-27-
และแล้วการเดินทางเพื่อตามหาชิงหยวนและหน่วยพยัคฆ์ดำก็เริ่มต้นขึ้น ภายใต้การนำของแม่ทัพหนุ่มมู่หลิ่งเหวิน มีผู้ร่วมทางทั้งสิ้นเจ็ดสิบเจ็ดคน เป็นหน่วยองครักษ์ของสกุลมู่เจ็ดสิบนาย โจวหยางหมิ่นและองครักษ์รวมห้าคน และชิงหลิน ซึ่งเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวได้ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย
การไปหุบเขากินคนครั้งนี้ใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทาง จากที่คาดการณ์ไว้น่าจะใช้เวลาไม่เกินสิบวันเพราะมีรถม้าขนาดใหญ่หนึ่งคันบรรทุกน้ำ อาหารแห้ง อีกทั้งยารักษาโรคหลายขนานไปด้วย โดยปกติหากเดินทางด้วยม้าฝีเท้าดีสามวันสามคืนไม่หยุดพักก็ถึง แต่ถ้าเดินทางกลางวันหยุดพักกลางคืนก็จะใช้เวลาเท่าตัว และหากเดินทางโดยรถม้าก็จะใช้เวลาเก้าถึงสิบวัน
ชิงหลินและเจ้าพยัคฆ์น้อยนั่งอยู่ในรถม้าที่ใช้ขนสัมภาระ มีเสี่ยวเปาเป็นคนขับ นางไม่ได้ขี่ม้าเองเหมือนคนอื่นๆ เพราะฝีมือการขี่ม้าของนางยังไม่เข้าขั้น อาจทำให้การเดินทางล่าช้า นั่นหมายถึงพลังชีวิตของคนที่ติดอยู่ในหุบเขากินคนจะหายไปวันละหนึ่งคน
ส่วนมู่หลิ่งเหวินนั้นควบม้านำอยู่หน้าสุดของขบวน ตามมาด้วยโจวหยางหมิ่นและองครักษ์ทั้งสี่
จิ๋นซานกับจิ๋นซื่ออยู่กลางขบวน ขนาบข้างรถม้าเพียงคันเดียว ซึ่งมีคู่หมั้นท่านแม่ทัพนั่งอยู่ภายใน ปิดท้ายด้วยหน่วยองครักษ์ม้าอีกหลายสิบชีวิต
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ค่ำที่ใดก็นอนที่นั่น แต่ไม่ประมาทเพราะทุกที่ที่ใช้พักแรมจะถูกสำรวจอย่างดีก่อนจากหน่วยองครักษ์ลาดตระเวน
ล่วงเข้าคืนที่ห้าของการเดินทาง
ขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหลรวมถึงชิงหลินและเจ้าพยัคฆ์น้อย ที่ใช้พื้นที่ใต้รถม้าเป็นที่นอน โดยอ้างว่าภายในรถม้าหายใจไม่ค่อยสะดวกและนอนไม่หลับ เพราะกลิ่นอาหารตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งแม่ทัพหนุ่มก็ไม่คัดค้าน ซ้ำยังคิดว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยใช้ได้เลยทีเดียว
"นอนไม่หลับหรือท่าน" โจวหยางหมิ่นเดินเข้ามายืนข้างมู่หลิ่งเหวินที่ยืนกอดอกพลางเงยหน้ามองพระจันทร์
"ยังมีเวลาอีกสามสี่วันหากองค์ชายจะขอถอนตัวนะพ่ะย่ะค่ะ"
"อา...ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อใด" โจวหยางหมิ่นเอาสองมือไพล่หลัง ไม่ได้ตกใจนัก ด้วยรู้ดีว่าไม่ช้าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ก็ต้องรู้ความจริง
"เรื่องนั้นหาได้สำคัญไม่" มู่หลิ่งเหวินตอบเรียบๆ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนยังคงมองท้องฟ้า
"หึๆ หากเป็นท่านจะถอนตัวกลางคันหรือ" โจวหยางหมิ่นย้อนถามอีกฝ่าย
มู่หลิ่งเหวินไม่ตอบ หันมามองซีกหน้าของโจวหยางหมิ่นก่อนจะหันกลับไป
"ที่สำคัญ หากข้าถอนตัวกลางคัน คงไม่พ้นคำครหาเย้ยหยันถากถางว่าขลาดเขลาสู้สตรีไม่ได้ ท่านว่าจริงหรือไม่" โจวหยางหมิ่นถามพลางหันไปทางรถม้าที่ชิงหลินนอนอยู่
"กระหม่อมต้องขอประทานอภัย หากทำให้องค์ชายทรงขุ่นเคือง" เขาประสานมือพร้อมกับค้อมศีรษะขออภัยโจวหยางหมิ่น
"เช่นนั้นขอให้ปิดบังฐานะของข้าต่อไป ท่านคงไม่ขัดข้อง" โจวหยางหมิ่นว่า
"กระหม่อมคงต้องล่วงเกินองค์ชายแล้ว" แม่ทัพหนุ่มเย้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"หึๆ ข้าอนุญาต" โจวหยางหมิ่นอารมณ์ดียิ่ง
'อา…เป็นบุรุษที่น่าคบหาผู้หนึ่งเลยทีเดียว' ผู้เป็นองค์ชายครุ่นคิดในใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน
"อา...จริงสิ เหตุใดจึงนำสตรีไปยังที่อันตรายเช่นนั้นด้วย" โจวหยางหมิ่นถามด้วยความสงสัย แม้นางจะมีน้ำอดน้ำทน กินง่ายอยู่ง่าย ไม่เคยปริปากบ่นให้รำคาญใจ จนโจวหยางหมิ่นยังรู้สึกชื่นชมอยู่มาก แต่ถึงกระนั้นการพาสตรีไร้วรยุทธ์ แถมยังปกป้องตนเองไม่ได้ไปในที่ที่อันตรายไม่สมควรอย่างยิ่ง รังแต่จะเป็นภาระเสียเปล่าๆ
"เพราะนางจำเป็นต่อภารกิจนี้พ่ะย่ะค่ะ" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความหนักแน่นและความเชื่อมั่น
"อย่างไร"
"อีกไม่นานพระองค์ก็จะทรงทราบเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัว" มู่หลิ่งเหวินประสานมือ ค้อมศีรษะลงคำนับแล้วเดินจากไปยังทิศทางที่คู่หมั้นนอนอยู่ ปล่อยให้โจวหยางหมิ่นอยู่เพียงลำพัง
"หึๆ น่าสนุกจริงๆ" โจวหยางหมิ่นพึมพำกับตัวเอง
ยามเซิน วันที่เก้าของการเดินทาง
"เราจะพักค้างคืนที่นี่ ฟ้าสางวันพรุ่งเราจะเดินทางเข้าสู่หุบเขากินคน" จิ้นอี้ใช้ปราณเสียงบอกทุกคนให้ได้ยินอย่างทั่วถึง
"โอ้!" เสียงโห่ร้องขานรับอย่างพร้อมเพรียงดังกึกก้องพร้อมกับการชูดาบขึ้นฟ้า บ่งบอกถึงความห้าวหาญฮึกเหิมไร้ความเกรงกลัวต่ออาถรรพ์ที่ล่ำลือ ทำให้โจวหยางหมิ่นและสี่องครักษ์นึกชื่นชมอยู่ในใจ
ชิงหลินอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยที่กำลังจะลงมาจากรถม้า เป็นเวลาเดียวกับมู่หลิ่งเหวินที่กระโดดลงจากหลังเจ้าทาเสว่ แล้วยื่นมือออกไปให้นางยึดจับ
ดวงตากลมโตมองฝ่ามือใหญ่แล้วมองใบหน้าหล่อเหลาที่ส่งยิ้มให้ ก่อนจะตัดสินใจรับความช่วยเหลือจากเขาแต่โดยดี
"เหนื่อยหรือไม่" ร่างสูงเอ่ยถามคู่หมั้นที่ลงมายืนบนพื้นแล้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มมีเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า ความเหนื่อยล้าปรากฏอย่างชัดเจน แต่ตลอดเก้าวันที่ผ่านมากลับไม่เคยได้ยินนางเอ่ยปากบ่นเลยแม้เพียงครึ่งคำ ทำให้เขาแอบเสียดายเล็กน้อย ด้วยหวังว่านางจะใช้มารยาหญิงออดอ้อนตนเฉกเช่นสตรีทั่วไปบ้าง
"นิดหน่อยเจ้าค่ะ" ชิงหลินยิ้มตอบแล้วมองไปรอบกาย ก็เห็นเหล่าบุรุษแบ่งกลุ่มกันทำหน้าที่ของตนโดยไม่ต้องรอคำสั่ง
มีทั้งกลุ่มที่ออกไปหาฟืนหาน้ำ กลุ่มจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร กลุ่มที่นำม้าไปกินน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งลี้ กลุ่มตั้งกระโจม และกลุ่มลาดตระเวนที่คอยระแวดระวังภัยโดยรอบค่ายพักแรม
"ท่านแม่ทัพ มีหน่วยพยัคฆ์ดำที่ประจำอยู่แถวนี้มาขอพบขอรับ" จิ๋นซานรายงาน
"ข้ารู้แล้ว" ผู้เป็นแม่ทัพพยักหน้าแล้วหันกลับมาหาคู่หมั้น "หลังมื้ออาหาร...ข้าจะพาเจ้าไปล้างหน้าล้างตา อย่าแอบหนีไปเองคนเดียวเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่" ก้มลงกระซิบที่หูเล็ก แต่นางไม่ตอบแล้วยังเดินหนี ทำเอาคนสั่งกัดฟันกรอดๆ อยากจะจับนางมาฟาดสักทีสองที โทษฐานดื้อรั้นไม่เชื่อฟังว่าที่สามี!
"อา...ช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจ" โจวหยางหมิ่นกล่าวขึ้นลอยๆ
"กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ"
"หึๆ" โจวหยางหมิ่นไม่ใส่ใจต่อท่าทีหวงแหนราวกับพยัคฆ์หวงลูกของแม่ทัพหนุ่ม ก่อนจะตรงไปหาสตรีร่างเล็กบอบบางในชุดบุรุษสีดำเช่นเดียวกับสี่องครักษ์ของตนและหน่วยองครักษ์ของจวนสกุลมู่ ที่กำลังยืนจ้องมองเหล่าบุรุษเตรียมอาหารไม่ยอมขยับไปไหน ก็รู้สึกสนใจยิ่งนัก
ฝ่ายชิงหลินที่ยืนมองพวกเขาทำอาหารด้วยความสนใจ ปล่อยให้เจ้าพยัคฆ์น้อยวิ่งเล่นตามใจชอบ นางเคยคิดจะช่วยพวกเขาทำอาหารแต่ถูกคู่หมั้นสั่งห้าม ซ้ำยังกำชับเหล่าพ่อครัวจำเป็นไว้อย่างเด็ดขาด ทำให้นางได้แต่ยืนดูไม่กล้าลงมือช่วยเพราะกลัวว่าพวกเขาจะถูกลงโทษ
"มีสิ่งใดน่าสนใจหรือ"
"ว้าย! แหก!"
เสียงของโจวหยางหมิ่นที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำเอาชิงหลินที่กำลังจดจ่ออยู่กับหมูป่าย่างทั้งตัวสะดุ้งตกใจจนเผลออุทานออกมาเสียงดัง
"หึๆ ฮะ...ฮ่าๆๆ" โจวหยางหมิ่นหัวเราะลั่น ด้วยไม่เคยพานพบสตรีอุทานได้แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เล่นเอาเหล่าพ่อครัวจำเป็นและคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนี้ ต่างอมยิ้มขบขันนางไปตามๆ กัน
ฝ่ายคนถูกหัวเราะทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำและบูดบึ้ง ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน พร้อมกับส่งสายตาไม่พอใจให้บุรุษตรงหน้าและเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นๆ ด้วย
"อา...ขออภัย...ขออภัย" โจวหยางหมิ่นพยายามกลั้นหัวเราะไว้สุดกำลัง จนรู้สึกเจ็บท้องเพราะหัวเราะมากเกินไป
'อา...นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้หัวเราะมากมายเช่นนี้ นางช่างประหลาดและน่าสนใจยิ่งนัก'
"เอ่อ...คุณหนู ท่านแม่ทัพรอท่านอยู่ เชิญทางนี้ขอรับ" จิ๋นซื่อเดินเข้ามารายงานทำให้การสนทนายุติลงทันที
"มีเรื่องอะไรหรือ" ชิงหลินถามด้วยน้ำเสียงที่ยังติดหงุดหงิดเล็กน้อย
"ไม่ทราบขอรับ" จิ๋นซื่อตอบนางสั้นๆ
"เช่นนั้นก็ไปเถิด" นางตอบและไม่ลืมส่งสายตาขุ่นเคืองให้ชายที่กล้าหัวเราะเพราะคำอุทานของนางเป็นคนที่สอง ส่วนคนแรกก็คือคู่หมั้นจอมฉวยโอกาสและเอาแต่ใจของนางนั่นเอง
พอไปถึงคู่หมั้นของนางก็ไม่ได้ทำหรือพูดอะไร สร้างความงุนงงให้นางยิ่งนัก
เมื่อมื้ออาหารเย็นผ่านพ้นไปจนล่วงเข้ายามซวี มู่หลิ่งเหวินก็กล่าวกับคู่หมั้นที่นั่งชันเข่าอยู่ข้างตน โดยมีเจ้าพยัคฆ์น้อยนอนหมอบราบอยู่กับพื้นที่ปูด้วยผ้าผืนใหญ่ "เตรียมตัวเถิด ข้าจะพาเจ้าไปล้างหน้าล้างตา"
"ก็ดีเจ้าค่ะ ข้าเหนียวตัวจะแย่แล้ว" ชิงหลินตอบเขาพร้อมกับอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยเดินไปหยิบห่อผ้าของตัวเองออกมาจากรถม้า แล้วเดินกลับมาหาคู่หมั้นที่ยืนรออยู่ ก่อนจะพากันเดินหายเข้าไปในป่าซึ่งอยู่ติดกับทางเข้าหุบเขากินคน
เมื่อเดินมาได้สักพักสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือ แอ่งน้ำขนาดใหญ่ราวสระว่ายน้ำสองสระรวมกัน รอบด้านโอบล้อมด้วยต้นไม้ มีหินก้อนขนาดมหึมาอยู่ริมฝั่งใกล้ๆ กับจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่
"ข้าจะคอยดูต้นทางให้ อย่าชักช้านักเล่า"
"ทราบแล้วเจ้าค่ะ" ร่างเล็กตอบกลับอย่างไว เพราะเก้าวันที่ผ่านมานี่เป็นครั้งที่สามที่จะได้อาบน้ำแบบจริงจัง ไม่ใช่แค่การล้างหน้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวเท่านั้น
เมื่อเห็นคู่หมั้นเดินลับตาไปแล้ว ชิงหลินก็ไม่รอช้า วางเจ้าพยัคฆ์น้อยลงแล้วมองซ้ายมองขวาจนวางใจว่าไม่มีใคร จากนั้นจึงปลดเปลื้องชุดออกหมด ก่อนจะลงไปแช่ตัวในแอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว
เสียงหัวร่อต่อกระซิกอย่างสนุกสนานสลับกับเสียงร้องของเจ้าพยัคฆ์น้อย ทำให้คนดูต้นทางที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างประหลาด จนต้องสูดลมหายใจแรงหลายครั้งเพื่อปรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้เป็นปกติ
กลับมาที่เจ้าของเสียงซึ่งกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานจนขาดความระมัดระวัง ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองผ่านพุ่มไม้ฝั่งตรงข้ามกับจุดที่คู่หมั้นเฝ้าอยู่
โจวหยางหมิ่นที่อาบน้ำเสร็จก่อนที่ทั้งสองจะมาราวหนึ่งเค่อ กำลังจะกลับที่พักหลังจากที่เดินสำรวจรอบๆ จนพอใจแล้ว ต้องรีบหลบในพุ่มไม้ข้างแอ่งน้ำเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของสตรี ด้วยเกรงว่าหากปรากฏตัวออกไปทันทีอาจสร้างความอับอายให้นางก็เป็นได้
เมื่อมองฝ่าความมืดก็เห็นร่างสตรีและร่างสัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายแมว กำลังดำผุดดำว่ายหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่กลางแอ่งน้ำที่ลึกพอสมควร ทันทีที่นางหันหลังให้รวบผมที่ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังไปไว้ข้างลำคอเรียวด้านหน้า สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำเอาโจวหยางหมิ่นหลุดอุทานออกมาคำหนึ่งเบาๆ ดวงตาเบิกกว้าง ขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อดูให้ชัดเจนขึ้น โดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัวเลยว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับรอยสักที่อยู่กลางหลัง จนเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ว่ายไปอยู่ข้างหลังร้องบอกนาง
"หลินหลิน มังกรขยับ...มังกรขยับ"
"เอ๊ะ มังกรที่ไหน แถวนี้มีมังกรหรือ" นางถามทางจิต พลางเหลียวซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง
"ที่หลัง มังกรที่หลัง ขยับขยับ" เจ้าพยัคฆ์น้อยร้องบอกนางไปด้วยตะกุยน้ำไปด้วย ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
"หา! อย่าล้อเล่นอย่างนี้สิ ข้ากลัวนะ" หญิงสาวกลับหลังหัน แล้วอุ้มมันขึ้นมา ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดเผือด
"ฟานฟาน...ไม่โกหก ส่องแสงด้วย งดงาม...งดงาม" เจ้าพยัคฆ์น้อยส่ายหัวกลมๆ เล็กๆ ตอบนาง พลางใช้เท้าหน้าข้างหนึ่งชี้ลงในน้ำ
"เหวอ! นี่มันอะไรกันเนี่ย" ชิงหลินเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเอี้ยวศีรษะไปข้างหลังก็เห็นแสงสีฟ้าสะท้อนระยิบระยับบนผิวน้ำดูงดงามดังคำพูดของเจ้าพยัคฆ์น้อย ครั้นพอใช้มือแตะก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวไปมา จนต้องรีบชักมือกลับเพราะรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
"หลินเอ๋อร์! เกิดอันใดขึ้น" เสียงร้องของคู่หมั้นทำให้มู่หลิ่งเหวินรีบรุดเข้ามาหานางอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องตะลึงตาค้างเมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดกาย จนเห็นเอวคอดกิ่วได้อย่างชัดเจน ทรวงอกอวบอิ่มข้างหนึ่งถูกปกปิดด้วยผมดำยาวราวเส้นไหมชั้นดี ส่วนอีกข้างถูกร่างเจ้าพยัคฆ์น้อยปิดไว้จนมิด แม้จะเคยเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางเมื่อครั้งที่นางถูกโบยมาแล้ว แต่ครั้งนี้...
"ว้าย!" ชิงหลินร้องเสียงดังด้วยความตกใจระคนอับอาย รีบย่อตัวลงไปในน้ำเพื่อปกปิดร่างเปลือยเปล่าของตัวเองจนโผล่แค่คอ พร้อมกับปล่อยให้เจ้าพยัคฆ์น้อยตะกุยน้ำเพื่อประคองร่างเล็กจ้อยของมันเอง
ทางด้านโจวหยางหมิ่นก็ไม่รอช้า รีบฉวยโอกาสหลบออกมาได้ทันแบบเฉียดฉิวก่อนที่แม่ทัพหนุ่มจะรู้ตัว ดวงตาคมทอดมองไปยังทิศทางที่จากมาพร้อมรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ออก แล้วมุ่งหน้ากลับกระโจมตัวเอง
ที่แอ่งน้ำ
"อา...ขออภัย พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท ได้ยินเสียงเจ้าร้อง พี่ก็เลย..." เมื่อได้สติร่างสูงก็รีบหันหลังให้ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันแหบพร่าเพราะตกประหม่า
"ขะ...ข้าไม่เป็นไร เอ่อ...ท่านช่วยหลบไปก่อนได้หรือไม่ ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว" ร่างเล็กบอกเขาเสียงสั่น ใบหน้าจิ้มลิ้มที่โผล่พ้นน้ำแดงก่ำ ดวงตากลมโตจ้องมองด้านหลังของคู่หมั้นไม่วางตา
"ดะ...ได้ เจ้ารีบขึ้นจากน้ำเถิด แช่นานไปอาจป่วยไข้ได้" ร่างสูงเดินไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ หลับตาแล้วพรูลมหายใจออกมาหลายครั้งเพื่อดับความร้อนรุ่ม ใบหน้าเข้มจัดและมีเหงื่อซึม
"เอ่อ...ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว" นางมาหยุดยืนข้างเขาได้สักพักแล้ว แต่เห็นเขายืนกอดอกพิงต้นไม้หลับตานิ่งไม่ยอมขยับ จึงส่งเสียงบอก
เสียงที่ติดประหม่าของนางทำให้ลมหายใจของร่างสูงสะดุด เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ขยับตัวยืนตรงแล้วหลุบตามองร่างเล็กที่ก้มหน้าอุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยไว้แนบอก ผมดำยาวเปียกลู่ถูกรวบขึ้นแล้วปักไว้ด้วยปิ่นหยกอย่างลวกๆ บอกให้รู้ว่านางรีบร้อนเพียงใด แม่ทัพหนุ่มปลดผ้าคลุมสีดำตัวใหญ่ของตนมาคลุมทับให้อีกชั้น ด้วยเกรงว่านางจะป่วยไข้ เมื่อเห็นนางตะลึงมองเขาจึงส่งยิ้มกว้างไปให้ ยิ้มที่ไม่เคยมอบให้สตรีใดมาก่อน ยิ้มโปรยเสน่ห์ครั้งแรก
"มานั่งตรงนี้เถิด"
"เอ๊ะ ข้าคิดว่าเราควรรีบกลับจะดีกว่าเจ้าค่ะ" นางไม่ได้นั่งลงตามที่เขาบอก
ส่วนเจ้าพยัคฆ์น้อยไม่ได้สนใจทั้งสอง เพราะมันเล่นน้ำจนเหนื่อยล้าและอยากนอนเต็มแก่แล้ว
แม่ทัพหนุ่มที่บัดนี้ลงนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหญ้าที่ถูกปรับจนราบแล้วเอ่ยขึ้น "มีพี่อยู่ เจ้าจะกลัวอันใด"
'ก็ท่านนั่นแหละที่น่ากลัว' นางว่าในใจ เผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างลืมตัว
"เชื่อใจพี่สักครั้งได้หรือไม่"
เสียงทุ้มต่ำอ่อนหวานแฝงความออดอ้อน ทำให้ใจดวงน้อยอ่อนยวบยาบจนไม่อาจเมินเฉยได้ ร่างเล็กนิ่งคิดเพียงครู่ก็ตัดสินใจนั่งลงข้างๆ เขา เรียกรอยยิ้มพึงพอใจจากคนชวนได้ทันที
"อุ๊ย! ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ"
"อยู่นิ่งๆ" มู่หลิ่งเหวินดุนาง พลางขยับกายไปอยู่ข้างหลัง จับบ่าเล็กบอบบางที่ทำท่าจะหันมาไว้
คนถูกดุนั่งตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก อยู่ดีๆ ก็บอกให้นั่งแล้วก็ปลดปิ่นปักผมของนางออก ยามนี้เขากำลังเช็ดผมให้นาง
'อา…โรแมนติกจัง'
"หากปล่อยไว้พี่เกรงว่าเจ้าจะป่วย" แม่ทัพหนุ่มกระซิบบอกนางพลางเช็ดผมให้นางอย่างเบามือและอ่อนโยน อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่ทำเช่นนี้ให้สตรีจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ถึงกระนั้นใบหน้าหล่อเหลางดงามราวเทพเซียนกลับเรียบนิ่งไร้อารมณ์ใดๆ แต่ถ้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเดียวกับยามรัตติกาลจะเห็นความสั่นไหวอย่างชัดเจน
"เอ่อ...ขอบคุณเจ้าค่ะ" ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำจนลามไปถึงใบหู ใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิมจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน สองมือขยุ้มกระโปรงแน่นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมือของเขาสัมผัสต้นคอและแผ่นหลังของนางครั้งใด ก็สะดุ้งขนลุกชันและร้อนวูบวาบราวกับถูกไฟลน
แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มร้ายเมื่อเห็นใบหูเล็กๆ และลำคอระหงแดงเรื่อ แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ความชิดใกล้เพียงฝ่ามือกั้นก็ทำให้พอมองเห็นได้ไม่ยากนัก
"อา...เสร็จแล้ว เช่นนั้น...เจ้ารอพี่อยู่ตรงนี้สักครู่ พี่ขอตัวไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย" มู่หลิ่งเหวินกล่าวพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปสองก้าวจากนั้นก็หมุนตัวกลับมาเอ่ยถ้อยคำที่ทำเอาคนฟังหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง
"อา...เจ้าจะแอบดูพี่คืน พี่ก็ไม่ว่าหรอก ยินดีอย่างยิ่ง"
"ใครอยากแอบดูท่านกัน ข้าไม่ใช่พวกโรคจิตสักหน่อย" ชิงหลินกระแทกเสียงอย่างอารมณ์เสีย แล้วลุกขึ้นยืนพิงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวกับที่เขาเคยพิงก่อนหน้า ทอดสายตาออกไปอย่างไร้จุดหมาย แม้คู่หมั้นของนางคนนี้จะชอบยั่วโมโห เอาแต่ใจ และเป็นนักฉวยโอกาส แต่เวลาที่นางและครอบครัวเดือดร้อนก็ได้เขาคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ ทำให้นางรู้สึกดีและเริ่มที่จะชอบเขาขึ้นมาบ้าง
"หลินหลิน หายไป...อีกแล้ว หนึ่งคน" เสียงเจ้าพยัคฆ์น้อยดึงสตินางกลับมา
"หา จริงหรือ ไม่ดี ไม่ดีเลย ต้องรีบหาพวกเขาให้เจอเร็วๆ แล้ว"
"เกิดอันใดขึ้น อันใดที่ว่าไม่ดี"
เสียงถามจากคู่หมั้นหนุ่มทำให้คนที่กำลังเครียดชะงักวูบ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
"หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่า รวมวันนี้พลังชีวิตของพวกเขาหายไปแล้วสิบสี่คน?"
"ใช่เจ้าค่ะ เราต้องรีบแล้วนะเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงพวกเขา"
"วางใจเถิด พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยพวกเขาออกมาให้ได้" มือหนาแกะมือเรียวนุ่มที่แขนออกแล้วเกาะกุมไว้
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" ไม่รู้ทำไมพอฟังคำพูดเขาแล้ว นางรู้สึกวางใจและอุ่นใจขึ้นมาก ความไม่สบายใจลดไปกว่าครึ่ง นี่แปลว่านางเชื่อใจและไว้ใจเขาใช่หรือไม่
"เพื่อเจ้า พี่ยินดี" เขาหมายความตามที่พูด สตรีที่อยู่เบื้องหน้าสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น เขาตั้งใจจะปกป้องนางด้วยชีวิต พอคิดได้ดังนั้นสายตาที่มองนางจึงอ่อนโยนและลุ่มลึกกว่าทุกครั้ง มือหนาเชยคางมนแล้วโน้มใบหน้าเข้าหาอย่างหลงใหล ยิ่งเห็นนางไม่สะบัดหน้าหนี หัวใจเขาก็พลันลิงโลดด้วยความยินดี เสียอย่างเดียวที่นางหลับตาจึงไม่ได้เห็นความสดใสในดวงตาคู่งาม
"หลินเอ๋อร์…" แม่ทัพหนุ่มเรียกชื่อนางเบาๆ เมื่อเห็นนางลืมตามองเขาตาแป๋วจึงจุมพิตนางเร็วๆ ครั้งหนึ่ง
"ทะ...ท่าน! คนฉวยโอกาส" นางต่อว่าเขาหลังจากที่หาเสียงของตัวเองเจอ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำด้วยคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำอย่างนี้
"หึๆ เจ้ากล่าวผิดแล้ว นี่คือรางวัลต่างหากเล่า" เขาว่าพร้อมชูนิ้วชี้ขึ้นฟ้า
"รางวัลอะไรกันเจ้าคะ"
"รางวัลตอบแทนที่พี่เช็ดผมให้เจ้า"
"ข้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านทำให้เสียหน่อย"
"ไม่รู้ละ เมื่อทำดีย่อมต้องตกรางวัลไม่ใช่หรือ"
"ฮึ่ม! คนอย่างท่านนี่มัน…ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว" นางไม่รู้จะต่อว่าเขาอย่างไรดีจึงสะบัดหน้าใส่ แล้วเดินกระแทกเท้ากลับกระโจมไปพร้อมด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว โดยมีเจ้าพยัคฆ์น้อยที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในอ้อมแขน
คนถูกทิ้งยืนมองร่างเล็กที่เดินจากไปด้วยสายตาลุ่มลึก ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง "เอาไว้ค่อยบอกดีกว่า"
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยน้า^_^