webnovel

บทที่ 4 ย่านวังบุริมชิมสุข(1)

ใต้ผืนฟ้ามืดหม่นกับแสงดาวแพรวพราวข้างแสงเดือน บนถนนอิฐสีเงินที่พอมีแสงไฟตะเกียงส่องให้ความสว่าง มีม้าดำกำลังเคลื่อนลากรถไม้อย่างไม่รีบเร่งเท่าไร โดยมีคนคุมหน้ารถม้าเป็นชายสวมหมวกปีกกว้างกับโค้ตดำ ผู้กำลังสีซอบรรเลงเสียงเพลงเบาบางอย่างไพเราะ แก่นักดาบหนุ่มกับนักวาดสาวที่กำลังนั่งหลับอยู่ข้างกันด้านหลังอย่างสงบ

หลังฝีกีบม้าดำประทับจุดสิ้นสุดของถนน วาณิชย์เจ้าของรถลากก็หยุดเสียงเพลงซอลง

"หยุดก่อน อลาสเตอร์ นี่แหละสถานที่ปลายทางของพวกเขา"

แอนคูแหงนหน้ามองท้องฟ้า ที่แสงอาทิตย์กำลังจะขึ้นมาให้ได้เห็นในไม่ช้า แม้ว่าความมืดจะยังไม่ไปไหน แสงสว่างริบหรี่ก็พอให้รู้ได้ว่าเป็นเวลาใด จึงหันไปหาคู่หนุ่มสาวด้านหลังที่ยังหลับสนิท พลางคิดว่าจะปลุกพวกเขาอย่างไร

"สะกิดปลุกอาจเสียมารยาทเกินไป ใช้ยางหอมก็แล้วกัน"

นักค้าหยิบไหเครื่องหอมในถุงเก็บของออกมา แขวนไว้บนเสาไม้ขนาดเล็กใกล้ที่คนนั่ง จุดก้อนยางหอมจากในกระเป๋าแล้วหย่อนใส่ลงไป เกิดเป็นกลิ่นหอมรัญจวนใจชวนชื่นชมลอยตามลม พาสาวใหญ่ในชุดคลุมยาวรู้สึกตัวตื่น พร้อมขยี้ตาตามสัญชาตญาณแม้ว่าจะมองไม่เห็น ก่อนเอ่ยถึงสิ่งที่รับรู้

"กลิ่นหอมนั่น มันอะไรกันน่ะ?"

"กำยานน่ะ ข้าขายชุดละสิบ ราคาสิบออรัม สนใจอยากให้ห้องมีกลิ่นหอมรัญจวนใจก็ซื้อไปประดับได้"

หลังจูโนตื่นได้ไม่นาน อิโระก็ขยับลุกขึ้นตามจนเสียงเกราะอัศวินดังขึ้น เขาหันหาที่มาของกลิ่นหอมอย่างไม่วางใจ กระทั่งเห็นว่ามาจากไหเครื่องหอมจึงละท่าทีระแวงลง ก่อนสบตาพ่อค้าผู้หันหาตนกับนักวาด และเริ่มการสนทนาต่อไป

"ยินดีต้อนรับ ท่านทั้งสอง สู่จุดสิ้นสุดของทางวิถีเงาสีเงิน"

อัศวินกวาดสายตาพิจารณาสถานมาเยือน เห็นว่าตนมาถึงสุดทางอิฐขาว ที่ซึ่งเส้นทางจากนี้ไปเป็นเส้นทางปูน โดยสิ่งที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า คือสะพานกว้างอันจะพาข้ามฟากแม่น้ำแสนกว้างไกล ไปยังเมืองอีกฟากสุดลูกหูลูกตา

"ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ข้างหน้าไป ถ้าข้าจำไม่ผิด จะเป็นย่านวังบุริมชิมสุข หนึ่งในเขตคนอาศัยที่เคยรุ่งเรืองและเอิกเกริกมากที่สุดของแดนสุวรรณ อย่างน้อยก็เคยน่ะนะ อาจคาดหวังอะไรไม่ได้มากเท่าไร ขอให้เตรียมใจไว้ก่อนละกัน"

"ขอบคุณมาก ท่านแอนคู"

จูโนขานรับ ก่อนลงจากรถลากพร้อมอิโระที่คอยสังเกตสภาพรอบข้าง

"ด้วยความยินดีท่านหญิง ส่วนข้าขอลาไปหาสถานค้าสิน กอบโกยกินกำไรคนในละแวกนี้ก่อน สวัสดี"

บุรุษวาณิชย์ขยับปีกหมวกอำลา พานักวาดโบกมือกลับ ขณะอัศวินผงกหัวให้ ทันใดนักค้าก็ควบม้าลากรถข้ามสะพานอย่างไม่รีรอ ก่อนหายไปในความมืด ไม่ทิ้งร่องรอยใดให้ไล่ตาม

"ไปกันเถอะ ท่านอิโระ สู่เส้นทางของเรา"

นักวาดสาวขยับไม้เท้าในมือ ก่อนเริ่มฝีก้าวอย่างช้า

"ได้เลย"

จูโนกับอิโระก้าวเดินไป บนถนนใต้แสงริบหรี่ของท้องฟ้ายามเช้ามืด ผ่านอาคารไม้โอนเอนอันเลวร้าย ที่ดูเหมือนพร้อมจะถล่มลงมาทุกเวลา ฝ่าสายลมเย็นอันเบาบางตามเส้นทาง เผชิญบรรยากาศประหลาดที่ทั้งสองรู้สึกได้ ว่าไม่ใช่อะไรที่พวกเขาวางใจได้ จนอัศวินเตรียมกระชับอาวุธระวัง ก่อนนักวาดหันเหออกจากเส้นทาง สู่ริมสะพานปูนที่กำลังข้าม อันมีระเบียงสีทองเงางามกั้นไว้

"มีอะไรเหรอ? ท่านจูโน"

นักดาบเกราะหมองถามตามสงสัย ก่อนเดินเข้าไปริมสะพานตามเพื่อนร่วมทาง

"นี่คือสะพานชุบทองที่ถูกสร้างไว้ใช้ข้ามแม่น้ำเจ้าขุน แม่น้ำสายที่กว้างไกลและใหญ่สุดในแดนสุวรรณ เคยเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าสัตว์น้ำน้อยใหญ่ แต่บัดนี้ พวกเขาไม่มีอยู่ให้เราได้เชยชมแล้ว"

"เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?"

"ความเลวร้ายมาเยือน ทำลายทุกชีวิตในย่านนี้ย่อยยับ จนไม่มีชีวิตใดอยากอาศัยอีกต่อไป"

"ท่านคิดว่าที่นี่ยังมีใครอาศัยไหม?"

"อาจยังพอมี ไปกันเถอะท่านอิโระ ข้าคาดว่าเบื้องหน้าอาจพอมีสิ่งดีรอเราอยู่"

ทั้งสองผ่านสะพานชุบทองข้ามแม่น้ำแสนกว้างไกล ไปสู่อีกฟากของสถานนี้ เป็นเขตเมืองที่มีอาคารบ้านไม้ร้าง ในสภาพไม่ต่างจากก่อนหน้าเท่าไร ทว่าสิ่งตรงหน้าพวกเขากลับให้ความรู้สึกต่างออกไป

ต่อหน้าสองผู้มาเยือน คือรั้วล้อมโลหะแสนไกลกว้างขนาบถนนขวาซ้าย กับซุ้มทางเข้าสีขาวขนาดใหญ่ทำจากปูน ประดับดาด้วยลาดลายสีทองที่ร่อนกร่อนตามเวลา พร้อมคู่รูปปั้นสีหราชสำริดยืนอย่างน่าเกรงขามหน้าบานประตู

"ประตูอะไรทำไมใหญ่ขนาดนั้น?"

อัศวินถามเพื่อนร่วมทางด้วยความสงสัย ด้วยรู้ว่าสิ่งตรงหน้ามีความหมายอะไรซ่อนไว้ แม้จะยังไม่รู้ว่าคือสิ่งใด

"หากผ่านเข้าไป เราคงได้รู้ว่านั่นเป็นของสิ่งใด"

นักวาดเดินผ่านบายประตูใหญ่เข้าไป ขณะอัศวินกวาดสายตาระวังอันตรายในความมืดให้เรื่อย ก่อนเห็นสวนหญ้ารกร้างกว้างขวาง ที่ใบหญ้าสูงชันเกินกว่าจะมองให้สวยงามได้ ตรงกลางเป็นบ่อน้ำพุปูนขนาดใหญ่ ที่ไม่มีน้ำไหลเวียนให้เห็น จึงเริ่มรู้ว่านี่เคยเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ในอดีต

เมื่อพวกเขาสำรวจได้พักหนึ่ง จึงพบเศษซากอาคารขาวขนาดมหึมา ที่โครงสร้างถล่มลงมาพอให้เห็นภายใน กระนั้นก็ยังพอคงรูปอาคารไว้ ให้รับรู้ว่าเคยเป็นสิ่งใดในสายตาอัศวิน

"ซากวัง"

"ดูเหมือนสถานนี้จะแตกต่างจากข้าจดจำ ท่านจะว่าอะไรไหม หากข้าอยากสำรวจว่าในวังนั้นเป็นเช่นไร?"

จูโนหันถามเพื่อนร่วมทางผู้อยู่ข้างกัน

"ไม่เลย ไปกันเถอะ"

อิโระพยักหน้ารับ ก่อนเดินตามสาวใหญ่ในชุดคลุม ไปยังซากวังที่อยู่ไม่ห่างบ่อน้ำพุกว้างเท่าไร แล้วดันประตูไม้บานใหญ่เข้าไป สู่ภายในห้องโถงกว้างของอาคาร

พื้นในวังใหญ่เป็นหินอ่อนสีสว่าง กลางห้องทางเข้ามีตราวงกลมทองประทับ ซ้ายขวามีตะเกียงไร้เปลวไฟแขวนเอาไว้ ไม่นานนักวาดก็วาดมือหาตะเกียงที่อยู่ใกล้ จนเปลวไฟลุกโชนให้ความสว่าง ปรากฏภาพแขวนประดับบนผนังต่อหน้าทั้งสองผู้มาเยือน ทว่ามันกลับถูกทำลายเกือบหมดสิ้น เหลือไว้เพียงกรอบชุบทองกับเศษผ้าใบ

"ภาพวาดเสียหายเหรอ? ใครกันที่ทำแบบนี้?"

จูโนเอ่ยถามอย่างเสียดายภาพตรงหน้า พลางวางมือขวาแตะกรอบภาพวาดนั้น

"เหมือนวังนี้ถูกทิ้งร้างมาพักใหญ่ ไม่ฟ้าฝนก็คนที่เข้ามา"

อิโระมองรอบข้างภายในวัง ก็พบเพียงความว่างเปล่าของเศษซากสีขาวประทับทอง ที่แทบไม่มีอะไรดีให้เชยชมในสายตา กระนั้นก็พาจูโนเดินตามทางโล่งกว้างของอาคารเรื่อย กระทั่งพบบันไดวนสำหรับขึ้นไปชั้นบน

"ท่านจูโน ท่านเดินขึ้นบันไดวนได้ไหม?"

"ได้สิ ไม่ต้องกังวลหรอก"

อัศวินสีหม่นก้าวขึ้นบันได พลางหันมองนักวาดตาบอดด้านหลัง ผู้ใช้ไม้เท้าขยับหาแต่ละชั้นก้าวอย่างทุลักทุเล จนเดินได้ไม่ไวว่องเท่าไรนัก อัศวินที่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยทักออกไปตามใจนึก

"ดูท่านจะเดินไม่ถนัดเท่าไร ให้ข้าพาท่านตามขึ้นมาเถอะ"

"ได้สิ ช่วยพาข้าขึ้นไปที อัศวินของข้า"

จูโนยื่นมือหาอิโระให้จับรับไว้ แล้วพาก้าวขึ้นบันไดไปด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบนัก แต่ก็เดินได้คล่องกว่าก่อนหน้า ในที่สุดก็มาถึงด้านบนที่ถล่มทลายเลวร้ายยิ่งกว่า มากพอให้เห็นเส้นขอบฟ้าสีแสด ที่แสงตะวันกำลังจะสาดส่องมา

ทว่าก่อนพวกเขาจะทำอะไร สัญชาตญาณนักดาบหนุ่มก็บอกว่าอันตรายกำลังเข้ามา จึงขยับมือจับอาวุธข้างเอว

"ระวังด้วย ที่นี่มีอะไรแปลกไป"

"ได้เลย ข้าจะช่วยท่านระวัง"

สาวตาบอดก้าวนำเข้าไปก่อน ทว่าไม่นานนัก อีกเสียงฝีก้าวโลหะก็ดังจากหลังมุมกำแพงถล่มทลาย ปรากฏกายสวมเกราะโลหะหนากับหมวกปิดหน้า พร้อมผ้าคลุมหัวดำและชุดคลุมขาวประดับลายทอง ผู้ซึ่งกำลังชักดาบใหญ่สีทองข้างเอวออกมา ตั้งท่าเตรียมปะทะสองผู้มาเยือน

"อารักษ์ราชา"

จูโนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบพอเท่าไร พร้อมยกไม้เท้าขึ้นมา ก่อนอิโระจะก้าวนำแล้วทักขัดจังหวะ

"ไม่จำเป็น ท่านจูโน ข้าเอง"

"ในเมื่อท่านว่าเช่นนั้น ข้าจะคอยยืนชื่นชมก็แล้วกัน"

อิโระชักดาบยาวประจำตัวออกมา กระชับในสองมือตั้งท่ารอปะทะ ขณะผู้ถูกเรียกว่าอารักษ์ราชายกดาบขึ้นต่อหน้า ก่อนเกิดประกายสีทองส่องแสงเรืองรอง อัศวินที่มองอยู่จึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ศัตรูทั่วไป พร้อมวางแผนว่าจะปะทะอย่างไร

อารักษ์ราชาก้าวพุ่งเข้ามา แล้ววาดดาบด้วยความรุนแรงแลรวดเร็ว พาให้นักดาบสีหม่นรู้ว่าไม่ควรรับการโจมตีโดยตรง กระนั้นก็ยังจับจังหวะได้ไม่ดีเท่าไร จนไม่อาจหลีกการโจมตีถัดไปได้ทัน

นักดาบยกโล่ติดแขนขึ้นกันการโจมตี รับแรงกระแทกจนกระเด็นออกไป แต่นั่นก็มากพอให้รู้ว่าควรรับมืออย่างไร เมื่ออารักษ์ราชาตั้งท่าเตรียมพุ่งเข้ามา จึงทะยานหลบการโจมตีของศัตรู แล้วแทงเข้าช่องว่างของเกราะหลังทะลุทันที

แม้อัศวินทองจะทรุดลงไป ก็ยังไม่สิ้นท่าเสียทีเดียว อิโระจึงออกแรงถีบหลังอีกฝ่ายให้ล้ม ก่อนพุ่งดาบแทงกลางหลังย้ำอีกครั้ง กระทั่งเลือดไหลท่วมเป็นสาย กลายเป็นซากต่อหน้าสองผู้มาเยือน

"เรียบร้อย"

อัศวินพูดอย่างเรียบราบกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน พลันเก็บดาบเข้าปลอกข้างเอว

"ไฉนใยท่านไม่อยากให้ข้าเข้าปะทะหรือ?"

นักวาดตาบอดถามด้วยความสงสัย ขณะเดินเข้าไปหาคู่สนทนาผู้มีคราบเลือดเปื้อนหน้า

"ข้าไม่อยากให้ใครมือเปื้อนเลือดโดยไม่จำเป็น ท่านก็ด้วย"

"อย่าได้กังวลเลย ข้าอาจไม่โปรดปรานการรบเท่าไร แต่หากจำเป็นข้าก็ทำได้"

"ถ้าข้าเห็นดี จะขอให้ท่านช่วยสู้ก็แล้วกัน"

อิโระนั่งลงข้างร่างไร้วิญญาณของผู้ถูกเรียกว่าอารักษ์ราชา พิจารณาลวดลายสีทองตามเสื้อผ้ากับเกราะ กระทั่งดาบใหญ่สีทองคำที่ถือไว้แม้สิ้นใจ จึงหยิบขึ้นมาพิจารณาว่าคืออะไร

"อารักษ์ราชา ฉายานั่นคืออะไร?"

"นั่นเป็นฉายาของเหล่านักรบผู้อารักขาเทวราชาแห่งแดนสุวรรณ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในนครเทวัญอันเป็นเมืองหลวง บ้างกระจัดกระจายกันไปทั่วแดนสุวรรณ กระนั้นทุกคนก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน คืออาวุธอาคมอย่างที่ท่านถือไว้"

"อาวุธอาคมเหรอ?"

อัศวินเอ่ยกลับด้วยความสงสัย ขณะมองดาบสีทองในสองมือ

"ในอาวุธชิ้นนี้มีอาคมสลักไว้ ใช้เสริมพลังให้แกร่งกล้าขึ้น ข้ารู้สึกได้ตอนท่านปะทะกับอารักษ์ราชา ท่านลองหลับตาแล้วตั้งสมาธิสิ เผื่อว่าท่านจะรับรู้บางอย่าง"

เด็กหนุ่มตาฟ้าหลับตาลงตามสาวเจ้าแนะ เหลือเพียงความมืดมิดในสายตากับอาวุธในความคิด ทันใดนั้นบางอย่างก็ปรากฏให้รับรู้ เป็นอักขระประหลาดสีทองที่อ่านไม่ออก แต่กลับเข้าใจว่ามีไว้เพื่อใช้อาคมของอาวุธ จึงคิดให้อักขระนั้นเป็นรูปร่างชัด แสงสว่างสีทองจึงเปล่งปลั่งจากใบดาบที่เขาถือเอาไว้

"นั่นคือศาสตราชาลิกา อาคมที่วิหารแห่งชาลิกามอบให้เหล่าอารักษ์ราชา เพื่อปกปักษ์รักษาราชาและวิหาร มันเสริมพลังเวทแก่อาวุธที่ถูกสลักด้วยอาคมนี้ แล้วให้พุ่งโจมตีได้ มันอาศัยทักษะด้านเวทมนตร์คาถาไม่มาก ท่านจึงใช้มันได้ไม่ยาก"

"ท่านว่าข้าฉลาดน้อยเหรอ?"

อิโระสวนกลับไปแทบทันใด ทำให้จูโนที่ไม่ทันตั้งตัวเผลอหัวเราะในคอ

"ฮิฮิ ผิดแล้ว อาคมของอาวุธแต่ละชิ้นแตกต่างกันออกไป ตามแต่ใครจะสลักเอาไว้ ใช่ว่าทุกชิ้นจะถูกใช้ได้โดยทุกคน ข้าสามารถถอดอาคมจากอาวุธออกมาได้ ท่านอยากเก็บมันไว้ไหม?"

"ท่านจะถอดมันออกมายังไง?"

"ด้วยมีดสลักนี่"

นักวาดร่างใหญ่หยิบมีดใบศิลาที่เก็บไว้ออกมา ด้วยสีหน้าดังว่าตั้งตารอโอกาสนี้มานาน

"ท่านเก็บมีดเล่มนี้ไว้กับตัวตลอดเวลาเลยเหรอ?"

"เผื่อว่าข้าต้องใช้เช่นในเวลานี้ ท่านว่าอย่างไรล่ะ?"

"ได้สิ ทำให้ข้าที"

อิโระยื่นดาบให้สาวเจ้าที่อยู่ไม่ไกล ไม่นานเธอก็ลงปลายมีดศิลาแตะใบดาบ จนอักขระสีทองส่องแสงปรากฏบนใบมีด ขณะที่มันสลายหายจากใบดาบ ที่ถูกเปลวไฟลุกโชนก่อนอันตรธาน เหลือเพียงอักษรบนใบมีดกับความสงสัยในใจอัศวิน

"ดาบนั่น ได้ยังไงกัน?"

"ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าเพียงเก็บดาบเล่มนั้นไว้กับตัวข้าเอง ทีนี้ ข้าขอดาบของท่านที"

อัศวินยื่นดาบยาวประจำตัวให้ตามขอ จูโนจึงลงคมมีดบนใบดาบให้ จนอักขระส่องแสงถูกสลักลงไปทั้งหมด

"เรียบร้อย"

"ขอบคุณ ท่านจูโน"

นักดาบหนุ่มผงกหัวแก่นักวาดผู้สลักอาคม ขณะสีของอักขระบนอาวุธเริ่มเจือจาง ทว่าแสงทองในสายตาเขากลับไม่จางลงไป จนเกิดสงสัยว่ามันมาจากไหน ก่อนหันหาแหล่งที่แสงส่องมา

แสงตะวันสีทองผ่องอำไพจากขอบฟ้าแสนไกล สะท้อนในดวงตาหมองหม่นของอัศวิน เปลี่ยนภาพทัศน์และบรรยากาศโดยรอบอันเคยหม่นหมองให้สดใส มอบความอบอุ่นและสว่างแก่สิ่งรอบข้าง พาเขายืนนิ่งเชยชมทุกสิ่งด้วยความประหลาดใจ จนในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงฝีก้าวกับไม้เท้า จากนักวาดตาบอดผู้ยืนข้างกองซากปรักหักพัง

"ท่านอยากนั่งพักก่อนหรือเปล่า?"

"ก็ดีเหมือนกัน"

อิโระนั่งลงไม่ห่างจากจูโน ก่อนสังเกตว่าอีกฝ่ายทำท่าดังว่าหันหาแสงตะวันอันสาดส่อง กระนั้นเขาก็เข้าใจว่าเธอรับรู้ความอบอุ่นได้ แม้ไม่เห็นภาพใดในสายตา จึงนั่งลงให้สายลมพัดพาความเย็นเข้ามา รู้สึกถึงเวลาอรุณาอันน่าชม

"ท่านเห็นนั่นไหม? แสงสว่างจากฟ้าสีทองผ่องอำไพ มิต่างอะไรจากยางอำพัน"

"เห็นสิ เป็นสีทองส่องสว่างอย่างท่านบอกนั่นแหละ"

"ครั้งหนึ่ง แสงตะวันของแดนสุวรรณ เคยมีประกายทองส่องสว่างเรื่อยให้เห็นในสายตา มิต่างทะเลดาราคับฟ้ายามราตรี ที่จะมีให้เห็นเพียงยามอรุณา เป็นความสดใสและสุขใจแก่ชีวิตใดที่ได้พบ บอกข้าที สิ่งนั้นยังมีให้ท่านประสบเห็นไหม?"

จูโนเอ่ยถามด้วยสีหน้าแสดงถึงความคาดหวัง ดังอยากรู้เห็นว่าภาพที่ไม่อาจสะท้อนในดวงตาเป็นเช่นไร ทำให้อิโระลังเลที่จะบอกถึงภาพตรงหน้า ทว่าบางอย่างก็พาให้เขาพูดออกไป

"ข้าเห็นเพียงแสงสว่างสีทองจากขอบฟ้า"

"ช่างน่าเสียดาย ที่ข้าไม่มีโอกาสได้เห็นประกายนั่น"

แม้สาวเจ้าจะพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง เธอก็ยังยื่นมือขวาออกไป เสมือนพยายามหยิบบางอย่างไว้ในกำมือ

"ถึงอย่างนั้น แสงตะวันก็ยังทำให้ข้าอบอุ่นไม่เปลี่ยนเลย ท่านชื่นชอบทิวทัศน์เช่นนี้ไหม? ท่านอิโระ"

"ข้าไม่นิยมชมชื่นในภาพทัศน์เท่าไร อาจตอบได้ไม่ดี"

"เพียงบอกข้าว่าท่านชื่นชมช่วงเวลานี้ไหมก็เพียงพอแล้ว"

อัศวินสลัดความคิดใดในหัวออกไป ให้รับรู้เพียงทุกสิ่งในสายตา ทั้งซากปรักหักพัง แสงตะวันอันสาดส่อง ความอบอุ่นที่ส่งมา สายลมเย็นพัดพา และเพื่อนร่วมทางผู้อยู่ข้างกัน จนในที่สุดก็ได้คำตอบอันพอใจ

"ข้าชื่นชม"

"ข้ายินดีที่ท่านอิโระชอบบรรยากาศนี้นะ"

ทั้งสองพักผ่อนให้ได้รับไออุ่นยามเช้าพักใหญ่ จนบางสิ่งแปลกประหลาดปรากฏแก่สายตาอัศวิน เป็นประกายสีทองประหลาดขนาดเล็ก ล่องลอยตามแสงสว่างจากขอบฟ้าสีสว่างให้สังเกตเห็น จนเขาเผลอพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

"ประกายทอง"

"เอ๋? ท่านว่าอะไรหรือ?"

"ประกายทอง มันล่องลอยตามแสงตะวันและสายลม อย่างที่ท่านพูดไว้"

เมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อนร่วมทาง นักวาดก็วาดมือไปในอากาศอีกครั้ง กระทั่งเกล็ดประกายทองสัมผัสฝ่ามือเธอตามเวลา จนรวมเป็นกลุ่มในฝ่ามือเธอ ให้รู้ว่าเป็นดังเศษแร่ขนาดเล็กแก่สายตาอัศวินผู้รู้สึกตระการตา

"เศษทองเหรอ? ไม่รู้มาก่อนว่าประกายทองนั่นรวมเป็นแบบนั้นได้"

"ข้าเองก็เช่นกัน บางที นี่คงเป็นสีสันที่แสงตะวันมอบให้ข้ากระมัง"

ทว่าระหว่างสนทนา อิโระก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงหยิบดาบสลักอาคมของตนขึ้นมา ก่อนถามนักวาดผู้ลงอาคม

"ทำไมอารักษ์ราชาถึงคุ้มกันซากวังนี้? มีอะไรสำคัญอยู่ที่นี่หรือเปล่า?"

"จริงของท่าน อารักษ์ราชามักไม่ประจำจุดไหนหากไร้เหตุจำเป็น เว้นแต่มีสิ่งสำคัญ เช่นนั้นเรามาตามหากันเถอะ"

อัศวินกับนักวาดร่วมกันตามหาสิ่งมีค่า กระนั้นกลับพบเพียงเศษอิฐหรือทองประดับชิ้นเล็กน้อย แม้แสงส่องให้ความสว่าง ก็ยากจะเห็นอะไรขัดตาในซากวังชั้นบน ในที่สุดทั้งสองก็สังเกตสิ่งผิดปกติได้พร้อมกัน ทำให้อัศวินเดินเข้าไป แล้วนั่งลงพิจารณาเสาศิลาสีเทาที่ตั้งตระหง่าน

"เสาเชื่อมทาง ไม่ผิดแน่"

อิโระยืนขึ้นเมื่อมั่นใจว่านั่นคือหนึ่งในสิ่งที่ตนกับเพื่อนร่วมทางตามหา และในตอนนั้นเอง จูโนก็ยื่นศิลาอักขระสำหรับใช้เปิดเสาเชื่อมทางให้ ด้วยสีหน้าที่ดูยินดีเหนืออะไร

"ข้าอยากให้ท่านรับไว้ และใช้มันเปิดทางแก่สองเรา รับไว้เถอะ"

"ได้เลย"

นักดาบเกราะหม่นรับศิลาอักขระไว้ แล้วยื่นใกล้เสาเชื่อมทาง จนมันเปล่งแสงฟ้าขาวให้รู้ว่าถูกเปิดใช้งาน ยืนนิ่งพิจารณ์ภาพอันปรากฏให้มั่นใจว่าคืออะไร พานักวาดเผยรอยยิ้มด้วยความเปรมปรีดิ์

"เท่านี้ เราก็มาเยือนวังบุริมชิมสุขด้วยเสาเชื่อมทางได้แล้ว"

"ท่านรู้ได้ยังไงว่านี่คือวังที่ว่า?"

"ในย่านนี้มีไม่กี่สถานสำคัญจะเป็นที่ตั้งของเสาเชื่อมทางได้ วังบุริมชิมสุขที่ถูกทิ้งไว้เป็นเศษซากคือหนึ่งในนั้น"

"นั่นสินะ"

เมื่อพิจารณาจนพอใจ นักดาบก็ยื่นศิลาอักขระในมือคืนเจ้าของผู้ยืนอยู่ข้างกัน 

"เก็บไว้เถอะท่านอิโระ ข้าอยากให้ท่านเป็นคนเปิดใช้งานเสาเชื่อมทางในแดนสุวรรณเอง"

"มันเป็นของท่าน ท่านควรเป็นคนเปิดมากกว่า มีเหตุผลอะไรที่ท่านอยากให้ข้าเก็บไว้เหรอ?"

"ท่านเป็นเพื่อนร่วมทางและผู้นำทางของข้า ข้าอยากให้ท่านรับไว้แทนของขวัญกับสัญญาใจน่ะ"

อัศวินยกตราศิลาเรืองแสงฟ้าในมือขึ้นมาดู พลางคิดตามสิ่งที่นักวาดบอกกับตนให้ขึ้นใจ ก่อนหันมองแววตาและสีหน้าอย่างวิงวอนของสาวเจ้าคู่สนทนา ที่อยากให้รับไว้ไม่ว่าอย่างไร จึงเก็บลงไปด้วยยอมรับ

"ท่านนี่แปลกดีนะ ท่านจูโน"

"ฮิฮิ ท่านก็ด้วย"

จูโนหัวเราะออกมาพร้อมยิ้มตอบเบาบาง พาอิโระที่รับรู้ถึงความยินดีเผลอยิ้มตามไปด้วย

"บางทีซากวังนี้คงไม่มีอะไรให้เราแล้ว ท่านเจออย่างอื่นบ้างไหม?"

"ไม่เลย ไปกันเถอะ อัศวินของข้า"

สองนักเดินทางเดินตามทางที่พวกเขาผ่านมา เพื่อจะกลับไปหาบันไดที่พาพวกเขาขึ้นมา ไม่นานนักวาดก็หยุดฝีก้าวหน้าริมอาคารที่ผนังพังลงไป กับเก็บไม้เท้าเหน็บเอวไว้ พาให้อัศวินผู้เดินตามเกิดสงสัย

"มีอะไรเหรอท่านจูโน?"

"ท่านอิโระ จับมือข้าเอาไว้ได้ไหม?"

จูโนยื่นมือหาคู่สนทนาด้านหลัง อิโระจึงยื่นมือจับรับไว้ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงกำลังที่ลากดึงตนเข้าไปอย่างว่องไว

เด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง ในอ้อมแขนของสาวใหญ่ผู้กำลังอุ้มตนไว้ ที่กำลังแสดงสีหน้าอย่างมั่นใจ ในตอนนั้นเองเธอก็ก้าวฝีเท้าทำท่าเตรียมทะยาน เรียกสติเขากลับมาในทันที พร้อมกับที่สาวเจ้ากระซิบเตือน

"จับไว้แน่น ๆ ล่ะ"

"เดี๋ยวก่อน!"

จูโนขยับฝีเท้าทะยานจากพื้นชั้นสองของอาคารขึ้นไปในอากาศ จนอิโระกอดร่างอีกฝ่ายไว้แน่นด้วยความตกใจ แต่ในที่สุดเธอก็ประทับฝีเท้าลงพื้นด้านล่างได้ไม่เป็นอะไร ก่อนปล่อยเขากลับมายืนบนพื้นด้านล่างอย่างตระหนกตกใจ

"จะทำอะไรทีหลังถามข้าก่อนก็ได้"

"ข้ารู้ว่าถ้าถาม ท่านก็จะไม่ให้ข้าทำ ใช่ไหมล่ะ?"

"ข้าเกลียดที่ท่านรู้ทันชะมัด"

อัศวินถอนใจที่ตัวเองตามอีกฝ่ายไม่ทัน พลันหันหน้าหนีหาเขตที่แสงสว่างส่องทอดลงไป จึงได้เห็นสิ่งที่ถูกปิดบังใต้เงามืดไม่นานนี้ คือทิวทัศน์เมืองอาคารตระหง่าน ที่มีตึกสูงกระจายในสายตา พาเขาขบคิดพิจารณาก่อนเอ่ยออกมา

"เมืองนี้ยังมีอาคารร้านไม้ แต่ไม่รู้ว่ายังเหลือคนอาศัยไหม?"

"ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราไม่เดินเข้าไป ให้คลายความฉงนสงสัยล่ะ?"

"บางทีข้าก็ไม่มั่นใจ ว่าท่านจงใจปั่นประสาทข้าหรือไร"

"ท่านอิโระระแวงข้าเกินไปแล้ว"

จูโนหัวเราะกับยิ้มตาปิด ทำให้อิโระรู้ว่าป่วยการที่จะเถียงอะไรต่อไป

"เอาเถอะ ข้าไม่ถือโทษโกรธอะไร ยังไงก็ไปกันเถอะ"

Chapitre suivant