webnovel

ตอนที่ ๗๑ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

เรือนหลงหลิง

 กำหนดวันแต่งงานของหลงอี้หลิงกับเยี่ยชิงเซียวจะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลใจหนักอยู่ในขณะนี้ คือเรื่องของฟ่งหลันหลั่น

 ในขณะที่แม่ทัพกำลังนั่งตรวจงานอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ภายในห้องหนังสือของตน มือก็หยิบนั่นจับนี่สับเปลี่ยนมาดู แถมยังผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็เดินวนไปมาอย่างกระวนกระวายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีสมาธิเอาเสียเลย

 จางเก่อหอบเอกสารชุดหนึ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือ และเห็นอากัปกิริยาร้อนรนใจของผู้เป็นนายซึ่งแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว สีหน้าดูอิดโรยมาก เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย

 "นายน้อย ทำไมสีหน้าของท่านดูซีดเซียวอิดโรยขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าท่านยังไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว"

 "จางเก่อ เจ้าจะให้ข้าใจเย็นอยู่ได้ยังไง นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วแต่เข่อลั่วยังไม่ได้ส่งข่าวของนางมาสักที"

 แม่ทัพหนุ่มตอบลูกน้อยกลับด้วยน้ำเสียงเขียว ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความกลัดกลุ้มของเขา สองขายังคงเดินวนกลับไปกลับมา และในขณะที่พูด เขาก็ไม่ได้หันมามองหน้าลูกน้องเลย

 กระทั่งจางเก่อ เขาก็ยังไม่ได้รับข่าวใด ๆ จากเข่อลั่วเช่นกัน และแม้ว่าจะกังวลในความปลอดภัยของทั้งสองคน แต่ตอนนี้เขามีงานสำคัญตามที่แม่ทัพหนุ่มมอบหมายให้ไปจัดการ จึงไม่มีเวลาไปตามเรื่องของเข่อลั่วกับสตรีน้อย

 ในขณะที่จางเก่อยืนมองนายน้อยของตน ที่ยังคงไม่ยอมหยุดเดินเสียที จนตัวเขาเองเวียนหัวยิ่งนัก เสียงของเข่อลั่วก็ดังผ่านประตูห้องหนังสือที่เปิดกว้างอยู่ ลอยเข้ามาในห้อง

 "นายน้อย! ข้ากลับมาแล้วขอรับ" เข่อลั่วส่งเสียงทักทายพร้อมกับก้าวขาฉับ ๆ เดินเข้ามาในห้องหนังสือ 

 แม่ทัพหนุ่มหันไปมองและเผยสีหน้างุนงง เพราะเข่อลั่วควรจะอยู่ที่เมืองจิ่วกับฟ่งหลันหลั่น แต่นายกองร่างท้วมดันมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเป็น ๆ จึงรีบถามขึ้นอย่างสงสัย

 "เข่อลั่วเจ้าควรอยู่ที่เมืองจิ่วกับฟ่งหลันหลั่นมิใช่รึ!" ปากพูดแต่สายตากลับมองข้ามหัวลูกน้องไปทางด้านหลังของเจ้าตัว

 เข่อลั่วได้ยินคำถามของผู้เป็นนาย เขาก็แสดงสีหน้ากังวลใจในการตอบออกมา

 "ข้าไปถึงเมืองจิ่วและสอบถามคนที่หอมู่ต๋าเกี่ยวกับแม่นางฟ่งแล้วขอรับ แต่พวกเขาบอกว่านางไม่ได้ไปที่นั่น และข้าก็ได้ตามไปตรวจสอบถึงป่าไผ่ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกระท่อมน้อยของแม่นางฟ่ง แต่ก็พบไม่เจอผู้ใดแม้แต่เงาเลยขอรับ" 

 สิ่งที่เข่อลั่วกล่าวออกมา ทำให้หลงอี้หลิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีกลายเป็นโกรธขึ้ง 

 เขายืนนิ่งเงียบไปนานพักใหญ่ ด้านจางเก่อรู้สึกกังวลใจ จึงคิดหาคำพูดเพื่อให้นายน้อยได้คลายความกลัดกลุ้มในใจลงได้บ้าง

 "นายน้อยอย่าเพิ่งกังวลอะไรไป บางทีแม่นางฟ่งอาจจะต้องการเวลาทำความเข้าใจในเรื่องที่ท่านได้บอกไปก่อนหน้านี้ อีกอย่างนางเป็นฉลาด ข้าเชื่อว่านางคงไม่เอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสียงหรอก"

 จางเก่อพยายามพูดปลอบใจนายน้อยของตน แต่แล้วความพยายามของเขาก็ถูกทำลายลงโดยสหายสนิท คนที่กำลังยืนอยู่ข้างตัวเขา

 เข่อลั่วไม่ได้คิดเช่นเดียวกับที่จางเก่อคิด 

 "จางเก่อ เจ้าจะลืมไปแล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่นางฟ่งเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจนแทบนับครั้งไม่ได้แล้ว" 

 เข่อลั่วเป็นพวกที่มีนิสัยพูดไม่คิด และคำพูดนี้ของเขายิ่งสร้างความกังวลให้กับผู้เป็นนายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

 แม่ทัพหนุ่มได้ฟังลูกน้องทั้งสองคนสนทนากัน ความคิดในหัวของเขาก็เริ่มว้าวุ่นและสับสนยิ่งนัก 

 "ข้าจะออกไปตามหานาง" หลงอี้หลิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ และหันขวับเพื่อจะเดินออกไปจากห้องหนังสือ

 จางเก่อนำเอกสารในมือไปกองลงบนโต๊ะ และหันขวับรีบวิ่งไปดึงมือของผู้เป็นนายไว้เพื่อห้ามปราม

 "ไม่ได้นะขอรับ ตอนนี้นายน้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จ ท่านจะทิ้งไปกลางคันเยี่ยงนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นทุกอย่างที่พวกเราเตรียมไว้ก็จะพังทลายลง และนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายด้วยซ้ำไป"

 จางเก่อกล่าวทัดทานผู้เป็นนาย เพื่อหวังเตือนสติเขาให้ใจเย็น ๆ เพราะหน้าที่ปกป้องความสงบสุขของบ้านเมือง ย่อมมีความสำคัญมากกว่าเรื่องส่วนตัว

 "แต่ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง" แม่ทัพหนุ่มกล่าวขึ้น น้ำเสียงที่เปล่งออกมา ฟังออกได้ชัดเจนว่าเขานั้นกังวลใจมากจริง ๆ 

 "ข้าสองคนรู้เรื่องนั้นดี และพวกเราก็เป็นห่วงแม่นางฟ่งเช่นกัน แต่วันพรุ่งนี้งานแต่งงานของท่านกับคุณหนูเยี่ย ก็จะถูกจัดขึ้นแล้ว ขอนายน้อยโปรดใช้สติตรองดูเถิด ว่าในเวลาเช่นนี้ สิ่งไหนสำคัญกว่ากันที่สุด"

 จางเก่อทำงานกับหลงอี้หลิงมานานหลายปี ดังนั้นเขาย่อมรู้จักนิสัยและเข้าใจความคิดนายผู้นี้เป็นอย่างดีเช่นกัน แม้เขาจะไม่มีครอบครัว แต่เรื่องของหัวใจ เขารู้ดีว่ามันยากที่จะทำใจได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่พูดเตือนสติ และที่เหลือก็ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดตัดสินใจเลือกทางเดินเอง

 แม่ทัพหนุ่มได้ฟังสิ่งที่จางเก่อกล่าวมาทั้งหมด เขาก็ได้สติเล็กน้อย และไม่อาจจะปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นของลูกน้องได้ เพราะเขาได้กล่าวถูกต้องทุกอย่าง

 เข่อลั่วรู้สึกทุกข์ใจ เมื่อเห็นนายน้อยของตนอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่รู้จะเลือกทางไหนดี เขาจึงอาสาออกไปตามหาตัวฟ่งหลันหลั่นด้วยตัวเอง

 "นายน้อยอยู่จัดการทุกอย่างที่นี่ตามแผนเดิมเถิด ส่วนเรื่องของแม่นางฟ่ง ข้าขอใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน ไม่ว่าจะทำวิธีใด ข้าก็จะตามหานางให้เจอโดยเร็วที่สุด ข้าท่านได้โปรดเชื่อใจและวางใจในตัวข้าด้วย"

 เข่อลั่วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และไม่มีครั้งไหนที่เขาแสดงท่าทีขึงขังจริงจัง ได้เท่าครั้งนี้แล้ว ยกเว้นเวลาออกศึกสู้รบกับศัตรู

 หลงอี้หลิงหันไปมองหน้าเข่อลั่ว แววตาของเขาฉายแววไม่มั่นใจในตัวนายกองร่างท้วมผู้นี้ เพราะถึงจะเป็นเข่อลั่วก็ยากที่จะตามหาฟ่งหลันหลั่นเจอได้ง่ายดาย หากนางต้องการจะหลบซ่อนตัวจากทุกคนจริง ๆ

 ในขณะที่นายกองทั้งสองคนกำลังยืนรอฟังคำตอบจากผู้เป็นนาย ว่าเขานั้นได้ตัดสินใจยังไง

 "หากแม้แต่คนที่ตัวเองรักข้ายังปกป้องไม่ได้ แล้วข้าจะปกป้องผู้คนและแผ่นดินนี้ได้เยี่ยงไรกัน"

 แม่ทัพหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม และแววตาจริงจัง วินาทีต่อมาเขาก็หุนหันพลันแล่น เดินออกไปจากห้องอย่างร้อนใจทันที

 จางเก่อและเข่อลั่วได้ยินนายน้อยของตนกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นเช่นนั้น พวกเขาก็หันมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันขวับและวิ่งตามหลังแม่ทัพหนุ่มไปด้วยความรวดเร็ว

 โดยจางเก่อวิ่งนำหน้าและเข่อลั่ววิ่งรั้งท้ายตามไปติด ๆ พร้อมกับตะโกนเสียงดังไล่ตามหลังทั้งสองคน

 "นายน้อยรอพวกข้าด้วย"

  เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม แม่ทัพหนุ่มและนายกองทั้งสองต่างพากันวิ่งวุ่นไปทั่วเมืองหลวง ตามตรอกซอกซอย และสถานที่ทุกแห่ง ที่พวกเขาคาดว่าฟ่งหลันหลั่นจะไป แต่ก็ไม่เจอตัวนางเลย สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้หลงอี้หลิงกังวลใจและเป็นห่วงในความปลอดภัยของฟ่งหลันหลั่นจนแทบจะคลั่งออกมาแล้ว

  ตัดกลับมาทางด้านฟ่งหลันหลั่น ซึ่งถูกหยวนจูวเย่สั่งให้คนขังไว้นางยังสถานที่แห่งหนึ่ง และเวลาก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วที่นางต้องอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จนตอนนี้มือและเท้าเป็นเหน็บชาหนักมาก

 "หลงอี้หลิง ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าถูกขังอยู่ที่นี่ หรือว่าท่านกำลังตระเตรียมงานแต่งงานของท่านอย่างกระตือรือร้นกันอยู่นะ...หากท่านรีบมาช่วยข้าก่อนที่เหน็บชานี้จะทำให้ขาทั้งสองข้างของข้าเป็นอัมพาตไป ข้าจะให้อภัยท่านทุกเรื่องที่พวกเราได้ทะเลาะกันก่อนหน้านี้เลย รีบมาช่วยข้าเร็ว ๆ เข้า...หลงอี้หลิง!"

 สตรีน้อยพูดรำพึงรำพันถึงแม่ทัพหนุ่ม อยู่ในท่านอนตะแคงข้างอยู่บนพื้น ด้วยสภาพถูกมัดมือมัดเท้าและลำตัวผูกติดกับเก้าอี้ 

 จิ๊ด จิ๊ด จิ๊ด...

 ในขณะที่สตรีน้อยกำลังรอคอยความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวัง นางก็ได้ยินเสียงของเจ้าหนูน้อยดังขึ้นมาใกล้ตัว จึงรีบกวาดสายตามองหามันอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว เพราะส่วนตัวนางเป็นคนที่กลัวสัตว์ประเภทนี้มาก ทั้ง ๆ ที่มันตัวนิดเดียว

 ทันใดนั้น สายตาของฟ่งหลันหลั่นก็เหลือบมองไปเห็นเจ้าหนูตัวอ้วนและมีขนาดโตเกือบเท่าลูกมีแมวน้อย ขนที่ห่อหุ้มลำตัวของมันมีสีดำและดูสกปรกมาก โดยที่มันกำลังวิ่งออกมาจากซอกหลืบด้านข้างตรงกองฟืนที่วางทับซ้อนกันอยู่

 และตอนนี้มันกำลังวิ่งพุ่งตรงมาตำแหน่งที่ทางใบหน้าของฟ่งหลันหลั่นวางแนบอยู่บนพื้นที่เขรอะไปด้วยฝุ่น

 "ไม่นะ! แกอย่ามาทางนี้นะ ชิ้ว! วิ่งไปทางโน้นโน่น ไป!"

 สตรีน้อยพยายามส่งเสียงไล่เจ้าหนูตัวอ้วนให้วิ่งไปทางอื่น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจฟังในสิ่งที่นางกำลังสื่อสารออกมา

 และจังหวะที่เจ้าหนูตัวอ้วนเร่งสปีดฝีเท้า วิ่งพุ่งตรงมาทางนางเหมือนกับจะประชดประชัน ฟ่งหลันหลั่นก็แหกปากร้องตะโกนลั่นขึ้นด้วยความตกใจกลัวสุดขีด

 "ไม่นะ! อย่าเข้ามานะ!"

 ลูกน้องชายฉกรรจ์สองคนของหยวนจูวเย่ ซึ่งยืนเฝ้าขวางประตูอยู่ทางด้านนอก พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ได้ยินเสียงร้องของสตรีที่ทุกขังในห้อง จึงหันมองหน้ากัน

 "เจ้าว่าพวกเราควรเข้าไปดูดีหรือไม่ เสียงร้องแหกปากดังอย่างหวาดกลัวขนาดนั้น บางทีอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้านในก็ได้"

 ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถามความเห็นจากสหายด้วยความไม่มั่นใจว่าจะทำเช่นไร 

 ชายฉกรรจ์ซึ่งดูมีหน้าตาเหี้ยมเกรียมมากกว่าอีกคน ยืนเงียบและเผยสีหน้าครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดกลอนประตูนั้นออกและผลักมันเข้าไปข้างใน 

 ผ่าง!

 แต่เมื่อประตูถูกเปิดออกและทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างใน กลับเห็นว่าสตรีที่ถูกจับมา นอนตะแคงข้างกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับเก้าอี้ตัวที่พวกเขาผู้มัดติดไว้กับตัวนาง 

 "พี่ชายทั้งสอง พวกเราไม่เคยมีความแค้นต่อกัน พวกท่านช่วยปล่อยตัวข้าไปจะได้หรือไม่ ข้ารับปากว่าถ้าพวกท่านยอมช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ นายของข้าจะต้องตอบแทนในน้ำใจของพวกท่านอย่างคุ้มค่าแน่นอน"

 แม้ว่าข้อเสนอของฟ่งหลันหลั่นจะฟังดูน่าสนใจ เพราะชายสองคนนี้รู้ดีว่านายผู้นั้นที่นางกล่าวถึงเป็นผู้ใด

 แต่ทว่าคำขู่จากผู้คุ้มครองของหยวนจูวเย่มันค้ำคอพวกเขาอยู่ เพราะคนผู้นั้นเด็ดขาดเพียงใด

 ชายฉกรรจ์คนที่มีใบหน้าตาค่อนข้างเหี้ยมเกรียมมากกว่าอีกคน จึงไม่สนใจในคำต่อรองของสตรีน้อย และรีบสำรวจภายในห้องนั้น เพื่อหาสาเหตุว่านางผู้นี้หวาดกลัวสิ่งใดจนถึงขนาดร้องดังลั่นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

 ทันใดนั้นเอง สายตาของเขาได้เหลือบมองไปเห็นหนูตัวอ้วนกำลังวิ่งกลับเข้าไปในซอกหลืบดังเดิม เขาจึงเดาสถานการณ์ภายในห้องก่อนหน้านี้ออก

 "กะอีแค่หนูสกปรกตัวเดียว ทำเป็นร้องแหกปากเสียงดังไปได้" 

 เขากล่าวขึ้นด้วยถ้อยคำหยาบคาย และหันขวับจะเดินออกไปจากห้องนั้น 

 ส่วนชายฉกรรจ์อีกคนเห็นสภาพของฟ่งหลันหลั่น เขาก็รู้สึกเห็นใจ จึงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ลังเลใจอยู่ว่าตนควรจะทำเช่นไร 

 "นี่ท่านจะปล่อยแม่นางคนนี้ไว้สภาพนี้กระนั้นหรือ หากคุณชายรู้เข้า คงไม่ชอบใจเป็นแน่"

 เขาไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง จึงได้ยกเรื่องของหยวนจูวเย่ขึ้นเพื่อขู่ให้ชายฉกรรจ์อีกคนฉุกคิด

 "เจ้าอยากทำอะไรก็เชิญ แต่หากนางหนีรอดไปได้จากที่นี่ เจ้าก็เตรียมคอนั้นของเจ้าไว้รอรับคมดาบของเขาเองก็แล้วกัน"

 ชายคนที่ยืนอยู่ใกล้ประตูได้ตอบแกมขู่กลับมา พูดจบเขาก็เดินตัวแข็งทื่อออกไป และปล่อยให้เพื่อร่วมงานอีกคนตัดสินใจเอาเอง

 ชายฉกรรจ์อีกคนเมื่อได้ฟังเพื่อกล่าวเช่นนั้น เขาก็ยกมือขึ้นมาลูบที่ลำคอของเขาด้วยความรู้สึกเสียววูบวาบ เมื่อนึกถึงคำขู่จากผู้คุ้มของหยวน-จูวเย่ที่ได้กล่าวไว้ก่อนจากไป แต่พอชายตามองไปยังสตรีน้อยตรงพื้นใกล้ ๆ กัน เขาก็มิอาจก้าวขาเดินออกไปจากห้องโดยไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างก่อนจากไป

 เมื่อเขาตัดสินใจได้จึงเดินดุ่ม ๆ ไปพยุงตัวฟ่งหลันหลั่นพร้อมกับจับเก้าอี้ที่ผูกติดตัวของนางให้ตั้งไว้ในสภาพเดิม และจังหวะที่เขาจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง สตรีน้อยก็ได้ร้องตามหลังเขา

 "พี่ชาย ยังไงซะพวกท่านก็ยืนขวางอยู่ตรงหน้าประตูทางด้านนอกห้องนั้น ไหน ๆ ท่านก็มีน้ำใจช่วยข้าแล้ว ช่วยข้าอีกสักนิดเถิดถึงข้ามีปีก ข้าก็คงบินหนีไปไม่รอด ถ้ายังไงพี่ชายช่วยแก้ปมเชือกที่ขาของข้าได้หรือไม่ เพราะตอนนี้เหน็บมันกินแข้งขาข้าจนแทบจะเป็นอัมพาตให้ได้แล้ว" 

 ชายผู้นั้นได้ฟังคำร้องขออ้อนวอนของสตรีน้อย เขาก็หันกลับมาและเผยแววตาลังเลใจ 

 ฟ่งหลันหลั่นมองเห็นถึงความใจอ่อนของชายคนนี้ นางจึงอ้อนวอนเขาขึ้นอีกครั้ง 

 "นะพี่ชาย ได้โปรดช่วยแก้มัดให้ข้าที แค่ตรงที่ขาก็ได้ ได้โปรด"

 บุรุษแม้จะเป็นผู้มีกำลังกายที่แข็งแรง แต่ก็ต้องแพ้พ่ายให้กับมารยาของอิสตรี เมื่อเจอแววตากลมโตใสแป๋วจากดวงหน้างามจ้องมองมา ผนวกกับน้ำเสียงหวานอ้อนวอนเช่นนั้น เขาก็ใจอ่อนจนได้ 

 เขานั่งลงตรงเบื้องหน้าของสตรีน้อย และคลายปมเชือกออกเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันเหนี่ยวรั้งจนเกินไป จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับกล่าวกับนาง

 "ข้าคงช่วยเจ้าได้เพียงแค่นี้ หากไม่อยากเจ็บตัวก็ช่วยนั่งเงียบ ๆ รอจนถึงเย็นวันพรุ่งนี้เถิด มิเช่นนั้นหากเจ้านั่นมันเกิดโมโหขึ้นมามากกว่านี้ ถึงตอนนั้นข้าเองก็คงจะช่วยอะไรท่านไม่ได้"

 พูดจบ ชายฉกรรจ์ก็หันหลังขวับและเดินข้าฉับ ๆ ออกไปจากห้องนั้น และปิดประตูลงกลอนจากทางด้านนอกดังเดิม

 "รอจนถึงเย็นวันพรุ่งนี้...? หมายความว่าหยวนจูวเย่กำลังคิดวางแผนจะใช้ผงปลิดวิญญาณในงานแต่งงานของหลงอี้หลิงสินะ พรุ่งนี้องค์ฮ่องเต้ต้องเสด็จมาร่วมงานแน่ แย่แล้ว! เราต้องรีบหาทางหนีออกไปจากที่นี่และรีบไปเตือนพวกเขา"

 ฟ่งหลันหลั่นครุ่นคิดและเริ่มกังวลใจอย่างมาก เมื่อนางลองคาดเดาถึงแผนการของหยวนจูวเย่ และมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายตามที่นางเพิ่งประเมินออกมา

 สถานการณ์คับขันเช่นนี้ หากนั่งคงรอให้มีคนมาช่วย ในพรุ่งนี้คงจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เป็นแน่

 สตรีน้อยไม่รอช้าหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาช่องทางหลบหนี และพยายามสะบัดมือและออกแรงแยกขาของตัวเองให้ห่างออกจากกันเพื่อหวังว่าปมเชือกนั้นจะหลุด

....

เซียงไค 盛開

Chapitre suivant