webnovel

0615

บทที่ 615 : กลอนบทน้อยของปิงซินมาแล้ว!

_________________________________________

กลางวัน

ไช่ซื่อโค่ว นอกอะพาร์ตเมนต์เก่าแก่ของพ่อแม่จางเย่

เสี่ยวเสวียขับรถจักรยานไฟฟ้าของเธอด้วยความเร็วรี่รีบไปให้ถึงที่หมาย กระเป๋าใส่อุปกรณ์สัมภาษณ์กระเด้งไปมาอยู่บนแผ่นหลัง เส้นผมพันกันกระเซอะกระเซิงด้วยแรงลม ในที่สุดเธอก็เห็นประตูของเขตที่อยู่อาศัยสักที เธอรีบกดเบรกมือแทบไม่ทัน เมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อจำนวนมากกำลังแบกกล้องรอกันอยู่หน้าประตู ไม่ว่าจะปักกิ่งไทมส์ ปักกิ่งมอร์นิ่งโพสต์ นักข่าวจากเหอเป่ย รวมทั้งหนังสือพิมพ์ยุวชนชาติรายวัน!

หือ ทำไมคนเยอะจัง?

จบกัน วันนี้ไม่ได้สัมภาษณ์แหง!

คนมาขวางประตูเยอะขนาดนี้ จางเย่จะโผล่หน้ามาได้ยังไงยะ!

เสี่ยวเสวียลงจากรถอย่างปลงๆ เดิมทีเธอไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเมื่อเช้านี้ทางหนังสือพิมพ์มอบหมายหน้าที่ให้เธอมาสัมภาษณ์จางเย่

ในฐานะที่เธอเป็นนักข่าวสายบันเทิง แม้จะเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาแค่ครึ่งปี แต่เธอก็ผ่านประสบการณ์สัมภาษณ์ใหญ่น้อยมานับไม่ถ้วน จึงทราบดีว่าการเป็นนักข่าวบันเทิงนั้นลำบากจริงๆ แม้จะแค่สัมภาษณ์ดาราเล็กๆ บางคนได้ง่ายๆ แต่นั่นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพราะไม่อาจช่วงชิงพื้นที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ได้! หากต้องการหน้าหนึ่งหน้าสอง ก็ได้แต่ต้องสัมภาษณ์ดาราใหญ่ถึงจะพอไหว

ดาราระดับ B คืออะไร? คือดาราที่รู้จักกันทั่วประเทศ สำหรับการสัมภาษณ์ดาราระดับ B นั้นพบได้หวังไม่ได้ เพราะต้องมีข่าว มีหนทาง มีคนใน ทั้งยังต้องรู้จักสืบเสาะ มีหมาก มีแผน มีทักษะในการสื่อสาร บางทีถึงขั้นต้องปีนตึกเกาะกำแพง ขึ้นลงหาทางทำให้ได้ กล่าวได้ว่ากว่าจะได้สัมภาษณ์ดาราในระดับนี้ นับว่ายากเย็นยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก!

"เสี่ยวเสวีย!" ชายวัยกลางคนหนึ่งตะโกนเรียกเธอ

เสี่ยวเสวียล็อครถ วิ่งเข้าไปหาทันที "พี่อาน!"

พี่อานกำลังแบกกล้องอยู่พอดี "ทำไมถึงมาสายแบบนี้?"

"รถเสียกลางทางค่ะพี่อาน ขอโทษนะคะ" เสี่ยวเสวียกล่าวขอโทษขอโพย

พี่อานโบกมือ "มาเร็ว พวกเราไปหาที่กัน เผื่อจางเย่หรือพ่อกับแม่เขาโผล่หน้าออกมา พวกเราต้องเบียดกันเข้าไป ต้องชิงที่ดีๆ มาให้ได้ เร็วเข้าสิ!"

เสี่ยวเสวียอดกล่าวไม่ได้ว่า "จางเย่ไม่น่าจะโผล่มาได้มั้ง?"

พี่อานกลับถามอย่างแปลกใจ "หืม ทำไม?"

"คนเขาเป็นดาราใหญ่ ยังจะให้สัมภาษณ์ง่ายๆ เหรอ? ที่อยู่ตรงนี้ใช่แน่เหรอคะ? สื่อรู้กันทุกช่องแบบนี้ จางเย่ยังจะอยู่นี่ได้ยังไง?" เสี่ยวเสวียท้วง

ด้านข้าง ตากล้องหนุ่มใหญ่จากสำนักพิมพ์อื่นทักขึ้น "แม่หนู มาใหม่เหรอ?"

"คะ?" เสี่ยวเสวียหันไปมองงงๆ

คนที่กล่าวกับเธอด้วยอีกคนเป็นนักข่าวหญิงวัยสี่สิบกว่า "ถ้าสัมภาษณ์ดาราระดับ A ระดับ B คนอื่นในเวลาส่วนตัวหรือสถานที่นอกงานล่ะก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก ขนาดดาราระดับ C กับ D ยังไม่ได้เลย แต่จางเย่น่ะแปลก เขาไม่เคยหลบกล้องสักครั้ง หากพูดถึงคนดังตั้งแต่ระดับ D ขึ้นมาล่ะก็ จางเย่น่ะสัมภาษณ์ง่ายที่สุดแล้วนะยัยหนู จุๆ อย่าไปเจอเขาตอนอารมณ์ไม่ดีหรือไปเคาะบ้านรบกวนชีวิตประจำวันเขาก็พอ ขอแค่ตรงมาสัมภาษณ์ เขาก็ต้องตอบอะไรสักคำสองคำแน่ๆ"

เสี่ยวเสวียแปลกใจ "จางเย่ให้สัมภาษณ์ง่าย? ไหนข่าวว่านิสัยเขาเหม็นโฉ่ขนาดนั้นไงคะ ขยับทีด่าคนนี้ด่าคนนู้นยับ"

นักข่าวหญิงหัวเราะอย่างเอ็นดู "ยัยหนู เธออย่าไปหาเรื่องเขาก็ใช้ได้แล้ว จางเย่น่ะพูดดีกว่าที่เธอคิดนะ เขาน่ะไม่เหมือนดาราคนอื่นๆ เลยสักนิด"

พี่อานกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี "ไม่เหมือนกันเลยจริงๆ !"

จังหวะนั้นเอง พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น!

"มาแล้ว!"

"ออกมาแล้ว!"

"จางเย่!"

"เร็วๆๆๆ!"

"อาจารย์จาง!"

คล้ายดังมีลมบ้าหมูพัดผ่าน สิ้นเสียงตะโกน สื่อทั้งยี่สิบกว่าเจ้าพลันพร้อมใจกันพุ่งเข้าไปหา พี่อานเป็นหนึ่งในแกนนำ เสี่ยวเสวียช้ากว่าก้าวหนึ่ง แต่ก็รีบตามขึ้นไปจนทัน

จางเย่พาดผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งไว้ที่คอ เพิ่งวิ่งเหยาะๆ มาตามระเบียงทางเดินได้สักยี่สิบเมตรก็โดนเหล่านักข่าวรุมล้อม ขยับไปไหนต่อไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว เขาได้แต่หยุดนิ่ง ยกมือขึ้นทักทาย "ผมหาโอกาสออกกำลังกายตอนเช้าก็ยากเย็นแล้ว ขอทุกท่านเปิดทางสักครั้งเถอะครับ ให้ผมได้วิ่งสักรอบไม่ได้เหรอ?"

นักข่าวหญิงคนก่อนหน้านั้นกล่าว "อาจารย์จาง ฉันมาตั้งแต่ตีห้าเชียวนะ ตอนนี้ลืมตาแทบไม่ขึ้น คุณให้เวลาพวกเราสักไม่กี่นาทีไม่ได้เหรอ?"

นักข่าวสาวอีกคนกล่าวสัมทับ "นั่นสิคะอาจารย์จาง ถ้าวันนี้ไม่ได้สัมภาษณ์คุณ ฉันก็จนปัญญาจะกลับไปรายงานหัวหน้านะคะ ต้องโดนด่าเละแหงๆ"

หากเป็นดาราคนอื่นๆ การนัดสัมภาษณ์นั้นยังพอทำได้ ไม่จำเป็นต้องมาออกันที่ประตูแบบนี้หรอก แต่เป็นเพราะจางเย่นั้นต่างไป เขาไม่มีผู้จัดการส่วนตัว หนำซ้ำตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่งานประจำ จึงทำให้สื่อมีปัญหาเวลาติดต่อกับเขา นอกจากนี้จางเย่ยังได้ขึ้นทำเนียบคนดังระดับ B ในตอนที่คาดไม่ถึง ด้วยการก้าวขึ้นไปกะทันหันในตอนเที่ยงคืนวาน บรรดาสื่อจึงไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ทุกคนกระหืดกระหอบมาออกันถึงที่นี่แต่เช้าตรู่ อีกอย่างการสัมภาษณ์แบบนี้ ดีที่สุดคือทำในช่วงเหตุการณ์นั้นๆ ทันที เรื่องเกิดขึ้นวันนี้ ถ้าเกิดต้องมานั่งรอคิว รอเวลา จัดสถานที่ นั่นนับว่าช้าไปแปดร้อยปีแล้ว ผ่านไปหลายวันยังจะเรียกว่าข่าวได้อีกหรือ? ข่าวต้องเน้นนำเสนอให้ทันท่วงทีสิ!

เหล่านักข่าวพูดกันวุ่นๆ วายๆ

จางเย่จนปัญญา ได้แต่กล่าว "เอาล่ะ งั้นก็ห้านาที พวกคุณถามเถอะครับ"

เสี่ยวเสวีย "..." เหย*! อาจารย์จางคุยด้วยง่ายจริงๆ เว้ย!

พี่อานไวที่สุด จางเย่เพิ่งพูดจบเขาก็รีบยิงเปิดประเด็น "อันดับแรกต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะครับอาจารย์จาง ในทำเนียบล่าสุดคุณได้เป็นคนดังในทำเนียบระดับ B แล้ว"

จางเย่หัวเราะ "ขอบคุณครับๆ"

พี่อานกล่าวต่อ "ตอนนี้คนเขาว่ากันมาก ว่าคุณเป็นดาราที่สร้างชื่อเสียงได้รวดเร็วที่สุดในช่วงหลายปีนี้ จากไร้ชื่อไร้เสียงจนมาถึงระดับ B คุณใช้เวลาแค่ปีกว่าเท่านั้น ขณะที่คนดังคนอื่นๆ ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังมาไม่ถึง คุณแค่ชั่วพริบตาก็ทำได้แล้ว"

"ชั่วพริบตา?" จางเย่ทวนคำ

นักข่าวของหัวตงรายวันถามแทรกขึ้นมา "ไม่ทราบว่าคุณได้เห็นหรือยังว่าในเน็ตมีชาวโซเชียลจำนวนมากคอมเมนต์หลังจากการอัปเดตทำเนียบประจำวันเมื่อเที่ยงคืน นอกจากข้อความแสดงความยินดี ยังมีคำวิจารณ์และข้อเคลือบแคลงอีกจำนวนมาก พวกเขาเชื่อว่านิสัยและแรงดึงดูดของคุณใช้ได้แค่กับคนกลุ่มน้อย มาถึงจุดนี้ได้นับว่าเป็นปาฏิหารย์ ผมยังเห็นว่าผู้ติดตามของคุณบางส่วนก็พูดเช่นนี้ พวกเขายอมรับความสามารถ แต่ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกว่าความสำเร็จของคุณน่าจะมาจากโชคมากกว่าความสามารถโดยตรง เรื่องนี้คุณมีอะไรจะกล่าวไหมครับ?"

ขณะนี้ในโลกออนไลน์เองก็มีเสียงประเภทนี้มากจริงๆ

แค่ไถดูตามเวยป๋อและเว็บบอร์ดก็จะเห็นว่าหลายแห่งกำลังถกกันเรื่องที่จางเย่ได้ขึ้นเป็นดาราในทำเนียบคนดังระดับ B ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ในวงการบันเทิงทีเดียว

"โคตรมหัศจรรย์!"

"จางเย่โชคดีสุดๆ ถ้าเกิดซวยอะไรเข้าหน่อย เขาไม่มีทางมาถึงขั้นนี้ได้หรอก!"

"จางเย่หน้าตาธรรมดาก็ยังเป็นดาราได้? แถมเป็นดาราระดับ B ? ฉันก็ทำได้! อย่างน้อยฉันก็หล่อกว่าเขาหน่อยล่ะ!"

"ความสำเร็จของจางเย่ ถือว่ามีเรื่องโชคปนอยู่มาก"

"ถ้ามีความสามารถกับความโชคดีแบบจางเย่ล่ะก็ ฉันต้องทำได้มากกว่านี้แน่!"

"จางเย่เป็นแค่หน้าใหม่ ไม่ได้ถ่ายหนัง ไม่ได้ร้องเพลง มีแค่รายการโทรทัศน์ในสถานีท้องถิ่นกับสถานีออนไลน์นิดหน่อย กลอนไม่กี่บท ปาฐกถาไม่กี่ครั้ง จางเย่กลับดึงชื่อเสียงได้ขนาดนี้ ทำให้หน้าเก่าในวงการบันเทิงไม่ค่อยชอบใจ ถ้าเขาเป็นดาราระดับ B แบบนี้ได้ ต่อไปเขาแสดงหนังหรือร้องเพลงจริงๆ จังๆ ไม่ก็ทำรายการในช่องดาวเทียมทั่วประเทศ ชื่อเสียงเขาไม่ยิ่งฝืนฟ้าไปไกลรึไง?"

"ไม่ใช่ผิดครรลอง แต่ว่ามันทะลุโลกไปแล้วเถอะ!"

"วิธีนี้มันเป็นทางไม่ปกติในวงการบันเทิงน่ะสิ!"

"ดาราคนอื่นกระเสือกกระสนอยู่หลายปี ยังไม่แน่ว่าจะมาถึงขั้นนี้ จางเย่เปิดตัวได้ปีกว่าเท่านั้นเอง เทียบกันแล้วนับว่าไม่ยุติธรรมเลย!"

"นั่นสิ คนร่วมอาชีพเขาเองก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรด้วย"

"เนอะ คณิตเอย ภาษาเอย ไม่ใช่เรื่องทั่วไปในวงการบันเทิงด้วย อาศัยเรื่องนี้สร้างชื่อเสียง คนในวงการบันเทิงเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน!"

เสียงวิจารณ์เช่นนี้มีมาก

คนดังมากปากวิจารณ์ นี่คือเรื่องปกติ

พบกับคำถามของเหล่านักข่าวเช่นนี้ จางเย่เองก็เงียบไปครู่หนึ่ง

เสี่ยวเสวียยกเครื่องบันทึกเสียงขึ้น "อาจารย์จาง คุณมองเรื่องที่ประชาชนกับเพื่อนร่วมงานในวงการวิจารณ์คุณว่าอย่างไรบ้างคะ?"

ไม่ยุติธรรม?

อาศัยโชคลาภ?

เลิกเดินทางประหลาดที่ไม่เหมือนในวงการบันเทิง?

เห็นว่าเหล่านักข่าวล้วนรอคอยคำตอบของเขาตาไม่กระพริบ จางเย่ก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้โกรธเคืองอะไรจากคำถามเหล่านี้ เขาถึงกับพูดอย่างสบายๆ "ผมบอกไปแล้วไง จะเป็นใคร จะเป็นศิลปะประเภทไหนก็แล้วแต่ ไม่มีทางที่จะให้ทุกคนชอบทุกคนชมได้หรอกครับ เป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนที่ชอบผมและที่ไม่ชอบผม ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์ยังไง ผมก็รับได้ครับ แต่สำหรับคอมเมนต์จากแฟนคลับผมบางส่วน..." เขาหยุดไปครู่ ก่อนจะใส่อารมณ์ "ผมมีกลอนบทหนึ่งให้พวกเขา กลอนสั้นๆ บทหนึ่ง"

ทุกคนพอฟัง ต่างก็คึกคักยิ่งกว่าได้ยาโด๊ป!

"กลอนอะไรน่ะ?"

"อาจารย์จางเชิญกล่าว"

"คุณรอเดี๋ยวๆ! เครื่องอัดผมเสีย! ผมเปลี่ยนแป๊บๆ!"

"คนข้างหน้าย่อลงหน่อย! ผมถ่ายไม่ติด! คนข้างในรบกวนย่อลงหน่อย!"

ขอเพียงเป็นคนที่ทราบเรื่องความสามารถความสำเร็จของจางเย่ ล้วนแต่ทราบว่า สิ่งที่ทำให้จางเย่มีชื่อเสียงที่สุดไม่ใช่เรื่องคณิตศาสตร์ ไม่ใช่เซี่ยงเซิง ไม่ใช่การเป็นพิธีกร แต่เป็นกลอนของเขาเอง!

จางเย่จึงว่าเบาๆ

"ดอกไม้แห่งความสำเร็จ"

"ผู้คนรู้เพียงตื่นตะลึง ริษยาความงดงามสวยสดในปัจจุบัน!"

"ทว่าหน่ออ่อนเมื่อแรกนั้น"

"ชุ่มด้วยหยาดน้ำตาแห่งการดิ้นรน"

"พรมพร่างด้วยหยาดโลหิตที่เสียสละ!"

--- บทกวีขานจบแล้ว

หยาดน้ำตา?

หยาดโลหิต?

เสียสละ?

ขณะนั้น เพื่อนบ้านของจางเย่ที่ออกมานอกบ้านก็ออกปาก เธอเห็นเหล่านักข่าวสัมภาษณ์ก็ยืนฟังด้านข้างจนทนฟังไม่ไหว "เย่น้อย อย่าไปฟังพวกเพื่อนร่วมวิชาชีพเธอพูดเสียดสีเลย! พวกเราเห็นเธอโตมาแบบนี้ ผ่านอะไรมามากน้อยพวกเราก็รู้หมด ทุกครั้งที่อัดรายการเป็นวันไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทำงานจนวุ่นหน้าวุ่นหลังไม่คิดชีวิต พวกเขามีใครเคยเห็นบ้าง!"

จางเย่ประสานมือคารวะ ยิ้มกล่าว "ป้าชุย ขอบคุณครับ"

ชายชราอีกคนก็ว่า "เย่น้อย ทำงานให้ดีเถอะ พวกเราหนุนหลังเธอนะ"

หญิงอีกคนก็ว่า "นั่นสิ อย่าไปฟังคนอื่นพูดจาวุ่นวายเลย!"

กลอนบทสั้น สั้นแค่สี่ประโยค แต่กลับมีน้ำหนักกดทับหัวใจของเหล่านักข่าว! นั่นสินะ ทุกคนเห็นแต่ความสำเร็จของจางเย่ แต่ความพยายาม ความเสียสละ มีกี่คนเห็น? มีกี่คนทราบกัน?

เสี่ยวเสวียกวาดตามองจางเย่ เธอได้สัมภาษณ์จางเย่เป็นครั้งแรกก็จริง แถมได้เจอกันซึ่งหน้าแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองพอเข้าใจคนผู้นี้ขึ้นมาบ้าง!

ก่อนหน้านี้ ตอนเกิดเหตุปล้นเครื่องบิน ทุกคนคุยกันเรื่องว่าจางเย่นั้นโชคดีอย่างไรที่เอาเครื่องบินลงจอดได้ปลอดภัย แต่ใครเคยคิดบ้างล่ะว่าจางเย่แทบจะตายบนเครื่องบินไปแล้ว!? ทุกคนเห็นว่าจางเย่ปิดปากคนที่ขวางทางเขาทุกคนระหว่างการแข่งขันเซี่ยงเซิง แต่ใครเคยสนใจบ้างว่าจางเย่แทบจะโดน SARFT แบนตลอดชีพ! โชค? บังเอิญ? โอกาสดี? จางเย่ไม่ได้มาถึงตรงนี้ด้วยเรื่องเหล่านั้นสักนิด! เขาฟันฝ่าคลื่นลมสร้างเส้นทางโลหิตขึ้นมาด้วยมือเขาเอง!

แรงกดดันจากผู้บังคับบัญชา!

การโจมตีจากเพื่อนร่วมวิชาชีพ!

ช่วงเวลาเป็นตาย!

ตัวเลือกบีบให้ยอมจำนน!

จางเย่นั้น ไม่ว่าเป็นที่ไหนเวลาใด เขาก็กล้ายืดอกรับรองหนักแน่น : หนทางที่เขาเลือกเดินนั้นไม่ใช่ทางลัด ทั้งไม่ใช่เส้นทางที่มีลมหนุนส่งเสริม หนทางที่เขาเลือก เปรียบกับคนอื่นแล้วยังยากลำบากยิ่งกว่า!

"ดอกไม้แห่งความสำเร็จ"

-- นี่คือผลงานชิ้นที่มีชื่อเสียงของกวีชื่อดัง ปิงซิน ปกติปิงซินมีชื่อเสียงด้านบทความ ส่วนกลอนสั้นบทนี้เป็นกลอนที่โดดเด่นบทหนึ่งของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อพบกับคำถามจากเหล่านักข่าวและข้อสงสัยจากผู้ติดตาม จางเย่เห็นว่ากลอนบทนึ้คือคำตอบที่ดีที่สุดที่จะแสดงความคิดและอารมณ์ของเขาในตอนนี้ ตอนนั้นที่โลกใบก่อน เขาเองก็ชอบกลอนบทนี้มากเช่นกัน คงเพาะคำว่า ‘เสียสละ’ เมื่อเขาท่องกลอนบทนี้ จางเย่ไม่ได้แสดงความระทมหรือเป็นคำบ่นว่า เขาไม่ได้บอกคนอื่นว่าเขาไม่ได้มีชีวิตง่ายดาย แต่เขาท่องมันออกมาด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ คำว่าเสียสละในที่นี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดทรมาน แต่คือความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง เป็นที่มาของความภาคภูมิใจที่เขาเชิดหน้ายืดอกเผชิญ เพราะนี่ไม่ใช่การสละให้กับความอยุติธรรมในชีวิต แต่เป็นการเสียสละให้กับตัวตนที่ไม่ยินยอมของเขา!

……

วันเดียวกัน

กลอนบทนี้ได้เผยแพร่ลงบนสื่อหนังสือพิมพ์และนิตยสารทั่วประเทศ!

"ความสำเร็จ - เสียสละ!"

"เสียงของจางเย่!"

"ดอกไม้แห่งความสำเร็จดอกหนึ่ง!"

"จางเย่ : ดอกไม้ที่เบ่งบานด้วยโลหิต!"

ทันทีที่กลอนปรากฏสู่สายตาสาธารณะชน แม้แต่โลกโซเชียลก็พลันคึกคักกันอีกครั้ง

"อาจารย์จาง คุณยอดเยี่ยมมาก!"

"อย่าไปสนใจคนอื่นจะพูดยังไง พวกเราเข้าข้างคุณ! คุณผ่านอะไรมาแค่ไหน พวกเรารู้กันทั้งนั้น!"

"เชี่* ทางลัดวิถีมารอะไรล่ะฟะ! กระบี่ลับซับซ้อนตรงไหน? พวกเราแม่*ทำไปตามธรรมดานี่แหละ! แบบนี้ก็หาว่าพวกเรารังแกมัน! เอาสิ! มาหนึ่งนับว่าหนึ่ง! มาทั้งฝูงก็เล่นทั้งฝูง!"

"สนับสนุนจางเย่!"

"ดาราระดับ B นี้ จางเย่รับได้โดยไม่ละอายแล้ว!"

"ไอ้คนไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะ ไปดูผลงานอาจารย์จางก่อนค่อยมาว่าเถอะ!"

‘ดอกไม้แห่งความสำเร็จ’ อาจไม่มีความฮึกเหิมเลือดระอุอย่างงานชิ้นเก่าๆ ของจางเย่ อาจไม่ได้ดีเด่เหมือนเคย แต่กลับแสดงถึงความรู้สึกอันหนักหน่วงที่สำคัญ คนที่ได้อ่านล้วนแต่รู้สึกว่าใจนั้นจมลงเล็กน้อย โดยเฉพาะท่อนที่ว่า ‘ชุ่มด้วยหยาดน้ำตาแห่งการดิ้นรน พรมพร่างด้วยหยาดโลหิตที่เสียสละ’ นั้น ได้ปิดปากผู้ที่ตั้งแง่และอิจฉาจางเย่เป็นจำนวนมาก เมื่อคิดว่ากว่าจางเย่จะสร้างผลงานมาถึงขั้นนี้ได้ต้องผ่านอะไรมา พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้วจริงๆ!

ลำบาก?

ดาราหนังระดับ C คนหนึ่งกระดูกหักระหว่างเล่นหนัง เขาโพสต์เวยป๋อโอดครวญอยู่เดือนหนึ่ง เหล่าแฟนๆ ต่างก็บอกว่าเขาช่างลำบากยากแค้นนัก!

นักร้องเกาหลีคนหนึ่งมีสิวบนหน้าไม่กี่เม็ด แฟนๆ ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย บอกว่าชะตาชีวิตไม่ยุติธรรม บอกว่านักร้องคนนี้ช่างลำบากช่างมากเคราะห์นัก!

นี่เรียกว่า..ลำบาก?

พอเอามาเทียบกับจางเย่แล้ว พวกเขาไม่นับเป็นอย่างไรได้!

ถูกขังสองรอบ บีบให้ลาออกจากสถานีวิทยุนครหลวง ถูกสถานีโทรทัศน์นครหลวงไล่ออก โดนมหาวิทยาลัยเป่ยต้าพักงาน เกือบตายในเหตุการณ์ปล้นเครื่องบิน ถูก SARFT เซี่ยงไฮ้บีบหลายครั้ง ถูกแบนโดยคำสั่งแบนที่เข้มที่สุดในประวัติศาสตร์ของ SARFT มาตอนนี้..ยังไม่มีใครกล้าจ้างแม้จะเป็นดาราระดับ B ก็ตาม! เขาได้แต่อุดอู้อยู่แต่กับบ้าน เบื่อเสียจนออกไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าสบายๆ ได้! นี่..เป็นคนเดียวในวงการบันเทิงนี้เท่านั้น ใครกันจะกล้าบอกว่าพวกเขาลำบากยิ่งกว่าจางเย่?

ใครก็ไม่กล้า!

ไม่มีใครลำบากเท่าเขาแล้ว!

ถึงแม้เป็นเช่นนั้น จางเย่ก็ยังคงอาบเลือดหยาดเหงื่อฝ่าคมหอกคมดาบขึ้นมาถึงทำเนียบระดับ B ได้!

นี่หมายความว่าอย่างไรกัน!

เหนือฟ้าใต้หล้า

ใครกล้าต่อกร!?

========================

《成功的花儿》。

ดอกไม้แห่งความสำเร็จ"

人们只惊羡他现时的明艳!

ผู้คนรู้เพียงตื่นตะลึง ริษยาความงดงามสวยสดในปัจจุบัน!

然而当初他的芽儿。

ทว่าหน่ออ่อนเมื่อแรกนั้น

浸透了 奋斗的泪泉。

ชุ่มด้วยหยาดน้ำตาแห่งการดิ้นรน

洒遍了牺牲的血雨!

พรมพร่างด้วยหยาดโลหิตที่เสียสละ!

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

Chapitre suivant