webnovel

ตอนที่ ๗๔ การล้างแค้นเอาคืนขององค์หญิงอวี้หลันกับแม่ทัพหนุ่ม ๑.๑

จวนแม่ทัพ

 "ท่านอ๋องต่างหากที่ต้องวางมือจากเรื่องทั้งหมดนี้ซะเถิด"

 พอสิ้นเสียงของแม่ทัพหนุ่ม จางเก่อและเข่อลั่วที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่ก่อนงานเริ่มก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเหล่าทหารฝีมือดีของหน่วยพยัคฆ์ดำจำนวนหนึ่ง และพวกเขาก็ได้ใช้ปลายกระบี่จ่อไปที่ต้นคอของกลุ่มคนร้ายทั้งหมด โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

 เยี่ยอ๋องเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็รู้ทันทีว่าแผนการที่เขาได้วางไว้มันพังทลายลงไม่เป็นชิ้นดี จึงได้หันไปมองทางซ่งเฉาเกา ขุนนางคนสนิทด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่พบตัวเขาในตำแหน่งที่เจ้าตัวนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ จึงได้กวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความร้อนใจ และก็ได้พบว่าเขาไปยืนอยู่ข้างกายของบุรุษรูปงาม บัณฑิตเจ้าสำราญเรียบร้อยแล้ว

 เยี่ยอ๋องโกรธจัด เมื่อได้รู้ว่าตัวเองถูกขุนนางขั้นสามผู้นี้ทรยศหักหลังเสียแล้ว จึงยกมือขึ้นชี้หน้าเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะ

 "ซ่งเฉาเกา! เจ้าสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง นี่เจ้ากล้าทรยศหักหลังข้าอย่างนั้นรึ!"

 ซ่งเฉาเกาตอบสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อเยี่ยอ๋องแต่อย่างใด

 "ข้าต้องขออภัยต่อท่านอ๋องด้วย แต่ที่เรื่องราวมันกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะตัวท่าน หากท่านยอมยกคุณหนูเยี่ยให้เป็นภรรยาของข้า ตามที่ข้าได้ร้องขอไป ข้าก็คงไม่ทำเยี่ยงนี้"

 คำตอบของซ่งเฉาเกา ทำให้เยี่ยอ๋องบันดาลโทสะหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 "เจ้าแก่บ้าตัณหา เห็นเรื่องของอิสตรีสำคัญมากกว่าอำนาจที่ข้าจะมอบให้กระนั้นรึ"

 "เรื่องนั้นข้าคิดว่าคุณชายหยวนก็คงจะสามารถให้ข้าได้เช่นกัน" ขุนนางขั้นสามยังคงต่อปากต่อคำเยี่ยอ๋องกลับอย่างไม่ลดละ

 ทุกคนในห้องโถงต่างพากันยืนฟังเยี่ยอ๋องและซ่งเฉาเกาทะเลาะโต้เถียงแตกแยกกันอย่างตั้งใจ

 ฮ่องเต้ทรงรู้สึกผิดหวังและเสียพระทัยยิ่งนัก และทรงไม่อยากให้อะไรมันเลวร้ายไปกว่านี้ จึงได้ทรงหันไปตรัสกับเยี่ยอ๋อง เพื่อหวังช่วยบรรยากาศกดดันตรงหน้าให้คลายลง "เสด็จพี่ได้โปรดทรงพระทัยเย็นลงและวางมือจากเรื่องนี้เถิด อย่าให้เหตุการณ์มันบานปลาย จนต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อหรือบาดเจ็บล้มตายกันเลย เราในฐานะของฮ่องเต้ ขอรับปากต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่เอาผิดต่อท่านกับเหตุการณ์ในวันนี้อย่างแน่นอน"

 เยี่ยอ๋องได้ฟังพระดำรัสข้อเสนอขององค์ฮ่องเต้ แทนที่เขาจะใจเย็นลง แต่กลับหันไปมองพระพักตร์ของพระองค์ด้วยสายตาโกรธขึ้ง สองมือกำหมัดแน่น

 "ฮ่องเต้ขี้โรคและอ่อนแอเยี่ยงเจ้า ไม่ต้องมาออกคำสั่งหรือคิดยื่นข้อเสนออันใดต่อรองกับข้าให้เสียเวลา หากไร้ซึ่งวาสนาจริง ๆ วันนี้ไม่ข้าก็เจ้า! จะต้องแตกหักตายกันไปข้างหนึ่ง!" 

 "บังอาจยิ่งนัก!" 

 เฉากงกงตวาดเสียงดังใส่เยี่ยอ๋องกลับไปอย่างทันทีทันใด เพราะเจ้าตัวเพิ่งได้กล่าวถ้อยคำลบหลู่องค์ฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัลมากมายอย่างไม่ยำเกรงในพระอาญา

 จู่ ๆ หยวนจูวเย่ผู้ที่นั่งฟังอย่างเงียบงันมานานก็ได้ส่งเสียงหัวเราะดังร่าขึ้นอย่างขบขัน จนทุกสายตาหันไปมองทางเขาความรู้สึกประหลาดใจ

 ฮ่าฮ่าฮ่า....

 "ข้าฟังพวกท่านสนทนากันแล้วช่างรู้สึกขบขันยิ่งนัก คนหนึ่งต้องการอำนาจที่มิใช่ของตนมาไว้ในครอบครอง ถึงขนาดวางแผนเข่นฆ่าพี่น้องและหลานสาวได้! อีกคน...ก็มีข้าทาสบริพารที่แสนจงรักภักดี กระทั่งกล้าทำเรื่องสกปรกส่งคนไปลอบฆ่าหญิงชาวบ้านพร้อมกับลูกชายของนางให้ตายข้างถนนอย่างน่าอนาถ เพียงเพราะหวังจะสกัดคู่แข่งให้พ้นทางของผู้เป็นนาย ในการขึ้นครองบัลลังก์ตั่งทองนั่น"

 ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงขบขันของหยวนจูวเย่กลับฟังแล้วให้ความรู้สึกเศร้าเจ็บปวดแฝงอยู่ในนั้น

 ฮ่องเต้ทรงได้ฟังก็ทรงหันพระพักตร์ข้างไปมองหน้าขันทีคนสนิทด้วยพระเนตรสับสนและฉงนสงสัยในพระทัยยิ่งนัก

 "เฉากงกง สิ่งที่บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นได้กล่าวมาทั้งหมดนั่น มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน มีอะไรที่เจ้าปิดบังข้าอยู่อย่างงั้นรึ"

 เฉากงกงหน้าซีดเผือดและนั่งทรุดเข่าลงบนพื้นตรงเบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะรู้สึกผิดในการกระทำของตนเมื่อคราวอดีต

 "ฝ่าบาท! พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันได้ทำเรื่องผิดต่อพระองค์ ตามที่หยวนจูวเย่ผู้นั้นกล่าวมาจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ได้โปรดทรงสั่งลงโทษประหารหม่อมฉันด้วยเถิด"

 กล่าวจบ ขันทีเฒ่าก็โขกศีรษะของตนเองลงบนพื้นอย่างแรงติด ๆ กันหลายครั้ง ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของทุกคนในนั้น

 "ฝ่าบาท...สถานการณ์ตรงหน้าคับขันยิ่งนัก ขอพระองค์ทรงโปรดระงับโทสะเอาไว้ก่อน จบจากตรงนี้ พระองค์ค่อยสืบถามหาความและลงโทษเฉากงกงทีหลังก็ยังมิสายพ่ะย่ะค่ะ"

 หลงอี้หลิงได้กล่าวเสียงเข้มขึ้นเพื่อเตือนสติขององค์ฮ่องเต้ มิเช่นนั้นสถานการณ์คับขันตรงหน้าอาจจะแย่ไปมากกว่าเดิมและยากเกินกว่าที่ตัวเขาจะควบคุมได้

 หยวนจูวเย่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอและกล่าวสวนแทรกขึ้น ครั้งนี้น้ำเสียงเขาฟังแล้วเปลี่ยนไปจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง

 "หึ ๆ จบจากตรงนี้...นี่พวกเจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่กันได้กระนั้นรึ!"

 บุรุษรูปงามเปล่งเสียงเข้มดังกร้าวขึ้นไปทั่วห้องโถงภายในเรือนรับรองแห่งนี้ จากนั้นเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากตัวเสื้อด้านในของตน และชูขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็นพร้อม ๆ กัน

 เยี่ยอ๋องกับซ่งเฉาเการวมไปถึงถงเสี่ยวเถา ทั้งสามเห็นขวดแก้วสีขาวใบเล็กในมือของหยวนจูวเย่ พวกเขาก็มีสีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกโพลงขึ้น 

 "นะ นั่นมันผงปลิดวิญญาณของท่านอ๋องนี่เจ้าคะ" 

 สาวใช้ของเยี่ยชิงเซียวกล่าวอย่างลนลานเสียงดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนกตกใจหนักยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ พลางชี้มือไปยังบัณฑิตรูปงามผู้ที่กำลังถือขวดแก้วใบนั้น

 "หุบปากของเจ้าซะนางข้าทาสชั้นต่ำ" 

 เยี่ยอ๋องส่งเสียงตวาดไปยังสาวใช้ของบุตรสาวตนอย่างเกรี้ยวกราด ในใจก็เกิดความสงสัยไม่ต่างกัน

 'จริงสิ! ยัยเด็กนั่นเป็นคนบุกเข้ามาขโมยขวดนั่นไปจากห้องหนังสือของเรา แล้วตอนนี้มันไปอยู่ในมือของเขาได้เยี่ยงไร หรือว่าสองคนนี้ร่วมมือกัน...ว่าแต่หยวนจูวเย่ผู้นี้เป็นใครกันแน่และเขามีความโกรธแค้นอันใดกับฮ่องเต้และขันทีเฒ่ากัน'

 หยวนจูวเย่ได้เห็นปฏิกิริยาอันเดือดดาลของเยี่ยอ๋องที่แสดงออกกับ สาวใช้ผู้จงรักภักดีต่อจวนอ๋อง พานทำให้เขาหวนคิดถึงความทรงจำของตนเองกับมารดาเมื่อครั้งในอดีต จึงได้หมุนขวดแก้วในมือไปมาและกล่าวแทรกขึ้น 

 "ท่านอ๋องไม่ควรกล่าวตำหนิสาวใช้ผู้จงรักภักดีของท่านให้เหนื่อยเลย มิเช่นนั้น หากโรคความดันของท่านพานกำเริบขึ้นมา มันอาจจะทำให้หัวใจวายตายลงตรงนี้ได้นะ..."

 เยี่ยอ๋องฟังคำพูดของหยวนจูวเย่ เขายิ่งโกรธเดือดจัดมากกว่าเดิม เพราะกำลังถูกคนหนุ่มรุ่นลูกกล่าววาจาลูบคมตนเองอยู่อย่างท้าทาย

 "หยวนจูวเย่! เจ้าเป็นใครกันแน่ แล้วของสิ่งนั้นมันไปอยู่ในมือของเจ้าได้ยังไงกัน"

 หยวนจูวเย่ยิ้มอ่อนขึ้นบนใบหน้าอย่างพึงพอใจที่ได้เห็นความเดือดดาลนั้นของเยี่ยอ๋อง นาทีต่อมาคุณชายรูปงามก็ชูขวดแก้วในมือขึ้นและยื่นออกไปทางด้านหน้า 

 "ท่านอ๋องอย่างเพิ่งโกรธไป ข้าเป็นเพียงสามัญชนผู้ต่ำต้อย บังเอิญโชคดีที่ได้เจอกับขุนนางผู้มีจิตใจเมตตาให้การช่วยเหลือรับและข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมก็เท่านั้น"

 ในขณะที่หยวนจูวเย่กำลังตอบคำถามของเยี่ยอ๋องนั้น แม่ทัพหนุ่มกับฮ่องเต้ต่างก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ

 "...ส่วนเรื่องที่ว่าข้าได้สิ่งนี้มาอยู่ในมือนั้นได้ยังไง ตอนนี้มันก็คงไม่สำคัญแล้วกระมัง"

 บุรุษรูปงามหยุดพูดไปครู่หนึ่งและเผยแววตาดุดันออกมา รังสีอำมหิตแผ่ออกมาโดยผ่านทางน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกนั้น

 "...ข้าได้สั่งให้คนผสมผงปลิดวิญญาณลงไปในอาหารและเครื่องดื่มที่มีภายในงานวันนี้เรียบร้อยแล้ว"

น้ำเสียงของเขาฟังแล้วช่างเย็นชาและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียววูบวาบไปทั่วแผ่นหลังจริง ๆ 

 เมื่อทุกคนภายในห้องนั้นได้ฟัง ต่างก็พากันยกมือขึ้นมาลูบสัมผัสยังลำคอของตนเอง รวมทั้งซ่งเฉาเกาก็ด้วยเช่นกัน

 "ผงปลิดวิญญาณอย่างงั้นรึ มันคืออะไรกัน"

 "หรือว่ามันเป็นยาพิษ!"

 พวกเขาพากันส่งเสียงดังอึ้งอึงขึ้นอย่างตระหนกตกใจกลัวยิ่งกว่ากลัวคมดาบที่กำลังจ่อปลายคอในตอนนี้เสียอีก

 แม้กระทั่งองค์ฮ่องเต้ เฉากงกง หลงฮูหยิน ไม่เว้นแม้แต่เยี่ยอ๋องเอง ต่างก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างชัดเจน 

 จู่ ๆ ถงเสี่ยวเถา ก็เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับนายสาว ซึ่งก่อนหน้านี้นางเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่อ นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่ตอนนี้นางกลับยืนสั่นไปทั้งตัว และส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาจากในลำคอ และค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคนที่เสียสติไปแล้ว

 หึ หึ หึ....

 สาวใช้ตกใจกลัวจนรีบชักมือที่กำลังจับแขนของนายสาวกลับเข้าหาตัวและเอ่ยถามเสียงสั่น พร้อมกับถอยห่างร่นไปทางด้านข้างสองก้าว

 "คะ คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้ากลัวสิเจ้าคะ"

 พอสิ้นคำพูดของสาวใช้ เสียงหัวเราะของเจ้าสาวก็เงียบเสียงลง ทุกสายตาที่เคยสนใจเยี่ยอ๋องและหยวนจูวเย่ต่างพากันเบนเข็มหันไปจับจ้องมองสตรีชุดแดงอย่างไม่วางตา

  วินาทีนี้เหมือนเวลาได้หยุดลง แม้แต่เสียงของลมหายใจก็เหมือนจะหยุดชะงักไปด้วย

 ดวงตาทุกคู่ต่างจ้องมองไปยังเจ้าสาวผู้แสนงดงามของวันนี้ ท่ามกลางความสงสัยและความประหลาดใจระคนกัน 

 ความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัยและคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน

 นิ้วมือเรียวเล็กจับไปยังตรงปลายผ้าคลุมสีแดงผืนบาง และค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ 

 ชั่วอึดใจก็เผยให้เห็นปลายคางเรียวคมของเจ้าสาว และรอยยิ้มอัน แยบยลแสนเจ้าเล่ห์บนดวงหน้างาม 

  อนิจจา! 

 เจ้าสาวของแม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นโหย่วได้เสียสติไปแล้วจริง ๆ กระนั้นหรือนี่

....

เซียงไค 盛開

Chapitre suivant