บทที่ 3 : ผู้สัมภาษณ์ตื่นตะลึง!
--------------------------------------------------------------------------
เฉินเล่อ >> แปล
Pleosuriya >> ตรวจ
TurKish_TEA >> เช็ก + เกลา
******************************
ดวงตาพร่างพราย!
ภาพรอบข้างเปลี่ยนไปทันใด!
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน พื้นดินกลายเป็นสีเทา!
สิ่งแรกที่จางเย่รู้สึกคืออุณหภูมิรอบตัวที่เปลี่ยนไป เดือนสิงหาคม อากาศยังคงร้อนและน่ารำคาญ หืม? ทำไมเขาถึงชอบบรรยายสภาพอากาศด้วยคำพูดประโยคนี้ตลอดเลยล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขามีคลังศัพท์ในหัวน้อย ไม่ใช่ว่าเขาเรียนมาน้อยจนไม่รู้คำคุณศัพท์พวกนี้นะ ไม่ใช่จริงๆ ไม่ใช่แบบนั้นจริงๆ มันเป็นเพราะว่า….เพราะว่า…. ช่างเถอะ โลกของศิลปินมันลึกซึ้งน่ะ พูดไปพวกคุณก็ไม่เข้าใจหรอก!
“การสัมภาษณ์เริ่มตอนสิบโมงเช้านะ รีบไปกันเถอะ”
“พี่ซุน จะรีบไปทำไมกันล่ะ พี่ได้งานแน่นอนอยู่แล้ว”
“นั่นมันก็ไม่แน่หรอก ทางสถานีเปิดรับดีเจวิทยุแค่ 2 ตำแหน่งเท่านั้น ฉันได้ยินมาว่ามีคนผ่านข้อเขียนมากกว่า 20 คนเชียวนะ ต้องแข่งขันกันดุเดือดแน่เลย”
เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก จางเย่ที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้น ขณะที่ยันตัวลุกขึ้นมา ดวงตาที่ฉายแววงุนงงของเขากวาดมองไปรอบๆ นี่มันไม่ใช่ระเบียงทางเดินเมื่อก่อนหน้านี้นี่ เขากลับมายืนอยู่หน้าสถานีวิทยุอีกครั้งจริงๆ นี่เป็นจุดที่ชายหนุ่มเซฟเกมไว้ก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งบทสนทนาของผู้สมัครคนอื่นๆ ก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม เมื่อก้มมองเวลาบนมือถือเขาจึงรู้ว่าได้ย้อนกลับมาช่วงสามสิบนาทีก่อน!
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! นี่มัน…
ช่างมันไปก่อนแล้วกัน มีเรื่องสำคัญมากกว่านั้นที่ต้องทำ!
จางเย่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดพิจารณาแล้ว เขาต้องชิงตำแหน่งดีเจนี้มาให้ได้! คริสตัลเซฟได้ให้โอกาสเขาอีกครั้ง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เขาก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ จางเย่ไม่รีบกลับขึ้นชั้นบน แต่เอามือถือออกมาเปิดอินเทอร์เน็ตทันที เขาจำข้อความประโยคแรกของคำถามสัมภาษณ์ได้จึงสามารถค้นเจอได้อย่างง่ายดาย เพียงไม่นานจางเย่ก็พบแหล่งที่มาของบทความนี้ มันเป็นวิทยานิพนธ์ของนักศึกษานิรนามในมหาวิทยาลัยทางภาคใต้แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าผู้สัมภาษณ์จะสุ่มเลือกมาจากอินเทอร์เน็ตเช่นกัน
ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ยี่สิบห้านาที เขาไม่สนใจรีรออะไรอีก รีบท่องจำมันทันที! บทความหนึ่งพันคำถือว่ายาวมาก โชคดีที่ไม่ใช่งานโบราณหรืองานเขียนชื่อดัง เพราะบทความนี้ไม่ได้ภาษาวิลิศมาหรา ทั้งยังสอดคล้องกับหลักการและเหตุผลทั่วไป เรื่องกฎหมายจางเย่เองได้เรียนมาบ้าง บางประโยคจึงเข้าใจอยู่ก่อนแล้ว ทำให้งานนี้ง่ายขึ้นมากทีเดียว
ต้องจำให้ได้ แพ้ชนะอยู่ที่ครั้งนี้เท่านั้น!
………….
ณ ห้องสัมภาษณ์ อาคารสถานีวิทยุ
ผู้ช่วยสาวเปิดประตูพลางดูใบรายชื่อ "จางเย่" ส่งเสียงเรียกครั้งหนึ่งไม่มีใครขานรับ เธอเรียกซ้ำอีกครั้ง "จางเย่มาหรือยัง? ถึงคิวคุณแล้วนะ!"
ที่สุดปลายของระเบียง จางเย่ก้าวเร็วๆ เข้ามาขณะที่ปากพึมพำไม่หยุดจนดูเหมือนกำลังสวดมนต์ "ผมอยู่นี่ อยู่นี่ครับ!"
ผู้ช่วยสาวนึกสงสัยอย่างยิ่ง หลายปีมานี้มีคนมาสัมภาษณ์เป็นร้อยเป็นพัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนสวดมนต์เข้าห้องสัมภาษณ์ นักพรตหลวงจีนเตรียมออกมาหางานทำแล้วเหรอ?
ภายในห้อง
ระหว่างรอสัมภาษณ์คนต่อไป คณะกรรมการทั้งแปดดื่มชาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
หลี่หงเหลียนในวัยสี่สิบกว่าพูดอย่างผิดหวังว่า "ผู้สมัครปีนี้ธรรมดาจริงๆ"
จ้าวกั๋วโจวที่อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปีพูดขึ้น "นั่นสิ เทียบกับครึ่งปีก่อนแล้วด้อยกว่าจริงๆ ข้อเขียนทำได้ดีแล้วมีประโยชน์อะไร? ความสามารถก็ไม่ถึง!"
ชายหนุ่มที่ด้านหลังกล่าว "หัวหน้าครับ ยังไงก็น่าจะมีคนที่พอใช้ได้บ้างแหละครับ”
"หวังว่าอย่างนั้นนะ ถึงผมไม่คิดว่าจะมีก็เถอะ" จ้าวกั๋วโจวทำเสียงจึกจักอย่างไม่พอใจ "เสียวสวี่คนก่อนหน้าก็ไม่เลวอยู่ ถ้าไม่มีคนอื่นอีกช่องเราคงต้องเลือกหมอนั่น"
หลี่หงเหลียนกล่าวเสริม "ฉันก็ว่าเสียวสวี่นั่นพอใช้ได้ทีเดียว"
ขณะนั้นประตูก็ถูกเคาะก่อนผลักเปิด จางเย่เข้ามารับการสัมภาษณ์!
หลายคนหยุดการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็น หันมากวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
"สวัสดีครับอาจารย์ทุกท่าน" เนื่องจากรู้ดีว่าอย่างไรเสียอีกฝ่ายต้องตัดบทเขาแน่ๆ คราวนี้จางเย่จึงเลือกแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย ปล่อยตัวตามสบาย บอกตามตรงเลยว่าในใจของเขายังรู้สึกไม่ยินยอมและขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาเป็นคนอารมณ์ไม่เบาอยู่แล้ว คนอื่นคำนับเขาหนึ่งศอก ชายหนุ่มต้องคำนับกลับหนึ่งวา "ชื่อจริงของผมคือจางเย่"
จ้าวกั๋วโจวหัวเราะเบาๆ "คุณมีชื่อในวงการด้วยเหรอ?"
จางเย่ตอบกลับอย่างเรียบง่าย "ผมมีชื่อในวงการสองชื่อ ชื่อหนึ่งเรียกว่าจางเถิงหลัน* อีกชื่อคือจางจิ่งคง*”
ในโลกนี้ไม่มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่สองชื่อนี้แล้ว ดังนั้นเหล่ากรรมการผู้สัมภาษณ์จึงไม่รู้ว่าจางเย่กำลังเล่นตลกกับพวกเขาอยู่
หลี่หงเหลียนไม่ได้สนใจจางเย่ ก้มหน้ามองแฟ้มผลงาน
ผลลัพธ์เป็นเช่นเดิม ฉากเดิม สีหน้าท่าทางเดิมๆ ครั้งนี้จางเย่สังเกตเห็นผู้สัมภาษณ์สองคนขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของจางเย่ จะว่าไปแล้วก็ประหลาด ทั้งที่ผู้ฟังไม่ได้เห็นหน้าของดีเจวิทยุแต่กลับถูกคาดหวังให้มีหน้าตาดูดีในระดับเดียวกับผู้ประกาศทางโทรทัศน์ ที่ว่าดูดีคืออะไร? ความหมายก็คือต้องดูดีในสายตาของคนส่วนใหญ่ วงการผู้ประกาศก็เป็นเช่นนี้แหละ
จ้าวกั๋วโจวที่อยู่ตรงกลางและหลี่หงเหลียนที่นั่งข้างๆ เป็นประธานการสัมภาษณ์งานครั้งนี้ เนื่องจากตำแหน่งดีเจสองคนที่ทางสถานีเปิดรับอยู่ในช่องของพวกเขา ทำให้ผู้ดูแลหลักต้องมาเลือกด้วยตนเอง แน่นอนว่าการคัดเลือกย่อมต้องเข้มงวด ใครล่ะจะยินดีให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าจางเย่ช่างดูธรรมดาดาษดื่นขนาดนี้ ในใจทั้งสองก็เตรียมจะตัดจางเย่ทิ้งไป อีกทั้งจางเย่ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน หากรับเข้ามาก็ยังต้องเสียเวลาสอนงานอีก เริ่มทำงานเลยทันทีไม่ได้ พวกเขาจึงไม่คิดจะพิจารณาชายหนุ่ม เรียนมาตรงสายก็ไม่เลวอยู่ แต่คนจบสาขากระจายเสียงมีตั้งเท่าไร กี่คนเชียวที่ได้เป็นผู้จัดรายการ? มีคนเพียงหยิบมือที่โดดเด่นสุดๆ เท่านั้น
จ้าวกั๋วโจวกับหลี่หงเหลียนสบตากัน ต่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย — คนนี้ไม่ผ่านแน่นอน ตั้งคำถามไล่ส่งไปก็พอ ไม่ต้องไปเสียเวลาด้วย!
หลี่หงเหลียนวางท่าเหมือนครั้งก่อน ยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งมาทางจางเย่ก่อนบอกว่า “คำถามสำหรับการสัมภาษณ์มีแค่สองข้อเท่านั้น ข้อแรกคือการทดสอบว่าคุณจะสามารถอ่านและจำเอกสารฉบับนี้ได้มากแค่ไหน จากนั้นให้พูดมันออกมาโดยไม่ดูสคริปต์”
จางเย่ที่กลับมาอีกครั้งด้วยคริสตัลเซฟรู้ดีว่าพวกเขาจงใจตั้งคำถามให้ยาก ใบหน้าของเขาจึงไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ขณะรับเอกสารมา
เป็นไปดังคาด ผ่านไปเพียงสิบวินาที หลี่หงเหลียนก็ยื่นมือมาดึงกระดาษกลับไปอย่างรวดเร็ว “แค่นั้นแหละ ท่องมาได้แล้ว”
กรรมการสัมภาษณ์คนอื่นๆ ต่างรู้อยู่แก่ใจ สิบวินาที? อย่าว่าแต่เด็กจบใหม่ ต่อให้เป็นคนที่คลุกคลีในวงการนี้มาหลายปีก็ยังจำได้ไม่ถึงร้อยคำในเวลาสิบวินาทีเลย เอาล่ะ ต่อให้สิบวินาทีนานพอให้อีกฝ่ายอ่านได้สองร้อยคำหรือท่องกลับได้หมดสองร้อยคำ พวกเขาก็จะให้คะแนนมากสุดแค่ 40-50 คะแนนอยู่ดี ทำไมถึงไม่ผ่านนะเหรอ?ก็เพราะว่าบทความนี้มีตัวอักษรมากกว่า 900 คำ เท่ากับได้แค่หนึ่งในห้า! ถ้าหากสิบวินาทีสามารถท่องได้สามร้อยคำ นั่นถึงจะได้คะแนนเต็ม แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่มีใครทำได้
หลี่หงเหลียนงงงัน คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าตระหนกหรือขุ่นเคืองของจางเย่ แต่กลับหาไม่พบ
ผู้สัมภาษณ์คนอื่นต่างประหลาดใจมากเช่นกัน เด็กคนนี้โง่เง่าบรมบัดซบหรือไง? ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้? แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองก็ไม่มี? ดูเหมือนพวกเขาจะตัดสินใจถูกแล้ว เด็กโง่แบบนี้รับมาก็ใช้การไม่ได้ โง่เขลาเบาปัญญาไร้เศษเสี้ยวแห่งความฉลาด ทำงานใหญ่ไม่ได้หรอก
จ้าวกั๋วโจวเร่ง "เริ่มได้แล้ว! ไวหน่อย! ข้างหลังยังมีคนรออีกเยอะ!"
หลี่หงเหลียนกับผู้สัมภาษณ์คนอื่นต่างลงคะแนนให้จางเย่ไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องฟังอีกต่อไป บางคนให้ยี่สิบคะแนน บางคนให้แค่สิบห้าซึ่งต่ำเกินไป หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มหยิบใบสมัครงานของผู้สมัครคนถัดไปขึ้นมาดู
พวกเขาเร่งแต่จางเย่กลับไม่ร้อนรน มองพวกเขาด้วยทีท่าผ่อนคลาย เริ่มท่องอย่างเป็นจังหวะจะโคน “สำนักทนายความ ซึ่งรองรับการดำเนินการด้านนิติกรรมและความมั่นคงตามระเบียบสังคมของประเทศเรา ถือเป็นองค์กรพิเศษ สำนักทนายความเป็นเสมือนตัวแทนบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ภายใต้ขั้นตอนกฎหมายที่กำหนดในชั้นศาล การปฏิบัติงานด้านกฎหมายและจัดทำเอกสารที่จำเป็นต้องมีเพื่อรับรองนิติกรรม ต้องดำเนินการตามขั้นตอนเฉพาะตามที่กฎหมายกำหนด…”
เมื่อท่องไปได้หนึ่งร้อยคำ จ้าวกั๋วโจวเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อถึงสองร้อยคำ หลี่หงเหลียนอุทานออกมาคำหนึ่ง มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อถึงสามร้อยคำ ผู้สัมภาษณ์ทุกคนต่างวางของในมือลง จ้องมองจางเย่ด้วยความตกใจ!
จางเย่ไม่ได้สะทกสะท้านกับสายตา ยังคงท่องต่อไป “เนื่องจากหากคู่กรณีได้ยื่นเอกสารเท็จหรือมิได้ปฏิบัติการตามขั้นตอนกฎหมายในการได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าว ก็จะเกิดผลเสียแก่ชื่อเสียงขององค์กรที่เป็นที่รู้จักของมวลชน ดังนั้นความเชื่อมั่นจึงเป็นพื้นฐานที่จำเป็นที่สุดสำหรับสำนักทนายความ…”
ในสายตาของจ้าวกั๋วโจวและหลี่หงเหลียน ท่องได้สามร้อยคำเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ แต่จางเย่กลับยังท่องต่อไปอีก!
“นี่…..”
300 คำ!
500 คำ!
800 คำ!
สีหน้าของผู้สัมภาษณ์ต่างตะลึงงัน!
กระทั่งถึงย่อหน้าสุดท้าย จางเย่ยังคงท่องต่อไปไม่ช้าไม่เร็ว “เพื่อความเชื่อมั่นของสังคมที่มีต่อองค์กร คนที่ถูกรับเลือกเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้จึงต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวด” หยุดไปชั่วครู่ จึงกระแอมว่า “ขอบคุณอาจารย์ทุกท่าน ผมท่องจบแล้ว!”
กรรมการหญิงคนหนึ่งทำปากกาหลุดมือตกกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้น!
จ้าวกั๋วโจวตกตะลึงแล้วหันไปด้านข้าง “เหล่าหลี่? นี่...ถูกหมดรึเปล่า?”
หลี่หงเหลียนมองเอกสารในมือ สูดลมหายใจลึกยากจะกล่าว “....เก้าร้อยยี่สิบกว่าคำ ไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว!”
ผู้สัมภาษณ์ทางซ้ายมือแทบจะพลัดตกจากเก้าอี้ กล่าวเสียงสั่นว่า “คุณทำได้ยังไง? สิบวินาที? คุณจำได้หมดเลย?”
จางเย่เผยรอยยิ้มวูบหนึ่ง “ผมมองอะไรค่อนข้างไว ความจำค่อนข้างดีหน่อย แค่กวาดตามองก็พอแล้ว”
สิบวินาทีสามารถกวาดตามองตัวอักษรได้มากกว่าเก้าร้อยคำ นี่มันไม่เรียกว่าเร็วแล้ว นี่แม่*โคตรเร็วเลย! แม้พวกเขาอยากจะถามจางเย่ว่าเคยเห็นวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มาก่อนใช่ไหม แต่คิดอีกทีก็เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ บทความชิ้นนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ถูกสุ่มมั่วมาจากอินเทอร์เน็ต โอกาสที่ข้อสอบจะรั่วก็ไม่มีเช่นกัน เพราะหลี่หงเหลียนเป็นคนเลือกหัวข้อคำถามด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่ใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลย!
แม่โว้ย! นี่มึ*ยังเป็นคนอยู่รึเปล่าเนี่ย!?
ผลงานของจางเย่ทำให้พวกเขาตกใจจนปากอ้าตาค้างกันทุกคน!
ผู้สัมภาษณ์หลายคนเริ่มสวดมนต์ต่อฟ้าดิน รู้สึกเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ!
(*ผู้แปล: จางเถิงหลัน หรือ อาซาคาวะ รัน และ จางจิ่งคง หรือ โซระ อาโออิ - ดารา AV)
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
TurKish_TEA : พอแปลใหม่จากจีนแล้วได้กลิ่นอายจีนขึ้นเยอะเลยแฮะ
หนังสือใส่แว่น : ใช่ อย่างพวกสำนวน คำเฉพาะ บลาๆ
TurKish_TEA : ลั่นมากเลยท่อนนี้ ชอบๆ ..คนสวดมนต์เข้ามารับสัมภาษณ์ 555555
หนังสือใส่แว่น : ชอบมาก ฮาเลยจริงๆ 555555
เฉินเล่อ << ป่านนี้คงนั่งยืดตัวลอยจากหน้าคอมล่ะมั้งงงง