจึงได้ร้องขอให้ธีเข้าช่วยเหลืออย่างไรเล่า" เฮียจวงอธิบายแก้ต่าง
"เอาอย่างนี้ นอกจากจะปลดหนี้ที่สิงห์ติดไว้กับเฮียแล้ว เฮียยังจะเสนอค่าจ้างในการลงประลองด้วย...หนึ่งร้อยบาท เป็นอย่างไร?" เมื่อไม่สามารถที่จะโน้มน้าวใจธีรพลได้ง่ายดายนัก เฮียจวงจึงตัดสินใจหยิบยื่นเอาผลประโยชน์เข้าล่อลวง หวังให้ธีรพลที่รู้ฝีมือกันอยู่แล้วเข้าช่วยแก้ไขสถานการณ์ ดีเสียกว่าที่จะไปทุ่มแทงให้กับนักสู้คนอื่นที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า
ครั้นพอเห็นธีรพลยังคงนั่งนิ่งครุ่นคิดเสมอมา แม้เฮียจวงจะเสนอเงินจำนวนมากมายเช่นนี้แล้วก็ยังไม่สามารถโยกคลอนจิตใจของเขาได้ จนพานทำให้สิงห์ที่ตาโตกับจำนวนเงินดังกล่าวถึงกับนั่งไม่ติด รีบทักท้วงให้เกลอรักรีบตอบรับข้อเสนอที่สุดแสนจะประเสริฐนี้แต่โดยเร็ว
"ห้าร้อยบาท"
เมื่ออย่างไรคนที่จะต้องเจ็บตัวก็คือเขา จำนวนเงินที่เขาควรจะได้รับย่อมต้องเท่าเทียมกับความสุ่มเสี่ยงที่จะมีโอกาสได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นพิการ อีกทั้งเดิมพันก็มากโข เขาเรียกร้องเพียงเท่านี้ก็ถือได้ว่าเหมาะสมดีแล้ว ดังนั้นธีรพลจึงได้ตัดสินใจเอ่ยข้อเสนอดังกล่าวขึ้น
"ห้าร้อย! เอ็งคิดว่าเอ็งเก่งกาจถึงขั้นนั้นเชียวหรือ?" เสียงลูกน้องคนหนึ่งของเฮียจวงเอ่ยสวนดังขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ เพราะจำนวนเงินที่เสนอมานั้นมากมายเสียจนยังไม่เคยมีนักมวยอาชีพคนใดได้รับมาก่อน
"หากเฮียจวงรับข้อเสนอนี้ได้ ข้าก็จะอาสาลงประลองให้ แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้จะได้รับก็ต่อเมื่อเฮียจวงได้รับชัยชนะแล้วเท่านั้น" โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านโดยรอบ ในครั้งนี้ธีรพลเป็นฝ่ายที่พูดเสนอให้เฮียจวงได้ครุ่นคิด
แม้เงินจำนวนที่เสนอมาจะมากโข แต่ความเชื่อมั่นที่เฮียจวงมีต่อตัวธีรพลก็มีมากด้วยเช่นกัน เพราะจากที่เคยดูการประลองมาหลายครั้งคราก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถปล่อยไฟออกจากหมัดได้ ดังนั้นเฮียจวงจึงยินยอมไม่ต่อรองราคาซื้อใจให้ธีรพลทุ่มเทอย่างสุด "ตกลง ถ้าจะสามารถหักหน้าเฮียสมบัติได้แล้วละก็ ข้าจะลองเชื่อใจเอ็งดูสักครา"
"ตกลง ข้าจะลงประลองเอง" ธีรพลพยักหน้าให้คำมั่น
สำหรับงานประลองมนุษย์ของพรรคม้าเหล็กนั้นโดยทั่วไปจะถูกจัดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก ในแต่ละเดือนจะจัดขึ้นเพียงไม่เกินสามวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงงานประลองใหญ่ที่เชิญนักสู้จากทั่วภาคเหนือของสยามประเทศเช่นครั้งนี้ด้วยแล้ว ในหนึ่งปีจะเกิดขึ้นเพียงหนเดียวเท่านั้น และในช่วงเดียวกันนี้เองก็จะเป็นช่วงที่ทางพรรคมีผู้มาเข้าร่วมชมงานประลองมากที่สุด ซึ่งนั่นก็ยิ่งส่งผลให้สภาพการเงินภายในพรรคม้าเหล็กเวียนสะพัดสูงที่สุดในรอบปีเช่นกัน
สำหรับนักสู้โดยส่วนใหญ่นั้นจะถูกเชื้อเชิญให้มาเข้าร่วมงานประลองโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละคนก็ย่อมมีฝีมือเก่งฉกาจในระดับที่หาตัวจับยาก ดังนั้นนอกจากทางพรรคจะต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีแล้ว นักสู้กลุ่มนี้ยังจะมีสิทธิพิเศษให้ได้ผ่านเข้าถึงรอบจับฉลากประกบคู่ในทันที
แต่สำหรับในกรณีของธีรพลนั้นเป็นในรูปแบบของบุคคลทั่วไป ซึ่งจะต้องผ่านรอบคัดเลือกเสียก่อนจึงจะมีสิทธิทะลุเข้าไปจับฉลากแบ่งสายต่อสู้ตัวต่อตัวในวันพรุ่งนี้ และในครานี้เองก็มีตำแหน่งที่ว่างเหลืออยู่เพียงสองที่เท่านั้น
"ครานี้เรามีผู้เข้าร่วมคัดเลือกจำนวนสิบสี่คนด้วยกัน แต่จะมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่จะผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้ หากนักสู้ทุกคนพร้อมแล้ว เชิญลงสู่สนาม" กรรมการจากพรรคม้าเหล็กผู้หนึ่งส่งเสียงประกาศให้นักสู้ทั้งหมดรับทราบข้อมูลเบื้องต้นโดยทั่วกัน
"การคัดเลือกจะเป็นแบบสู้พร้อมกันหมด หากผู้ใดตกน้ำถือว่าตกรอบ หากผู้ใดบาดเจ็บไม่สามารถสู้ได้สืบไปถือว่าตกรอบ ผู้ที่หลงเหลืออยู่บนเวทีสองคนสุดท้ายจะได้เข้ารอบทันที" กรรมการคนเดิมเอ่ยกติกาขึ้น ก่อนจะเดินลงจากเวทีหลีกทางให้นักสู้ทั้งสิบสี่คนได้เตรียมพร้อม เลือกยึดครองพื้นที่ชัยภูมิก่อนเริ่มการคัดเลือก
บรรยากาศจากเดิมที่ดูผ่อนคลายก็พลันตึงเครียดขึ้นทันตา นักสู้ส่วนใหญ่จากที่เคร่งครึมอยู่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นปั้นหน้าทะมึงทึ่งดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน ต่างฝ่ายต่างหันซ้ายมองขวากันอย่างระแวดระวังเตรียมพร้อมเข้าโรมรันกับคู่ต่อสู้ที่หมายตาไว้
เมื่อการตะลุมบอนกำลังจะอุบัติขึ้น ธีรพลก็ได้เลือกแยกตัวออกจากศูนย์กลางยึดครองพื้นที่ชายขอบฝั่งหนึ่งของลานรูปวงกลมที่มีผู้คนเบาบาง พร้อมๆกับสำรวจดูคู่ต่อสู้จนพบว่าโดยส่วนใหญ่ผู้ที่มาคัดเลือกในครานี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ที่มีประสบการณ์โชกโชน ร่างกายบึกบึนกำยำ อีกทั้งบนเรือนร่างยังสลักลวดลายอักขระเป็นภาษาล้านนาที่ดูเปี่ยมไปด้วยมนต์คลัง จนทำให้ธีรพลต้องเตือนสติตนเองให้รับมืออย่างระมัดระวังเป็นที่สุด
แต่ที่น่าแปลกก็ตรงที่มีนักสู้อยู่คนหนึ่งที่ดูค่อนข้างราบเรียบแต่กลับเป็นที่สะดุดตาสำหรับธีรพลยิ่ง เพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วเหมือนเป็นคุณชายเจ้าสำอางเสียมากกว่าจะเป็นนักสู้ แต่สัญชาตญาณของธีรพลกลับร้องเตือนบอกว่าฝีมือของชายผู้นี้ต้องไม่รวบรัดธรรมดาเหมือนดังที่เห็นจากภายนอก อีกทั้งสุบรรณก็ยังกำชับอีกแรงให้ระวังคนผู้นี้ไว้ให้ดี ดังนั้นเขาจึงจับตาดูอีกฝ่ายเป็นพิเศษ
"ได้เวลาแล้ว เริ่มการคัดเลือกได้"
เสียงกรรมการตะโกนให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้
ด้วยความที่ธีรพลแยกตัวออกมาปักหลักอยู่ในพื้นที่ล่อแหลมหมิ่นเหม่ จึงทำให้ตัวเขาตกเป็นเป้าหมายแรกของนักสู้ถึงสี่คน โดยคนแรกที่อยู่ห่างจากเขาไปทางเบื้องซ้ายเพียงสามก้าวโจมตีมาถึงก่อน
เข่าขวาลอยจากคู่มือถูกปลดปล่อยออก เล็งเข้าที่หน้าอกหมายกระแทกผลักส่งให้ธีรพลตกน้ำไปในท่าเดียว แต่ทันทีที่จะกระทบถูก ธีรพลก็พลันเบี่ยงตัวพร้อมกับบิดเอวอย่างไว หลบรอดท่าโจมตีไปได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่จะใช้ฝ่ามือขวาที่รวมรั้งพลังงานชีวิตผลักเข้าที่แผนหลังของอีกฝ่ายอย่างถนัดถนี่
ตูม!
ร่างของคู่มือคนนั้นหน้าคะมำจากแรงผลักที่ผิดมนุษย์ ตัวถลาตกลงน้ำไปเป็นรายแรกอย่างไม่อาจต่อต้านแข็งขืน
ตามติดกันนั้นมีนักสู้อีกสองคนที่ยังคงยึดมั่นให้ธีรพลเป็นเป้าหมาย สืบเท้าเข้าหาจากทางซ้ายและขวาโดยพร้อมเพรียง
ร่างคนทางขวาเคลื่อนติดมาถึงในระยะประชิดก่อน กำปั้นซ้ายถูกเหวี่ยงขวางออกระนาบกับพื้น ปลายหมัดพุ่งกระแทกเข้าหาข้างลำตัวอย่างรวดเร็ว
"ขุนยักษ์จับลิง"
ธีรพลสืบเท้าขวาก้มตัวเข้าหาตามเคล็ดวิชา ท่อนแขนขวาที่รวมรั้งพลังชีวิตยกขึ้นยับยั้งกำปั้นข้างนั้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะเคลื่อนเท้าซ้ายตามติดกันอย่างไวเข้ารับเท้าขวาจากศัตรูที่มาจากอีกฝั่งด้วยท่อนแขนซ้าย พร้อมๆกันนั้นก็ส่งปลายเท้าจิกลูกถีบอันอหังการเข้าที่ท้องน้อยของอีกฝ่าย
เปรี้ยง!
ชายนักสู้คนดังกล่าวถูกแรงถีบอันหนักหน่วงส่งร่างให้เซถอยห่างกลับไปเกือบสองวา ร่างกระแทกเข้ากับกลุ่มนักสู้อีกทางหนึ่งที่เบื้องหลัง ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงชุลมุน จนล้มคว่ำคะมำหงายไปพร้อมกันทั้งแถบ
เมื่อจัดการนักสู้ได้ถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน วงล้อมจากที่อัดแน่นก็เริ่มผ่อนคลายลง นักสู้อีกสองคนที่เหลืออยู่เมื่อรับรู้ถึงพลังฝีมือของธีรพลที่ไม่อาจยอมรับการจัดการได้โดยง่ายแล้วก็ไม่กล้าผลีผลามที่จะเข้าต่อกรอีก สองฝ่ายจึงกลายเป็นยืนคุมเชิง ไม่มีผู้ใดตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายลงมือก่อน
ตัดกับอีกด้านหนึ่งของสนาม คุณชายที่สุบรรณเอ่ยเตือนให้ระมัดระวัง ขณะนี้กำลังพัวพันอยู่กับนักสู้กว่าหกเจ็ดคน แต่แม้จะโดนนักสู้ผู้โชกโชนรวมหัวเข้ารุมทำร้ายมากมายขนาดนั้นก็ตาม แต่ก็ไม่มีนักสู้คนใดที่จะสามารถกระทบถูกร่างของเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ อีกทั้งทุกครั้งที่คุณชายผู้นี้ออกอาวุธ ก็จะมีนักสู้คนหนึ่งที่ต้องตกน้ำไปหรือไม่ก็บาดเจ็บจนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก ด้วยเหตุนี้ทำให้สามารถพูดได้ว่าผลการคัดเลือกหนึ่งตำแหน่งที่จะเข้ารอบไปนั้นนับว่าได้รับผลการตัดสินแล้ว
เมื่อได้เห็นสถานการณ์ของอีกฝั่ง นักสู้ทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้าหาธีรพลอยู่ก็จึงเอ่ยปรึกษากัน ก่อนจะตกลงกันได้ว่าจะร่วมมือเข้าจัดการธีรพลแล้วค่อยมาดวลกำปั้นตัดสินกันเองในภายหลัง แต่ยังไม่ทันได้นัดแนะกันอย่างลงตัว ชั่วพริบตาที่เสียสมาธิละสายตาจากวงต่อสู้ ธีรพลก็พลันเคลื่อนตัวเข้ามาในระยะสองก้าว และกำลังพุ่งเข้าประชิดคู่มือที่เคยปะทะกันมาแล้วท่าหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ด้วยอารามตกใจ นักสู้ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นก็พลันชกหมัดออกอย่างร้อนรน หมายสกัดยับยั้งพลังสภาวะของธีรพลเอาไว้ชั่วคราว
แต่ก็สายไปเสียแล้ว หมัดข้างนั้นแทนที่จะช่วยทำให้ธีรพลล้มเลิกการเข้าจู่โจม แต่กลับเป็นตรงกันข้าม ท่าร่างพลันเร่งความเร็วขึ้น ก่อนจะเบี่ยงหัวหลบปล่อยให้หมัดข้างนั้นผ่านใบหน้าไปอย่างฉิวเฉียด
เปรี้ยง!
สองฝ่ามือประทับผลักทรวงอกจากล่างขึ้นบน พลังอันแกร่งกร้าวสองสายส่งนักสู้คู่มือลอยคว้างสูงร่วมวา ร่างล่วงตกลงสู่ผืนน้ำในทันที
เมื่อการชิงจังหวะจู่โจมประสบผล ธีรพลก็ไม่รอช้า เร่งคิดเผด็จศึกตามติดนักสู้อีกคนที่ยืนห่างออกไปเพียงสามก้าว
ทึบ! ทึบ! ทึบ!
ธีรพลออกอาวุธอย่างดุดันตามติดกันสามท่า แต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้เพียงสร้างอาการปวดหนึบชาด้านให้กับฝ่ายตั้งข้ามที่ตั้งรับอย่างรัดกุมเท่านั้น
"เข้ามา"
นักสู้คนดังกล่าวกวักมือเรียกธีรพลให้บุกเข้าหา เพราะในใจนึกคิดไปว่าธีรพลเป็นมวยชิงจังหวะอาศัยช่องว่างขณะตั้งรับเข้าตีโต้ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเก่งกาจในการรุกไล่ ซึ่งเมื่อใดที่ธีรพลเผยช่องว่างจุดอ่อน เขาก็จะอาศัยจังหวะเหล่านั้นเข้าตอบโต้จนทำให้มือไม้ปั่นป่วน
แต่ในด้านธีรพลเองเมื่อเห็นดังนั้นก็สมใจยิ่ง เพราะตั้งแต่เรียนรู้กระบวนท่าจากลุงทองใบมาก็ยังไม่มีโอกาสได้นำมาทดลองใช้จริง ดังนั้นในครั้งนี้ธีรพลจึงตั้งใจนำเอาหนึ่งในสามกระบวนรุกไล่ออกมาทดสอบความร้ายแรงเมื่อใช้ควบคู่กับพลังงานชีวิต