webnovel

ภาคต่อตอนที่ 44 ฝันร้าย

วันต่อมาชิงหลินถูกปลุกให้ตื่นจากนิทราตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง สร้างความหงุดหงิดใจให้ไม่น้อย แต่พอนึกได้ว่าเป็นวันอะไร ก็ทำให้ความง่วงงุน หงุดหงิดหายเป็นปลิดทิ้ง ถูกความตื่นเต้น ยินดีเข้ามาแทนที่จนสิ้น

เพราะวันนี้โรงเรียนของนางได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และจะเริ่มเปิดสอนตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คัมปาย!...โรงเรียนของฉัน

ความจริงวันนี้หากไม่อ้างว่าเป็นวันสำคัญมากสำหรับนางเห็นทีสามีรักคงไม่ยอมให้ไปเป็นแน่ ด้วยเกรงจะเกิดอุบัติเหตุแบบไม่คาดฝันขึ้นกับนางและลูกในครรภ์ นางต้องใช้มารยาหญิงออดอ้อนสามีรักอยู่นานเขาจึงอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก

"เสร็จแล้วเจ้าค่ะ"เสียงของเสี่ยวอี้ปลุกชิงหลินที่กำลังนั่งเหม่อลอยหน้ากระจกทองเหลืองขุ่นมัวให้ตื่นขึ้น

"อืม..เช่นนั้นก็ไปกันเถิด"สำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้งดูความเรียบร้อย แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ วันนี้นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนคลุมทับผ้าแพรเนื้อบางเบาสีฟ้าเข้ม ชายกระโปรงปักดอกโมลี่สีขาวเล็กๆ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชื่นชอบ ผมยาวถึงเอวคอดครึ่งหนึ่งถักเป็นเปียแล้วม้วนปักตรึงด้วยปิ่นหยกขาวรูปดอกโมลี่ ที่เหลือปล่อยสยายเคลียเอว ในสายตาคนอื่น อาจมองว่าเรียบง่ายเกินไปไม่สมฐานะฮูหยินน้อย อย่างที่สองสาวใช้ติง แต่นางไม่คิดจะเอามาใส่ใจ เพราะคิดว่าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ แล้วทำไมต้องแต่งให้มากมายยุ่งยากเปล่าๆ

"ค่อยๆลุกเจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้กล่าวเตือนอย่างเป็นห่วง รีบเข้ามาประคองร่างอวบอิ่มของนายสาวไว้ เมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว เสี่ยวสุ่ยก็รีบเข้ามาจัดอาภรณ์ที่ยับย่นให้เข้าที่เข้าทางอย่างชำนาญราวกับมืออาชีพ

"งดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ"เสี่ยวสุ่ยกล่าวชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาของนางยามที่มองนายสาว เต็มไปด้วยความรักสุดซึ้งและเทิดทูนบูชา

"ท้องแก่ใกล้คลอดเทอะทะน่ารำคาญอย่างนี้ เจ้ายังเห็นว่างามอีกหรือ?"ชิงหลินหัวเราะอารมณ์ดี เท้าน้อยค่อยย่างก้าวเดินออกมาช้าๆโดยมีสองสาวใช้คอยประคองอย่างระมัดระวัง

"เสี่ยวสุ่ยพูดจริงๆนะเจ้าค่ะ หาใช่เยินยอไม่"เสี่ยวสุ่ยรีบร้อนบอกนายสาว ชิงหลินยิ้มไม่กล่าวอะไรต่อเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามา

"หลินหลิน พวกเรามาแล้วเจ้าพยัคฆ์น้อยนั่นเองมันวิ่งนำหน้าอีกสามตัวเข้ามาหานางในห้อง หยุดและยืนเรียงแถวหน้ากระดานเบื้องหน้านางส่ายหางดุกดิกไปมาอย่างดีใจ สองจิ้งจอกน้อยยังพอว่า แต่ฟงฟงน้อย ฟานฟานน้อย คงลืมไปว่ามันเป็นพยัคฆ์หาใช่สุนัขไม่!

"ดี..ไปเถิด"ยิ้มตอบหากไม่ท้องอยู่คงจะอุ้มเจ้าสี่แสบมาฟัดให้หายมันเขี้ยวไปเลย!

"พี่...เอ่อ...สามีรักมารอนานแล้วหรือ?"เกือบหลุดปากเรียกพี่เหวินไปเสียแล้วดีที่ไหวตัวทัน อ้อมแอ้มเรียกเขาว่าสามีรัก ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

มู่หลิ่งเหวินในชุดลำลองสีน้ำเงินเข้มรัดกุมยิ้มขันโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู "กลัวบทลงโทษขนาดนั้นเชียว ทั้งที่สามีรักออกจะชื่นชอบและปรารถนาให้ภรรยารักเรียกผิดบ่อยๆ สามีรักจะได้....."กล่าวพลางเบนหน้ามาจ้องดวงตากลมโตของภรรยารักนิ่งครู่หนึ่งแล้วหลุบลงมองริมฝีปากอวบอิ่มอย่างหลงใหล ทำเอาคนฟังอึ้งจนพูดไม่ออกหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก พอได้สติก็รีบยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากอวบอิ่มของตนไว้อย่างรวดเร็ว

"หึๆ"แทนที่แม่ทัพหนุ่มจะโกรธกลับหัวเราะชอบใจยืดตัวตรงสง่าผ่าเผย สองมือประคองนางด้วยตนเองพลางกล่าวเสียงนุ่ม "ไปเถิด ช้าไปจะเสียฤกษ์ได้"

"ฮูหยินน้อย!!"สี่องครักษ์ และกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบค้อมศีรษะต่ำทำความเคารพนางอย่างพร้อมเพรียง

"อะแฮ่ม!.."เสียงกระแอมดักคอของคนข้างกายพร้อมกับเอวที่ถูกมือหนากระชับกอดแน่นเข้าทำเอาเธอสงสัย เหลือบตาขึ้นไปมองก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นสายตาขุ่นขวางหลุบมองลงมาด้วยใบหน้าเรียบตึงจึงรู้ว่าเขาไม่พอใจที่นางยิ้มให้องครักษั้งหลาย "ภรรยารักคิดว่าได้กลิ่นน้ำส้มหกแถวนี้นะ"ทำจมูกฟุดฟิดแล้วเอ่ยขึ้นลอยๆยั่วยุอารมณ์อีกฝ่าย

"รู้แล้วยังกล้าทำคงต้องลงโทษอย่างหนักเพื่อให้หลาบจำเสียบ้าง"คนยอมรับหน้าตาเฉยซ้ำยังขู่กลับด้วยเสียงเหี้ยมเข้ม ชิงหลินถึงกับหน้าเสียลอบกลืนน้ำลายหวาดหวั่น

"ภะภรรยารักท้องแก่ใกล้คลอดอย่างนี้...สามีรักต้องเอาใจใส่ ทะนุถนอมให้มาก จะมาลงโทษหนักๆได้อย่างไรกันเจ้าคะ?"

"รู้รึว่าสามีรักจะลงโทษเยี่ยงไร?"

"มะไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ และไม่อยากรู้ด้วย"พูดจบก้มหน้างุดหลบสายตาเจ้าเล่ห์ที่หลุบมองมา ก็เพราะว่ารู้น่ะสิ! ถึงได้ต้องระวัง

"ท่านแม่ทัพ พร้อมออกเดินทางแล้วขอรับ"

"ข้ารู้แล้ว"แม่ทัพหนุ่มหันมากล่าวกับจิ๋นอี้หลังจากส่งภรรยารักเข้าไปนั่งในเกี้ยวสี่คนหามเรียบร้อยแล้ว รวมถึงเจ้าสี่มารน้อยที่ทำตัวดีขึ้นในช่วงนี้ เพราะนมแพะเท่าที่ต้องการตามที่ได้ตกลงกับตนไว้

พ่อบ้านเจามองดูขบวนแม่ทัพหนุ่มและฮูหยินน้อยที่เคลื่อนตัวออกไปด้วยความปลาบปลื้ม หัวขบวนคือแม่ทัพหนุ่มนั่งอย่างสง่างามบนหลังม้าศึกสีน้ำหมึก ถัดมาด้านหลังคือ ร่างสูงใหญ่ของสี่องครักษ์และสองสาวใช้ เดินนำเกี้ยวของฮูหยินน้อย ส่วนกองกำลังหลิ่งหลินหมายเลขเจ็ด แปด เก้าและสิบ อาสาหามเกี้ยวให้ที่เหลือเดินประกบด้านข้างเกี้ยวเพื่อคุ้มกัน ปิดท้ายขบวนด้วยทหารฝีมือดีอีกจำนวนหนึ่ง

ทันทีที่ขบวนออกมาพ้นประตูจวนแม่ทัพไร้พ่ายก็พบเข้ากับผู้คนจำนวนมหาศาลนับหมื่น ยืนเรียงรายสองฝั่งถนนทอดยาวไปไกล คนเหล่านี้..พร้อมใจกันออกมาต้อนรับธิดาสวรรค์ ที่พวกเขาเคารพรักและเทิดทูนบูชานั่นเอง

"ออกมาแล้ว!ท่านแม่ทัพกับธิดาสวรรค์ผู้เปี่ยมเมตตาออกมาแล้ว!!"เด็กน้อยสามคนวิ่งไป กระโดดโลดเต้นไปพลางปากก็กู่ตะโกนไปด้วยใบหน้าตื่นเต้นยินดี เสียงของเด็กน้อยเรียกความสนใจของผู้คนที่อยู่ในบ้านในร้านค้า ต่างกระวีกระวาดออกมายืนสมทบกับชาวบ้านคนอื่นที่ปักหลักรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้วด้วยความกระตือรือร้น

ชื่อเสียงของฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพไร้พ่ายเป็นที่เลื่องลือไปไกล ทั้งเรื่องความเก่งกล้าสามารถมีเมตตาดุจโพธิสัตว์กวนอิมมีคุณธรรมสูงส่ง แม้แต่ฮ่องเต้ยังโปรดปรานแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ ให้สิทธิ์และอำนาจเหนือผู้คนนับแสนเป็นรองเพียงพระองค์แต่นางกลับปฏิเสธอย่างไม่ใยดี มาคราวนี้นางก็สร้างสถานศึกษาเพื่อช่วยเหลือเด็กๆที่ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาโดยไม่เก็บเบี้ยเงินแม้แต่แดงเดียว เพราะเหตุนั้นการที่มีผู้คนมากมายรักเคารพ เทิดทูนนางมันก็สมควรแล้ว

"ท่านแม่ทัพ!! ยินดีด้วย!!"เสียงชายคนหนึ่งตะโกนแสดงความยินดีกับแม่ทัพหนุ่ม

"ขอเทพคุ้มครองธิดาสวรรค์!!"ครานี้เป็นเสียงแหลมเล็กของสตรีนางหนึ่งกล่าวพร้อมกับโปรยดอกไม้ไปด้วย

"ขอเทพคุ้มครองธิดาสวรรค์!!"

เมื่อมีเสียงนำทางที่โดนใจเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้คนที่ออกมาต้อนรับธิดาสวรรค์พร้อมใจกันกู่ร้องเลียนแบบบ้าง จากหนึ่งกลายเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพันจนดังก้องไปไกลนับลี้

"ขอเทพคุ้มครองธิดาสวรรค์!!"

"ขอเทพคุ้มครองธิดาสวรรค์!!"

เสียงโห่ร้องสรรเสริญดึงดูดความสนใจของชิงหลินให้เลิกม่านฝั่งกำแพงจวนแม่ทัพขึ้นดู ครั้นเห็นว่าพวกเขาออกมาต้อนรับนางก็อดที่จะตื้นตันใจไม่ได้ "ขอบคุณจริงๆเจ้าค่ะ"กล่าวขอบคุณแบบไม่มีเสียงพร้อมกับค้อมศีรษะให้พวกเขาเป็นระยะๆตลอดทางเกือบสองเค่อ ซึ่งการกระทำของนางได้ใจผู้คนไม่น้อยเลยทีเดียว

มู่หลิ่งเหวินเห็นก็เหยียดยิ้มอารมณ์ดไม่รีบร้อน ปล่อยให้ผู้คนได้มีโอกาสชื่นชมส่งเสียงอวยพรนานขึ้นอีกหน่อย เช่นเดียวกับสี่องครักษ์และทหารทุกคนที่พากันเชิดหน้ายืดตัวตรง ก้าวเดินอย่างเข้มแข็ง แต่ไม่ได้ลดความระมัดระวังในการคุ้มกันลงเลยแม้แต่น้อย

"หลินหลิน พวกเขาเป็นอันใด? เหตุใดจึงส่งเสียงดังนัก? หูฟานฟานจะดับแล้ว"เจ้าตัวดีร้องถามนางอย่างหงุดหงิด นั่งลงด้วยสองเท้าหลัง ยกตัวขึ้นตั้งตรง อุ้งเท้าหน้ายกขึ้นปิดหูสองข้างของตัวเองไว้ กิริยาท่าทางของมันน่ารักเสียจนชิงหลินนึกขันแล้วว่า "พวกเขามาอวยพรให้ข้าคลอดบุตรอย่างปลอดภัยจ้ะ"

"ทั้งหมดนี้เลยหรือเจ้าคะ?"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยเอียงหัวถาม

"อืม..ไม่รู้สินะ"ตอบกลางๆเพราะไม่อยากเข้าข้างตัวเอง ว่าพวกเขาทั้งหมดตั้งใจมาเพื่อนางแล้วการสนทนาก็หยุดชะงักเมื่อเกี้ยวที่นางและสี่สหายน้อยนั่งถูกวางลงอย่างเบามือ ผู้คนเงียบเสียงลงทันที เมื่อเกี้ยวหนึ่งเดียวในขบวนถูกวางลงพื้น สายตาทุกคู่จดจ้องอยู่ที่เกี้ยวหลังงามไม่วางตา

ตุบ! เสียงเท้ากระทบพื้นดินด้านหน้าขบวนเรียกสายตาของผู้คนให้หันไปมอง จึงได้เห็นร่างสูงใหญ่องอาจรูปงามเป็นอันดับหนึ่งของแม่ทัพหนุ่ม กระโดดลงพื้นด้วยท่วงท่าสง่างามเดินตรงมาที่ด้านข้างเกี้ยว มีองครักษ์ร่างใหญ่นายหนึ่ง รีบเข้ามาเปิดม่านให้อย่างนอบน้อม จาก นั้นพวกเขาก็เห็นมือเรียวขาวผ่องดุจหยกชั้นดียื่นออกมาวางบนฝ่ามือของแม่ทัพหนุ่ม หลายคนที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับกลั้นลมหายใจด้วยความตื่นเต้น ยิ่งเห็นแม่ทัพหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนให้สตรีที่นั่งอยู่ในเกี้ยว พร้อมกับพยุงร่างอุ้ยอ้ายของนางออกมาอย่างทะนุถนอม หญิงสาวหลายคนถึงกับกัดริมฝีปากด้วยความริษยาในความโชคดีของนางที่เป็นที่รักของแม่ทัพหนุ่มรูปงาม บุรุษที่หญิงสาวทั้งหลายต่างหลงใหล เพ้อฝันแทบจะคลุ้มคลั่ง!!

เพราะว่ากันตามจริงแล้วนางไม่ใช่หญิงสาวที่งดงามล่มบ้านล่มเมือง ไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่บุปผางามของแคว้น ทั้งยังเป็นเพียงบุตรีพ่อค้าเท่านั้น แม้จะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น แล้วอย่างไร? ถ้าให้พูดฐานะของนางไม่คู่ควรกับแม่ทัพหนุ่มเลยสักนิด!! นั่นคือความคิดแรกของสตรีส่วนใหญ่ในแคว้น ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปความคิดเหล่านั้นก็มลายหายไปหลงเหลือเพียงความริษยาในความโชคดีของนางและอยากจะได้รับโอกาสเช่นนางบ้าง

"มากันแล้วหรือ? ลูกสะใภ้เป็นเยี่ยงไร? รู้สึกเจ็บป่วยที่ใดรึไม่?"มู่ฮูหยินและคนอื่นที่ยืนรออยู่ด้านหน้าทางเข้าสถานศึกษามู่ชิงซอยเท้าเข้ามาหานางและบุตรชายคนโตไม่รอให้ทั้งคู่ได้ทำความเคารพ

"ขอบคุณท่านแม่ที่ห่วงใย หลินเอ๋อร์สบายดีเจ้าค่ะ"ตอบกลับมารดาสามีด้วยรอยยิ้ม

"คารวะท่านอัครเสนาบดีทำให้ท่านต้องรอเสียมารยาทแล้ว"แม่ทัพหนุ่มกล่าวทักทายและขออภัย พร้อมกับประสานมือค้อมศีรษะให้ตู้ฮุ่ยเปียวด้วยท่าทางสุภาพแต่ยังคงไว้ซึ่งความสูงส่งและน่ายำเกรง

"ฮ่าๆๆอะไรได้ ข้าเองก็พึ่งจะมาถึงเช่นกัน"ตู้ฮุ่ยเปียวกล่าวตอบอารมณ์ดี สายตาคมมากประสบการณ์มองแม่ทัพหนุ่มครู่หนึ่งก่อนจะเบนมาทางสตรีท้องแก่

"หลินเอ๋อร์คารวะท่านอัครเสนาบดีเจ้าค่ะ"ชิงหลินก้มศีรษะให้พอเป็นพิธีเพราะท้องที่ใหญ่ไม่สะดวกยอบกายให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ตู้เหมยฮวาโฉมสะคราญในชุดสีโอรสที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังของตู้ฮุ่ยเปียวบิดา จึงเห็นนางค้อมศีรษะลงพร้อมกับส่งยิ้มที่เปี่ยมไปเสน่ห์กลับมาให้

"ตามสบายเถิด ข้ายินดียิ่งที่เจ้าให้เกียรติข้ามาเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้"ตู้ฮุ่ยเปียวกล่าวด้วยเสียงค่อนข้างดัง

"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ท่านตอบรับเชิญต่ำต้อยของหลินเอ๋อร์ มาเป็นประธานเปิดงานในวันนี้"ชิงหลินกล่าวพลางค้อมศีรษะให้ตู้ฮุ่ยเปียวอีกครั้ง

"เจ้าก็พูดเกินไป ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทชื่นชมเจ้านักไหนเลยจะเป็นคนต่ำต้อยไปได้? อา...เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถิด...ใกล้ได้ฤกษ์แล้วกระมัง?"ตู้ฮุ่ยเปียวตัดบทเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้ว

ชิงหลินจึงส่งสายตาขออภัยให้มู่หลิ่งฟู่บิดาสามี ชิงหยวนบิดาของตน ชิงเฟิ่งพี่ใหญ่ของนาง และชิงฮูหยินมารดา ซึ่งทั้งสี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงยิ้มตอบให้กำลังใจเท่านั้น

แล้วพิธีเปิดสถานศึกษามู่ชิงก็เริ่มขึ้นท่ามกลางแขกเหรื่อมากมาย หนึ่งในสิบเป็นแขกที่สองตระกูลเชิญมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางในราชสำนักเชิญตามธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนจะมาหรือปฏิเสธก็เป็นอีกเรื่อง อีกเก้าส่วนล้วนเป็นชาวบ้านหลากหลายอาชีพที่พร้อมใจกันมาร่วมงานเพื่อธิดาสวรรค์ แม้จะถูกทหารกันไว้อยู่ด้านนอกกำแพงสูงของสถานศึกษาก็ตาม แต่พวกเขาก็เข้าใจดี ว่าที่ทำเช่นนี้เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำพิธี พวกเขาจึงยืนดูอย่างสงบเสงี่ยมไม่มีผู้ใดออกมาโวยวายให้ระคายหู

-----------

หนึ่งชั่วยามผ่านไปหลังพิธีจบลง ตู้ฮุ่ยเปียว และตู้เหมยฮวาบุตรีก็ขอตัวกลับ ส่วนชิงหลินถูกสามีรักพากลับจวนแม่ทัพเกือบจะทันทีที่ประธานในพิธีลับตาไป เนื่องจากเห็นท่าทีเหนื่อยล้าของนาง ซึ่งบิดาทั้งสองก็รับปากจะดูแลแขกเหรื่อเอง ทำให้นางได้แต่ขอโทษและกลับจวนอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

ขากลับก็เหมือนตอนขามาคือชาวบ้านกู่ร้องขอเทพคุ้มครองธิดาสวรรค์พร้อมกับโปรยดอกไม้ตลอดทางจนถึงทางเข้าจวนแม่ทัพไร้พ่าย ชิงหลินอยากจะลงมาขอบคุณคนเหล่านั้น แต่ติดตรงที่ร่างกายไม่เอื้อ ทำได้เพียงเลิกม่านแล้วค้อมศีรษะให้คนเหล่านั้นเหมือนตอนขามา

-------------

กลางดึกคืนหนึ่ง

"ไม่...ไม่...ข้าไม่ไป...ไม่!!!"

"หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์! หลินเอ๋อร์! ตื่นเถิด! เจ้าเป็นอันใด!!?"แม่ทัพหนุ่มสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงละเมอคล้ายกำลังฝันร้ายของภรรยารัก ครั้นพอลุกขึ้นมาก็เห็นมือเรียวปัดป่ายไปมาในอากาศ สะบัดใบหน้าไปมาส่งผลให้ผมเงางามยุ่งเหยิงกระจายเต็มหมอน ดวงตาคู่งามยังคงพริ้มหลับมิได้สติ อาการกระสับกระส่ายของนางทำให้แม่ทัพหนุ่มนึกเป็นห่วง เขย่าตัวนางหวังให้นางตื่นจากฝันร้าย

ชิงหลินผวาตื่นขึ้นตามแรงปลุกหอบหายใจสะท้าน ดวงตาคู่งามกระพริบถี่เมื่อสติกลับคืนมาครบถ้วน จึงได้เห็นสามีรักนั่งจ้องตนเองอยู่ "พี่เหวิน?ฮือๆๆพี่เหวิน ฮือๆๆ"ผวาเข้ากอดร่างสามีรักสะอื้นไห้จนตัวโยนเมื่อนึกถึงฝันร้ายเมื่อครู่

"ชู่....ไม่ต้องร้องนะคนดี พี่อยู่นี่แล้ว พี่อยู่นี่แล้ว"แม่ทัพหนุ่มช้อนร่างอุ้ยอ้ายของนางวางบนตักกอดปลอบนางเสียงนุ่มหวาน ดวงตาฉายแววกังวล เกิดอันใดขึ้น?เหตุใดนางจึงร้องไห้มากมายเช่นนี้? นางฝันถึงสิ่งใดกันแน่? หลังจากแต่งงานกันมา นางแทบไม่เคยฝันร้ายให้ตนเห็นอีก แม่ทัพหนุ่มลูบหลังเล็กหวังปลอบโยนให้นางสงบลงบ้าง พอเห็นนางเลิกร้องไห้แล้วจึงได้เอ่ยปากถามอีกครั้ง "เป็นอันใดไป? ฝันร้ายหรือ?"

"เจ้าค่ะ..หลินเอ๋อร์ฝันว่า..ฮึก!..."นางจะเล่าได้อย่างไรว่าฝันว่าตัวเองตายหลังจากคลอดลูก ความฝันนั้นชัดเจนมากราวกับเป็นเรื่องจริง มันทำให้นางกลัว กลัวการพรากจาก จากคนที่รักและรักนาง พอคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจพลันเจ็บปวดดั่งถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็นจนหายใจไม่สะดวก น้ำตาเจ้ากรรมที่คิดว่าแห้งเหือดไปแล้วกลับไหลออกมาอีกราวกับน้ำพุ

"นิ่งเสียคนดีของพี่...พี่อยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องกลัว...แค่ฝันร้ายเท่านั้น....เจ้าเศร้าโศกเสียใจเยี่ยงนี้ พี่กับลูกทั้งสองจะทำเช่นใดดีเล่า?"

คำพูดของสามีรักทำเอาคนที่กำลังสะอื้นไห้คิดได้ ยกมือขึ้นลูบหน้าท้องนูนใหญ่ของตน สูดน้ำมูกฟึดฟัด จริงดังที่เขาพูดว่ากันว่าแม่รู้สึกอย่างไรเด็กที่อยู่ในครรภ์ก็จะรับรู้และรู้สึกเช่นเดียวกัน นางสูดลมหายใจเข้าปาดน้ำตาที่คลอหน่วยออก

"เก่งมากเด็กดี"แม่ทัพหนุ่มยิ้มหวานจุมพิตหน้าผากมนเป็นรางวัล โยกตัวไปมากล่อมนาง เก็บความสงสัยไว้ก่อนไม่อยากให้นางสะเทือนใจจนหลั่งน้ำตาอีกครั้ง

ชิงหลินหลับตาลงอีกครั้งและหลับคาอกแกร่งสามีรัก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดอย่าพรากให้เราจากกันเลยข้าขอร้องท่านแล้ว....

Bab berikutnya