webnovel

0371

บทที่ 371 : ของขวัญวันเกิดให้คุณอู๋

_____________________________________________________________

บรรยากาศเงียบกริบ

ทุกคนกำลังมองไปที่กลอนคู่

จางเย่คิดว่าคนอยู่ไกลอาจมองไม่ชัด จึงอ่านให้ฟังว่า "เดียวดายหม้ายเหน็บหนาวริมหน้าต่าง"

คุณพ่อซูสิ้นหวังแล้ว! เขาออกรบอย่างองอาจ มั่นใจว่าต้องชนะแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่าที่รอเขาอยู่จะเป็นกลอนต้นบทนี้ ทำให้เขาต้องกระอักกระอ่วนถอยทัพกลับ ปรมาจารย์โจวกับอีกหลายท่านล้วนเป็นผู้รู้ หลังจางเย่เขียนจบ ล้วนแต่มองกลอนต้นด้วยความตะลึงงัน!

นี่...

กลอนต้นนี่มัน…

กลอนต้นของจางเย่นั้นเรียบง่ายทั้งตรงไปตรงมา หมายถึงหญิงม่ายผู้เดียวดายนั่งอยู่ริมบานหน้าต่างเย็นเยียบ ไม่เหมือนกลอนบทอื่นๆ ที่ทั้งเต็มไปด้วยแง่ง่ามความหมาย แต่นี่ไม่ต้องมาแปลอะไรด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครก็อ่านเข้าใจ ครึ่งแรกมีกลเดียวคือรากอักษรที่เหมือนกันหมดเท่านั้น ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นกลอนคู่มีกลทั่วไปอย่างดาษดื่น ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกประหลาด แน่นอนว่านี่คือในสายตาของคนทั่วไปเท่านั้น แต่สำหรับเหล่ายอดฝีมือผู้ฝึกฝนลึกล้ำในเรื่องกลอนคู่ แค่เห็นก็แทบกระอักเลือด!

(ตัวอักษรจีนมีส่วนประกอบที่เรียกว่า ‘ราก’ ซึ่งในประโยคนี้ 寂寞寒窗空守寡 มีรากเดียวกันคือ 宀 ตัวเดียว)

จะต่อยังไงฟระ?

ไม่มีทางต่อได้หรอกว้อย!

แต่นักลิปิกรบางท่านยังไม่รู้สึก จึงออกเสียงกระตุ้นเตือน

"อาจารย์ซู ทำไมยังไม่เขียนล่ะ?"

"ลองต่อเป็นระทมตรม... ไม่ได้แฮะ"

"ต่อเป็นงามพร้อม...ก็ยังไม่ได้ ไม่สวย"

ทุกคนยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ยิ่งพิจารณายิ่งตกตะลึง กลอนคู่บทนี้ดูไปแล้วเหมือนใครๆ ก็สามารถต่อได้ แค่ให้เวลาพวกเขาหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าพวกเขายิ่งคิด ยิ่งใคร่ครวญลึกลงไป ยิ่งมีความรู้สึกสิ้นเรี่ยวแรงชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ในใจพลันตะลึงพรึงเพริด!

ต่อไม่ได้!

กลอนต้นบทนี้ต่อไม่ได้!

ต่อให้ทุกคนเค้นสมองกันแทบแตกก็ยังต่อไม่ได้!

ปรมาจารย์โจวกระตุ้นเตือน "มีคนออกหน้ามาแล้ว คำถามนี้คงไม่ต้องให้ปรึกษากันแล้วมั้ง? ทีมเสี่ยวอู๋มีกันแค่สองคน แค่เรื่องจำนวนก็น้อยพออยู่แล้ว"

จางเย่กลับกล่าว "ปรมาจารย์โจว ไม่เป็นไรครับ กลอนคู่ผมบทนี้ไม่ต้องจำกัดเวลาและไม่จำกัดผู้เล่น ต่อให้เป็นอีกหลายสิบปีให้หลังถึงมีคนต่อได้ ค่อยถือว่ากระดานนี้ผมแพ้แล้วครับ"

ปรมาจารย์โจวมองเขา ยิ้มให้แล้วพยักหน้า "ได้ อย่างนั้นข้อนี้นับว่าวางไว้ก่อนแล้วกัน แพ้ชนะค่อยว่ากันวันหลัง อีกหลายสิบปียังนับว่าไม่สาย ฮ่าๆ"

จางเย่แนะนำ "อย่างนั้นวันนี้ก็พอเท่านี้นะครับ?"

ปรมาจารย์โจวรับคำ ยิ่งมองจางเย่ยิ่งรู้สึกชื่นชอบ "ดี รางวัลมีเจ้าของ แข่งต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว พอเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน!"

แพ้ชนะค่อยว่ากัน?

ผลแพ้ชนะของกระดานนี้ วันหลังค่อยว่ากัน?

ทุกคนเข้าใจว่าชายชุดดำคนนี้กำลังรักษาหน้าพวกเขา ว่ากันตามกฎการแข่งขัน พวกเขานับว่าแพ้แล้ว แต่ชายหนุ่มกลับบอกว่าผลแพ้ชนะไว้วันหลัง นับว่ายอมหยุดให้แล้ว ดูไปแล้วชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ไม่ทราบกฎเกณฑ์เสียทีเดียว เพราะไม่ได้ไล่ตามตีต่อจนพวกเขาไม่มีหน้ามีตา

จางเย่ที่ยอมถอยให้หนึ่งก้าว ความจริงเพราะเขาไม่คิดจะฉีกหน้าต่อไป คำพูดของเฉินม่อทำให้เขาไม่พอใจ จนตอนแรกตั้งใจจะตีโต้พวกเขากลับไปให้แตกพ่ายย่อยยับ แต่ทำอย่างไรได้ คู่แข่งในตานี้คือพ่อของซูน่า ซูน่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันไม่เลวของจางเย่ จางเย่อาจไม่สนใจคนอื่นได้ แต่สำหรับพ่อของเพื่อนร่วมงาน อย่างไรเขาก็ไม่อาจหักหน้าได้ลง ดังนั้นจึงได้ออกหน้า ‘สงบศึก’ กับคนอื่น ไม่ใช่จางเย่มีข้อจำกัด ไม่ใช่ว่าจางเย่เป็นอย่างที่ทุกคนคิด เขาเพียงไว้หน้าซูน่ากับพ่อของเธอเท่านั้น

แต่คนอื่นไม่ทราบว่าจางเย่ถอยให้เพราะอะไรนี่?

ซึ่งชัดเจนว่าซูน่ารู้ เธอเข้าใจจางเย่ดี ทราบว่าปกตินิสัยเขาเป็นอย่างไร เขาไม่เคยกลัวใครที่ไหน นิสัยรักแรงเกลียดแรงนี้ แม้แต่เหยียนเจี้ยนเทาเป็นบุคคลระดับไหน จางเย่บอกด่าเป็นด่า ซูน่ารู้ดีว่าจางเย่ไม่ใช่คนถือธรรมเนียมมารยาทอะไร อีกทั้งจางเย่ก็ไม่ได้สนใจผลแพ้ชนะมาตั้งแต่แรก ที่ทำก็แค่เห็นแก่หน้าของเธอเท่านั้น มาถึงตรงนี้ ซูน่ายิ่งรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ นักลิปิกรจิตรกรมากมายเขาไม่สนใจ ไม่ใส่ใจพวกเขา ไม่ได้ช่วงชิงความนิยมของใครคนอื่น จางเย่เพียงไว้หน้าเพื่อนของเขาเท่านั้น ในมุมมองของซูน่า นี่คือเพื่อนที่ควรค่า คือเพื่อนแท้คนหนึ่ง!

ซูน่ามองเขาแล้วขยิบตาให้

จางเย่ผงกหัวให้ แลกเปลี่ยนสายตากับเธอ

ขณะนั้น ปรมาจารย์เว่ยก็ยิ้มออก กล่าวว่า "ผู้มาหลังน่าเกรงขามแล้ว!"

จางเย่ถ่อมตัวลงครึ่งคำ แค่ครึ่งคำเท่านั้น "เป็นเพราะพวกท่านออมมือ ไม่อย่างนั้นพวกท่านลงมือเต็มที่ ผมคงไม่อาจต่อกรได้ครับ"

อู๋เจ๋อชิงยิ้มแย้มกล่าวว่า "ปรมาจารย์เว่ย ของขวัญชิ้นนี้เป็ของฉันแล้วสิคะ?"

ปรมาจารย์เว่ยสีหน้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าแกล้งทำหรือรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ "ให้ฉันดูอีกที ไม่ดูตอนนี้ต่อไปก็ไม่มีโอกาสได้ดูแล้ว"

ศิษย์ปรมาจารย์เว่ยอย่างเฉินม่อสีหน้าไม่สู้ดี สิ่งที่อาจารย์อยากได้ พวกเขามีกันหลายคนยังไม่อาจช่วงชิงมา ความจริงก็ไม่มีหน้ามีตาอยู่แล้ว!

ศิษย์ปรมาจารย์โจวจัดการเอาของรางวัลมามอบ

อู๋เจ๋อชิงกล่าวอย่างนุ่มนวล "ไม่อย่างนั้นท่านก็หยิบยืมไปชมก่อนไหมคะ ถึงเวลาค่อยคืนให้ฉัน"

"เยี่ยม" ปรมาจารย์เว่ยมองเธอ "นานแค่ไหน?"

อู๋เจ๋อชิงยิ้ม กระซิบว่า "ร้อยปี"

ปรมาจารย์เว่ยมองเธอด้วยสายตายินดี "ยอดเยี่ยม เอาตามนั้นนะ!"

สองประโยคหลัง มีแค่พวกเขาสองคนคุยกัน ทว่าคนที่ได้ยินยังมีปรมาจารย์โจวกับศิษย์ที่ถือภาพอักษรอีกสองคนที่ได้ยินด้วย และมีจางเย่ที่ได้ยินเข้าหูพอดี ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้ยิน เพียงได้ยินคำว่าอู๋เจ๋อชิงจะให้ปรมาจารย์เว่ยยืมไปก่อน ถึงเวลาค่อยคืนมาเท่านั้น

ให้ยืมร้อยปี?

อย่างนั้นก็ถือว่าตลอดไป!

จางเย่มองอู๋เจ๋อชิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย คุณอู๋ทำอะไรเขาล้วนสนับสนุนหมดแหละ

ศิษย์ทั้งสองนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียง อู๋เจ๋อชิงในเมื่อกระซิบ ย่อมมีเหตุผลที่จะกระซิบ บอกให้ยืมไม่ใช่ให้ขาด แปดส่วนคือต้องการไว้หน้าปรมาจารย์เว่ย พวกเขาก็ไม่เข้าไปขัดขวาง

ปรมาจารย์โจวมองพวกเขาด้วยความยินดี ทั้งยังอารมณ์ดีไม่น้อย กวักมือเรียกพนักงานมาหา

ปรมาจารย์เว่ยก็อารมณ์ดีไม่เบา "ฉันว่ากินที่สวนหลังนี่แหละ"

"ได้สิ" ปรมาจารย์โจวเงยหน้ามองฟ้า "วันนี้ดินฟ้าไม่เลว อุ่นดี"

ปรมาจารย์ลิปิศิลป์อีกท่านยิ้มเห็นด้วย "ดี งั้นก็ให้เขาตั้งโต๊ะในสวนนี้เถอะ แต่ว่าที่นั่งไม่พอ คนอื่นๆ คงต้องไปนั่งในตัวตึกแล้วล่ะนะ"

ตั้งโต๊ะ

ยกกับข้าว

อู๋เจ๋อชิงเรียกจางเย่เข้ามา "เมื่อกี้ได้ยินไหมคะ?"

"เอ๋? ได้ยินอะไรครับ?" จางเย่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

อู๋เจ๋อชิงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน "ฉันเอารางวัลที่คุณคว้ามาให้ ยกให้ปรมาจารย์เว่ยไปแล้วค่ะ เพราะคุณคว้ามาให้เลยต้องบอกคุณหน่อยค่ะ"

จางเย่ไม่สนใจ "ช่างเถอะครับ คุณตัดสินใจไปแล้วก็ว่าตามนั้นครับ ยังไงก็เอาชนะมาให้คุณแล้ว"

อู๋เจ๋อชิงยิ้ม "ความจริงไม่อยากได้ลายมือของท่านโจวแล้วน่ะค่ะ ฉันอยากให้คุณเขียนลายมือสวยๆ มาให้ฉันมากกว่า ของขวัญนั่นฉันไม่เอาหรอก แค่อยากให้คุณเตรียมของขวัญมาให้น่ะค่ะ อีกเดี๋ยวตอนกินข้าวเสร็จ ฉันว่าทุกคนคงเริ่มมอบของขวัญ คุณมือเปล่ามาก็รู้สึกไม่ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ? คิกๆ ฉันอยากให้คุณเขียนอักษรให้ฉันนะคะ"

จางเย่รู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที ปรมาจารย์โจวเป็นคนระดับไหน? ก็เป็นถึงปรมาจารย์ลิปิศิลป์! อู๋เจ๋อชิงกลับไม่หวั่นไหวไม่อยากได้ลายมือของปรมาจารย์โจว ไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับมาชอบลายมือของจางเย่ เรื่องนี้นับเป็นเกียรติใหญ่หลวง จางเย่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับเกียรติเช่นนี้

แต่จะเขียนอะไร?

ไม่มีอะไรให้เขียนแล้วนี่นา!

จางเย่ยิ้ม "ที่เขียนไปก่อนหน้านี้ก็เป็นซือโบราณฉือโบราณกับกลอนคู่ ให้คุณหมดเลย ถือเป็นของขวัญวันเกิด ได้ไหมครับ?"

อู๋เจ๋อชิงกล่าว "โคลงกลอนพวกนั้นต้องให้ฉันอยู่แล้วสิ ฮิๆ แต่ฉันยังรู้สึกไม่พออยู่ดีค่ะ พวกนั้นไม่ใช่กลอนเก่าแก่จริงๆ ซะหน่อย ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรมาเสริม ซือเพราะ ฉือก็ดี แต่ว่าไม่มีประวัติศาสตร์มารองรับ ออกจะด้อยไปหน่อยค่ะ"

จางเย่ไม่เห็นด้วย "ไม่มีกลิ่นอายโบราณที่ไหนกันครับ?"

อู๋เจ๋อชิงหัวเราะ "งั้นฉันถามคุณ ‘หวีเหม่ยเหริน’ กลอนบทนี้ทำไมชื่อ ‘หวีเหม่ยเหริน’ คะ? ชาติที่ว่าคือชาติไหนคะ? ‘ชิงหมิง’ ที่บอกว่าเด็กเลี้ยงวัวชี้ทางไปซิ่งฮัวชุน ซิ่งฮัวชุนอยู่ไหนคะ? หรือมีเรื่องเล่าอะไรไหมคะ? ‘ผ่านวังหัวชิง’ ที่ว่าวังหัวชิงนี่คือที่ไหนคะ? ควบม้าฝุ่นแดงคลุ้งสนมยิ้มแย้ม คือพระสนมท่านไหนเหรอคะ? ทำไมคุณถึงรู้ว่ามีพระสนมที่ชอบรับประทานลิ้นจี่อยู่ด้วย? ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ไหม? มีข้อมูลตรงไหนไหมคะ?"

จางเย่อธิบาย "เรื่องนี้คือ..."

ไม่รอให้จางเย่พูดจบ อู๋เจ๋อชิงก็คลี่ยิ้มหวาน "ถือว่าติดค้างของขวัญฉันอยู่นะ อีกเดี๋ยวจะรอรับนะคะ"

"เสี่ยวอู๋ มาๆๆ มานั่งนี่มา" ปรมาจารย์โจวเรียกเธอ

อู๋เจ๋อชิงจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงจางเย่ที่ยังคงยิ้มแหยๆ คุณอู๋ปล้นเขากลางวันแสกๆ ทั้งยังปล้นจนหมดเนื้อหมดตัว!

ไม่เพียงแต่เธอ คนอื่นๆ เองก็ทราบว่าโคลงกลอนของจางเย่นั้นนับว่าดี ในแง่อักษรไม่มีตรงไหนให้ติ แต่ว่ายังขาดเหตุผลสนับสนุนทางประวัติศาสตร์ หากเป็นคนโบราณเขียน อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา คนโบราณเองเป็นประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าอยู่แล้ว กลอนเหล่านี้จะนับว่าสมบูรณ์พร้อม แต่จางเย่ไม่ใช่คนโบราณ เขาเป็นคนยุคใหม่ที่ได้รับการศึกษาวัฒนธรรมยุคใหม่ ทำให้โคลงกลอนเหล่านี้เสื่อมราคาไปบ้าง

จางเย่ไม่ยินยอม!

ใครบอกพวกคุณว่ากลอนผมไม่มีเรื่องเก่าแก่มาสนับสนุน?

ใครบอกพวกคุณว่าผมไม่มีประวัติศาสตร์มาช่วยอธิบาย?

‘หวีเหม่ยเหริน’ ทำไมเรียกว่า ‘หวีเหม่ยเหริน’? เพราะว่านะ เพราะว่าหวีเหม่ยเหรินเธอ ... เธอ... ช่างเถอะค่อยว่ากัน ชาติคือชาติไหน ชาติก็คือ...เอ้อ พูดถึงซิ่งฮัวชุนดีกว่า อยู่ไหนน่ะรึ? ซิ่งฮัวชุนความจริงอยู่ อยู่ อยู่ข้างๆ เต้าเซียงชุน อีกข้างเป็น... เอ่อ... แม่*! ฉันจะเขียนแม่*ว่าซิ่งฮัวชุนนี่แหละ! พวกนายมีปัญหาเรอะ! มีปัญหารึไง!

จางเย่จากอับอายกลายเป็นโกรธแค้น โคลงกลอนโบราณเหล่านี้มีที่อธิบายไม่ได้อยู่บ้าง หากต้องอธิบาย อย่างนั้นก็ต้องอธิบายจากประวัติศาสตร์ในโลกของเขาแล้ว

โคลงกลอนเหล่านี้ขาดความหมายไปเล็กน้อย?

อย่างนั้นจะให้รางวัลอะไรเธอดีนะ?

พวกโคลงกลอนโบราณ ก็มีไม่น้อยที่ไม่มีเรื่องเล่ามาสนับสนุนซะด้วยสิ

หรือจะเขียนลำนำกลอน? รูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช้เรื่องราวโบราณมาบรรยาย เพราะตัวมันเองก็คือเรื่องเล่าอยู่แล้ว เป็นวรรณกรรมชาวบ้าน จางเย่ถือว่าเป็นนิยายโบราณอย่างหนึ่ง เล่าเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ไม่ต้องเอาประวัติศาสตร์ท่อนไหนมาสนับสนุน

ลำนำกลอน

จะเขียนบทไหนให้เหล่าอู๋ดีนะ?

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

Chapitre suivant