"วัต ของฝาก"
กานต์ส่งถุงให้ แล้วยิ้มจนตาหยี คนรับเห็นของฝากถึงกับตกใจ
"เอาอะไรมาเยอะแยะกานต์"
"ข้าวตังหมูหยอง เจ้าดังของโครา แล้วก็นี่พิเศษ กุนเชียง อันนี้เป็นของร้านเก่าแก่เลยนะ"
กุนเชียงนั้นไม่ได้อยู่ในถุงพลาสติกเช่นที่วางขายทั่วไป แต่มัดเป็นพวงใส่ในถุงกระดาษใบเล็ก ตรายี่ห้อบนถุงทำให้เขาถึงต้องอุทาน
"เจ้านี้ยังขายอยู่เหรอ"
"เปล่า ร้านปิดไปแล้ว จะกินต้องสั่งทำ อาผมสั่งมาผมเลยเอามาฝาก เดี๋ยว วัตรู้จักร้านนี้ด้วยเหรอ"
"เปล่า เห็นถุงมันแปลกกว่าทั่วไปน่ะ ไม่นึกว่าจะยังมีร้านที่ใส่ถุงกระดาษแบบนี้"
"ผมก็ว่า ร้านปิดไปตั้งแต่ผมยังเด็ก วัตจะรู้จักได้ไง"
"เอามาตั้งเยอะแยะ จะกินยังไงหมด แล้วกานต์กินข้าวเย็นหรือยัง"
"ยังเลย ผมกินตอนเที่ยงก่อนออกมา เดี๋ยวว่าจะออกไปหาอะไรกินที่ตลาด"
"งั้นมากินข้าวกับผมไหม ได้กุนเชียงมาแบบนี้ จะทำข้าวอบกุนเชียงให้"
"ลำบากวัตหรือเปล่า"
"ไม่ลำบากเลย ข้าวมีหมูมีอยู่ในครัว ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็รอกินได้แล้ว มากินด้วยกันนะ"
"แต่"
"ไม่ต้องแต่เลย ทำข้าวอบต้องทำเยอะหน่อย มากินเป็นเพื่อนผมหน่อย"
ตากลมโตสื่ออารมณ์ชักชวนจริงใจกับเหตุผลที่จะได้มีเพื่อนกินด้วยทำให้กานต์พยักหน้ารับ
"ก็ได้"
"งั้นรอเดี๋ยว ผมไปทำก่อน จะรอที่บ้านผมไหม"
"ให้ผมช่วยเปล่า"
"ไม่ต้องหรอก ไม่ยาก ผมทำแป๊ปเดียวก็เสร็จ นั่งดูทีวีรอไปก่อนล่ะกัน"
วสวัตบอกพลางถือถุงเดินเข้าไปในห้องครัว
"อืม อร่อย วัตทำกับข้าวเก่งจัง รสชาติไม่แพ้ร้านที่ขายเลย"
การตักข้าวเข้าปากตุ้ย ๆ ทำให้คนทำรู้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้ชมเล่น ๆ
"ส่วนหนึ่งก็เพราะกุนเชียงด้วย กุนเชียงอร่อย ข้าวอบก็อร่อย"
"ทำยากไหม บอกสูตรได้หรือเปล่า เผื่อผมไปทำมั่ง"
"ไม่ยากเท่าไหร่หรอก หั่นหมูหั่นกุนเชียง แช่เห็ดหอมไว้ ผัดหมูกับกุนเชียงในน้ำมันที่ผัดกระเทียมกับเห็ดหอมไว้ก่อน แล้วเอาข้าวไปผัด พอข้าวหอมก็ใส่หม้อหุงข้าว เอาน้ำที่แช่เห็ดหอมใส่ผงซุปนิดหน่อยลงไป กดหม้อหุงข้าว เสร็จแล้ว"
"เนี่ยนะไม่ยาก"
คนฟังทำท่าหงายหลังตีหน้าผาก วสวัตหัวเราะเต็มเสียงอย่างที่ไม่เคยหัวเราะแบบนี้มานาน
"ก็ไม่ยากจริง ๆ นี่ ถ้ากานต์จะกินก็บอก ผมทำให้กินได้"
"จริงเหรอ"
"จริงสิ ผมจะโกหกทำไม"
กานต์มองคนทำอาหาร ความจริงใจฉายชัดในดวงตาใสซื่อคู่นั้น
"เชื่อแล้วว่าวัตพูดจริง ไม่ได้ชวนตามมารยาท"
"รู้ได้ไง"
"ก็ตาวัตมันบอกไง"
สีหน้างง ๆ ของคนฟัง ทำให้คนบอกต้องอธิบาย
"วัตไม่รู้เหรอว่า เวลาวัตคิดอะไร มันแสดงออกมาทางดวงตาหมดเลย จะชอบใจจะขำจะโมโห ดูตาก็รู้แล้ว่าตอนนั้นคิดอะไร"
"เหรอ แล้วรู้ไหมว่า ตอนนี้ผมคิดอะไร"
วสวัตจ้องอีกฝ่าย หากเมื่อโดนจ้องตากลับชั่วครู่เขาก็เบือนหน้าหลบ
"อ่า อันนี้ วัตกำลังเขิน ไม่เคยจ้องหน้าคนหล่อใช่ไหมล่ะ"
คำตอบนั้นทำให้วสวัตตาวาว ปากเริ่มเม้ม
"อันนี้กำลังโมโห ผมพูดถูกไหม"
"รู้ดี"
"แล้วมันจริงไหมล่ะ ผมชอบนะ เวลาที่วัตทั้งเขินทั้งโมโหแบบนี้ น่ารักดี"
คำชมนั้นทำให้วสวัตถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่า อีกฝ่ายจะชมเอาดื้อ ๆ แบบนี้ เขารีบสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วกดข่มความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นในใจ
"ไม่ต้องชมเลย กินข้าวไป ถ้าอร่อยจริงต้องกินให้หมดนะ"
"สบายมาก อาหารที่คนน่ารักทำให้ ยังไงก็ต้องกินให้หมด"
"ไม่ต้องชมเลย ว่าแต่บ้านกานต์อยู่อำเภอไหนเหรอ"
คนที่เริ่มรู้สึกว่าวางตัวไม่ถูกพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
"ผมอยู่ในเมืองเลยล่ะ อยู่ใกล้ ๆ อนุสาวรีย์ย่าโม วันไหนไปเที่ยวบ้านผมไหม เดี๋ยวผมพาเที่ยวเอง อยากไปไหนบอกได้เลย"
"กานต์สะดวกเหรอ"
"สะดวกมาก มานอนบ้านผมได้เลย ที่พักอาหารพร้อม"
น้ำเสียงคนชวนจริงใจจนวสวัตไม่สามารถปฏิเสธชัดเจนอย่างที่คิด
"ได้ ไว้สะดวกแล้วผมจะไป"
"ดูตาก็รู้แล้วว่า อันนี้รับปากไปงั้นแหละ ไม่ไปหรอก"
"เปล่านะ แต่ตอนนี้ยังไม่สะดวก"
"เอาเหอะ ผมจะชวนบ่อย ๆ วัตต้องใจอ่อนไปด้วยสักทีล่ะน่า"
"ตามใจ"
"นี่ก็เขินอีกแล้ว ความจริงนั่งดูตาวัตนี่ก็เพลินดีนะ คิดอะไรตามันฟ้องหมดเลย"
กานต์ยิ้มเต็มรอย วสวัติส่ายหน้า เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า ตอนนี้ดวงตาเขายังแสดงความรู้สึกออกมาชัดเจนอยู่อีกหรือ ทั้งที่ประสบการณ์ชีวิตควรทำให้ซ่อนเก็บทุกอารมณ์ได้แล้วนี่นา
"พัฒ์ โก้ ไปดูหนังกัน พึ่งเข้าวันนี้เลย"
วีระเอ่ยชื่อหนังเกี่ยวกับสงครามเรื่องดัง โก้มองหน้าคนตัวเล็กแล้วส่ายหน้า
"ไม่ล่ะ"
"ทำไมล่ะ วันนี้ไม่มีเรียนแล้วนี่ ไม่ว่างเหรอ"
"ว่าง"
"ว่างก็ไปสิ ปกตินายชอบหนังสงครามจะตาย"
"พัฒน์ไม่อยากดู"
ประโยคนั้นทำให้อธิพัฒน์มองโก้อย่างงง ๆ วีระก็ทำหน้าไม่เชื่อ
"ทำไมพัฒน์จะไม่อยากดู พัฒน์ชอบดูหนังจะตาย"
"ถามพัฒน์ดูเลย ถ้าพัฒน์ดูเราเลี้ยงนายเลย"
"แน่นะ ไป พัฒน์ไปดูหนังกัน"
หากคนถูกชวนส่ายหน้าทันที
"ไม่เอา ไม่ดูเรื่องนี้ ถ้าจะดูก็ดูเรื่องอื่น"
"ทำไมล่ะ เรื่องนี้ดังออก เข้าข้างโก้เหรอ"
"ไม่ได้เข้าข้าง เราไม่ชอบหนังสงคราม หรือพวกหนังที่จบแบบเศร้า ๆ หนังพวกนี้ดูแล้วมันหดหู่ เคยดูแล้วมันเศร้า มันรู้สึกแย่"
พอคิดทบทวน วีระก็ต้องพยักหน้ารับ เพราะแม้จะชอบดูหนัง แต่เขาพึ่งนึกได้ว่า ทุกครั้งอธิพัฒน์จะดูหนังตลก รักโรแมนติก ที่จบแบบมีความสุขทุกครั้ง
"ยิ่งหนังสงคราม เรายิ่งไม่ดู มันชอบมีฉากทหารฆ่าชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง แหยะ ถ้าจะดูนายก็ไปดูเอง ถ้าดูเรื่องอื่นเราจะไปด้วย"
"เออ...เออ งั้นดูเรื่องอื่นก็ได้ เดี๋ยวเราไปดูหนังสือพิมพ์ในห้องสมุดก่อนว่ามีเรื่องอะไรบ้าง"
ปี 2532 ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ข้อมูลต่าง ๆ จากต้องอ่านผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ วีระหันมาทางโก้
"แล้วนายรู้ได้ไงว่า พัฒน์จะไม่ดูเรื่องนี้ รู้ใจกันจริง เรายังไม่รู้เลย"
"นายก็ดูตาเขาสิ"
ประโยคนั้นทำให้อีกสองคนมองเขาอย่างงง ๆ โกมลพยักหน้าให้วีระมองตาคนตัวเล็ก
"เห็นไหม ตอนนี้ตาเขาบอกเลยว่า กำลังงง"
วีระมองตามแล้วพยักหน้า
"อยากรู้ว่าพัฒน์คิดอะไร ไม่ต้องถามหรอก ดูตามเขาก็รู้ จะดีใจเสียใจโมโห ตาเขาออกมาหมดน่ะ ตอนนายมาชวน เราเห็นตามพัฒน์ก็รู้แล้วว่า ไม่ ไม่ไป"
"เออ นายก็ช่างสังเกต เรารู้จักเขามาตั้งแต่เด็กยังไม่เคยสังเกตเลย"
"นี่ นายสองคนพูดกันเหมือนเราไม่ได้อยู่ด้วยเลยนะ"
เสียงแง้ว ๆ เริ่มสูง ตากลมวาวขึ้น
"เนี่ย...ชักหงุดหงิดแล้ว พัฒน์นี่ตลกดี คิดอะไรตามบอกหมด"
โกมลพูดพลางหัวเราะขณะที่อธิพัฒน์ค้อนหากไม่ได้โกรธจริงจัง
"เราไปดูโปรแกรมหนังให้ก่อน นายสองคนรออยู่นี่ล่ะกัน เออ...แล้วทำไม นายต้องมานั่งสังเกตตาพัฒน์วะ รู้ไปหมดว่าเขาคิดยังไง คิดอะไรเปล่านั่น"
ประโยคทิ้งท้ายก่อนเดินออกไปของวีระทำให้คนที่นั่งอยู่สองคนทำหน้าไม่ถูก อธิพัฒน์เหลือบมองโกมลแล้วรีบเบือนหน้าหนี ขณะที่โกมลก็ไม่มองตาอีกฝ่ายอีกเลย
พอได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน วสวัตก็เปิดประตูเดินไปหา กานต์ที่พึ่งลงจากรถยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทาบซ้อนในความทรงจำ คงเพราะความคล้ายคลึงนั้นทำให้ผนึกที่เขาปิดกั้นจากทุกคนค่อย ๆ คลายเปิด
"วัตมารอรับผมเหรอ ดีใจจัง"
แม้จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้การเย้าแหย่แบบนี้เป็นเรื่องปกติ หากเมื่อเกิดกับตัวเองก็ยังอดเขินไม่ได้อยู่ดี วสวัตพยายามทำหน้านิ่งก่อนบอก
"เขินอีกแล้ว วัตนี่น่ารักจัง นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เขิน เป็นนางเอกนิยายโบราณได้เลยนะเนี่ย"
เมื่อเห็นตาวาววับและท่าทางเริ่มโมโห กานต์ก็รีบบอก
"ไม่แซวแล้ว มาหาผมมีอะไรหรือเปล่า"
"กินข้าวมาหรือยัง ถ้ายังมากินด้วยกันไหม"
"ยังไม่ได้กิน แต่ถ้าวัตชวนนะ ถึงกินแล้วก็กินอีกได้"
"งั้นก็เอาของไปเก็บล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวมากินข้าวบ้านผมนะ"
"ได้เลยครับ คุณแม่"
เมื่อเห็นหน้าตางง ๆ ของคนถูกเรียก กานต์ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"ก็วัตพูดแบบนี้ เหมือนแม่ผมพูด กลับถึงบ้านทีไร ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะลูก แล้วมากินข้าว"
กานต์ทำเสียงเล็กเสียงน้อย ขณะคนถูกล้อค้อนให้แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน หากประโยคที่ติดใจคือคำเรียกที่ไม่ตั้งใจของอีกฝ่าย
"คุณแม่"
ถ้านับตามความเป็นจริง คำเรียกนี้อาจจะเหมาะสมก็ได้
"อืม อร่อยทุกอย่างเลย ผมพึ่งรู้นะเนี่ยว่า วัตทำกับข้าวเก่งขนาดนี้"
"ผมกินยาก เวลาซื้อที่เขาขายก็ไม่ค่อยถูกใจ เลยหัดทำกินเอง จะได้รสชาติแบบที่ชอบ"
"แล้ววัตหัดทำตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ตั้งแต่เด็กแล้ว ลองผิดลองถูกมาเรื่อย จนพอกินได้นี่แหละ"
"ไม่ได้พอกินได้ อร่อย"
นอกจากไม่ประหยัดคำชม กานต์ยังกวาดอาหารทุกจนหมดเกลี้ยงอีกด้วย
"แสดงว่า กานต์กินรสชาติคล้าย ๆ ผม ถึงบอกอร่อย"
"อร่อยจริง ๆ วัตทำกับข้าวแล้ว ให้ผมช่วยล้างจานนะ"
"ไม่เป็นไร ผมมีเครื่องล้างจาน"
พอเห็นสีหน้าคนฟัง วสวัตยิ้มเต็มรอยบ้าง
"บ้านผมเป็นแม่บ้านแบบอุปกรณ์ดีเด่น มีแทบทุกอย่างแหละ ชอบทำกับข้าวแต่ขี้เกียจล้างกระทะหม้อ เลยซื้อเครื่องล้างจานมาเลย กินเสร็จเอาไปใส่เครื่อง เสร็จ"
"งั้นเดี๋ยวผมช่วยยกไปให้"
"ได้"
"ทำกับข้าวเก่งแบบนี้ อยากให้วัตไปเที่ยวกับผมด้วยจัง"
"ไปไหนเหรอ"
"ผมว่า ปลายปีจะขึ้นเขาใหญ่ ตอนหนาว ๆ น่าจะสวย อากาศดี"
ชื่อสถานที่ทำให้วสวัตหน้าผิดสี หากคนพูดไม่ทันสังเกต
"ผมดูที่พักไว้แล้ว เขามีลานให้ปิ้งบาร์บีคิวกินเองได้ อากาศเย็น ๆ ก่อกองไฟ ปิ้งบาร์บีคิวกินกันน่าจะสนุกนะ ไปด้วยกันนะ"
"ถึงไม่ไป ผมหมักเนื้อใส่กล่องไปให้ก็ได้"
"ผมอยากให้วัตไปสนุกด้วยกันนี่"
"ดูก่อน อีกตั้งหลายเดือน ไว้ใกล้ ๆ ค่อยคิด กานต์ช่วยผมยกจานไปใส่เครื่องล้างก่อนเถอะ"
กานต์พยักหน้า หากเมื่ออีกฝ่ายกลับแล้ว กล่องเล็กที่ถูกซ่อนไว้ใต้ตู้ก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง รูปถ่ายสีซีดจางหลายใบวางเรียงรายทวนย้อนความทรงจำ