webnovel

ตอนที่ 6

"หา...พรุ่งนี้มี quiz เหรอ ฉิบ...ล่ะ"

"แล้ววันนี้เป็นไร เสือกโดด ไม่มา"

"ก็นึกว่าไม่มีอะไรนี่หว่า ตื่นไม่ทันด้วย แล้วนี่มึงอยู่ไหนเนี่ย มาหากูก่อนได้เปล่า เอาหนังสือมาให้ด้วย กูยังไม่ได้อ่านเลย"

พอได้คำตอบ กานต์ยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

"กลับบ้านแล้ว เวรล่ะ แล้วกูจะเอาหนังสือที่ไหนล่ะเนี่ย ไปมหาลัยตอนนี้ กว่าจะถึงห้องสมุดปิดพอดี พรุ่งนี้ คาบแรกด้วย เออ เออ เออ เดี๋ยวกูหาวิธีเองแหละ"

กานต์บ่นแล้ววางโทรศัพท์ในมือ เขานั่งอยู่โต๊ะเล็กหน้าบ้านที่วางกองชีทไว้ปึกใหญ่ วสวัตเดินเข้าไปหาคนที่ตอนนี้หน้ามุ่ยจนหาความหล่อแทบไม่เจอ

"เสียงดังเชียว quiz วิชาอะไรล่ะ กานต์"

กานต์ขยับที่ให้อีกฝ่ายมานั่งด้วยอย่างเคยชิน ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเช่าบ้านหลังอื่น ทำให้วสวัตอยู่กับกานต์แค่สองคน ทุกเย็นไม่วสวัตเดินมาหา กานต์ก็จะเข้าไปคุยกับอีกฝ่าย หลายครั้งก็ออกไปทานอาหารเย็นด้วยกัน เสาร์อาทิตย์ กานต์ก็ชวนวัตออกไปดูหนังเป็นเพื่อนเสมอ ๆ จนกานต์บอกว่าอยู่กับอีกฝ่ายมากกว่าเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเสียอีก

"ยำไทยน่ะสิ ยากด้วย"

"ยำไทย อ๋อ อารยธรรมไทย แล้ว quiz เรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องที่มาและแนวคิดของตำนานพื้นบ้านภาคต่าง ๆ น่ะ จริง ๆ ผมจองหนังสือไว้กับห้องสมุดแล้ว แต่ยังไม่มีใครเอามาคืน เลยยังไม่ได้อ่าน"

"เล่มไหนล่ะ"

กานต์บอกชื่อหนังสืออ่านประกอบที่จะใช้สอบวันรุ่งขึ้น

"ถ้าเล่มนี้ ผมว่าผมมีนะ อยู่ในตู้ เดี๋ยวผมหยิบมาให้"

"วัตอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ"

"เปล่า ของคุณอาผมน่ะ แกชอบอ่านหนังสือ ซื้อเก็บไว้ตั้งแต่แกยังเรียน จนจะเป็นห้องสมุดอยู่แล้ว เดี๋ยวดูก่อนนะ ถ้ามีจะเอามาให้"

"จะดีเหรอ ผมกลัวทำหนังสือยับ"

"ไม่ต้องกลัวเลย ถึงคุณอาอยู่ คุณอาก็ไม่ว่า คุณอาชอบอ่านหนังสือ มีหนังสือเยอะมาก แต่ไม่ใช่คนรักหนังสือแบบถนอม อ่านแล้วห้ามยับ คุณอาบอก หนังสือมีไว้อ่าน อ่านแล้วก็ต้องมีรอย อ่านแล้วก็ต้องยับ ถ้ามีหนังสือเก็บไว้สวย ๆ อ่านแล้วห้ามยับก็ไม่มีประโยชน์ หนังสือคุณอาใครจะยืมก็ได้ ขอแค่อย่าทำขาดทำเลอะพอ ผมเองก็ไม่กลัวหนังสือยับนะ ไม่ต้องคิดมาก"

"อย่างนั้นก็ดี งั้นผมขอยืมหน่อยนะ แต่เรื่องนี้ คุณอาวัตนี่คิดเหมือนคุณอาผมเลยนะ อาบอก หนังสือมีไว้อ่าน ไม่ได้มีไว้เก็บ"

"เหรอ เดี๋ยวผมไปเอามาให้"

วสวัตเดินกลับเข้าไปในบ้าน หากประโยคท้ายนั้นสะกิดใจนัก บางครั้งเขาก็คิดว่าเหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง หลายครั้งที่เจอกานต์แล้วทำให้คิดถึงเรื่องราวที่พยายามจะลืม ความทรงจำที่พยายามไม่คิดถึงมานานชัดเจนคืนมาอีกครั้ง

"พัฒน์ ทำอะไร หนังสือยับหมดแล้ว"

คนผิวคร้าม หน้าเข้มบ่น เมื่อเห็นคนนั่งข้าง ๆ ที่เปิดหนังสือเล่มหนากางออก แล้วกดมือค่อนข้างแรงจนหนังสือแผ่ให้อ่านได้ง่าย สันหนังสือที่เรียบมีรอยยับ พัฒน์หัวเราะทำหน้าให้รู้ว่าที่ทำน่ะตั้งใจ เขาสอดที่คั่นไปยังหน้าที่อ่านค้างไว้

"หนังสือมีไว้อ่านนี่ ถ้าต้องมาถนอม ค่อย ๆ เปิดกลัวทีละหน้ากลัวยับ จะไปอ่านสนุกได้ไง หนังสืออ่านแล้วยับก็ปกติ แค่ไม่ขาดไม่เลอะก็พอแล้ว"

"เห็นมีแต่คนซื้อหนังสือใหม่มา ต้องค่อย ๆ เปิด ขนาดวี ตอนนั้นยังโมโหแทบตาย"

อธิพัฒน์หัวเราะเมื่อนึกถึงท่าทางโกรธจนหงุดหงิดของวีระ เพราะวีระวางหนังสือที่พึ่งซื้อมาไว้บนโต๊ะ ขณะที่โก้ที่เดินตามมาวางกระเป๋าลงข้าง ๆ แล้วไม่ทันมอง กระเป๋าเลยดันหนังสือเล่มใหม่ตกลงกระแทบพื้นเป็นรอยยับ ทำเอาเจ้าของหนังสือหัวร้อนโวยวายไม่เลิก อธิพัฒน์ที่อยู่ด้วยเลยแก้ปัญหาโดยการเอาหนังสือของตัวเองสลับให้

"เราเห็นคนชอบอ่านหนังสือมีแต่จะถนอมหนังสือกลัวยับกันจะตาย มีแต่นายนี่แหละชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่เคยถนอมไม่เคยกลัวหนังสือพังเลย"

"เราชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่คนรักหนังสือแบบถนอม อ่านแล้วมันก็ต้องยับ จะให้ใหม่เอี่ยมตลอดก็อย่าเปิดเลย อีกอย่างเจอคนถนอมหนังสือแบบวี ใครจะกล้ายืมกลัวทำหนังสือเขายับ แล้วจะมีประโยชน์ไร มีหนังสือแต่เก็บไว้ในตู้ ไม่ให้ใครอ่าน แบบนี้ใครอยากยืมหนังสือเราก็ยืมได้ ไม่ต้องกลัว"

"มีแต่นายมั้งที่คิดแบบนี้"

หลังจากวันนั้น นิสัยการอ่านหนังสือของโก้ก็เหมือนกับพัฒน์ อ่านเพื่อให้ได้ประโยชน์จากหนังสือ ไม่จำเป็นต้องถนอมจนไม่ให้เป็นรอยเลย

"พรุ่งนี้สอบ นายอ่านจบยังล่ะ"

"โห้ย อย่าพูดเลย แทบไม่เข้าหัวเลย"

โก้บ่น เพราะชอบวิชาด้านคำนวณ ทำให้เขาไม่สนใจวิชาบรรยายนัก ยิ่งเป็นการบรรยายตำนานเก่า ๆ เขายิ่งรู้สึกว่าเป็นยานอนหลับอย่างดี เวลาเรียนวิชาพวกนี้ โก้จะไม่ยอมเข้าไปเรียนในห้องบรรยายใหญ่ที่อาจารย์สอน แต่จะเลือกเรียนในห้องที่มีโทรทัศน์ถ่ายทอดแทน แม้จะบ่นว่า เรียนกับทีวีไม่เหมือนเรียนกับอาจารย์จริง ๆ แต่พัฒน์ก็มานั่งเรียนกับโก้ทุกครั้ง

"ทำไมวุ่นวายนักก็ไม่รู้ ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องอิรุงตุงนังไปหมด ไหนจะอิทธิฤทธิ์สารพัด แถมมีการสืบทอดได้อีก เป็นจริงล่ะยุ่งตาย"

"ก็มันเป็นเรื่องเล่านี่ ก็มีจริงมั่งโม้มั่งปนกันแหละ นายดูนี่ เราสรุปไว้แล้ว"

คนตัวโตนั่งฟังคนตัวเล็กอ่านสรุปย่อ ยิ่งฟังก็ยิ่งบ่น

"คนโบราณเขาเชื่อกันได้ยังไง เมืองทั้งเมืองเนรมิตคืนเดียวเสร็จ สาปให้คนกลายเป็นหิน คนมีเมียเป็นงู หรือ คนไม่แก่เนี่ย เขาไม่คิดถึงความเป็นจริงกันมั่งเหรอไง"

"น่าจะเพราะคนโบราณยังเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติอยู่ ก็เลยเชื่อมั้ง"

"งมงาย"

"เอาน่า เขาให้ท่องเพื่อสอบ ไม่ใช่ท่องแล้วต้องเชื่อซะหน่อย อย่าไปเขียนในข้อสอบล่ะกัน โดนอาจารย์ให้ตกแหง ๆ"

"วัต คิดอะไรอีกแล้ว"

กานต์ถาม เพราะพออ่านหนังสือได้สักครู่ เขาก็รู้สึกว่ารอบตัวเงียบไปจนผิดปกติ พอมองคนที่เอาหนังสือมาให้ก็เห็นอีกฝ่ายนั่งเหม่อ ดวงตาเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดล้ำลึก เรียกครั้งแรกอีกฝ่ายก็ยังคงเหมือนไม่รู้ตัว เขาจึงเรียกอีกครั้ง

"วัต"

เสียงเรียกดึงวสวัตกลับมาจากความคิด เขามองคนตรงหน้า ภาพซ้อนของคนอีกคนซ้อนเข้ามาก่อนจะกลับมาเป็นกานต์อีกครั้ง

"โทษที ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย"

"น่าจะเพลินจริง เรียกไม่ได้ยินเลย แล้วคิดเรื่องอะไรอยู่ บอกได้ไหม"

"คิดเรื่องตำนานในหนังสือน่ะ"

"อืม ทำไมตำนานต้องมีอิทธิฤทธิ์อะไรเยอะแยะไปหมดก็ไม่รู้ อ่านแล้วไม่น่าเชื่อเลย บางทีเวลาอาจารย์เล่าผมก็สงสัยนะ คนเมื่อก่อนเขาเชื่อกันจริง ๆ เหรอ"

คำถามแทบจะเหมือนกับคำถามที่เคยได้ยินราวเดจาวู หากครั้งนี้สิ่งที่เคยตอบไม่ได้วันนั้น ประสบการณ์ในชีวิตทำให้มีคำตอบแล้ว

"ที่ต้องมีอิทธิฤทธิ์ด้วยก็ เพื่อให้คนจำได้ไง"

"หมายความว่าไง"

"เมื่อก่อน หนังสือไม่ได้พิมพ์ง่ายเหมือนสมัยนี้ กว่าจะได้แต่ละเล่มมันยากมาก กานต์คิดสิ กว่าจะทำใบลานให้แห้งเป็นจนใช้เขียนได้ก็ยากแล้ว ไหนจะต้องผสมหมึกที่สูตรยุ่งยากแล้วก็เป็นความลับอีกต่างหาก แถมยังต้องเขียนด้วยลายมือทีละหน้ากว่าจะครบทั้งเล่ม หนังสือจึงถือว่าเป็นของสูง เพราะมีแต่คนที่มีอำนาจอย่างพระมหากษัตริย์ ขุนนาง หรือ วัดเท่านั้นแหละที่จะมีหนังสือได้ คนทั่วไปน้อยคนจะมี"

"แล้วหนังสือทำยากมันเกี่ยวอะไรกับอิทธิฤทธิ์ล่ะ"

"ก็เพราะหนังสือทำยากไง คนทั่วไปถึงต้องใช้วิธีจำเอา ไม่สามารถจดแล้วเอามาอ่านซ้ำได้เหมือนสมัยนี้ พอใช้วิธีจำแล้วเล่าต่อกันไป ถ้าเล่าเป็นเรื่องธรรมดาก็จะลืมง่าย การเล่าเรื่องโดยมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็จะทำให้เรื่องสนุกขึ้น คนก็จะจำง่ายขึ้นไง อย่างเรื่องพระร่วง มีขอมดำดินมา คนก็จำนี้ได้ ทั้งที่ความจริง น่าจะเป็นการที่ขอมปลอมตัวมาเพื่อจับกุมพระร่วง แล้วอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์พวกนี้ ยังทำให้ประชาชนศรัทธาเชื่อมั่นในพระมหากษัตริย์ด้วย"

"มันก็จริงอย่างที่วัตพูด วัตนี่เข้าใจคิดหาเหตุผลน่ะ"

"ไม่ใช่ผมคิดหรอก อันนี้อาผมเคยอธิบายให้ฟังตอนเด็ก ๆ สมัยเรียน อาก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน เลยพยายามหาคำตอบว่า ทำไมเรื่องเล่าต้องมีปาฏิหาริย์แทบทุกเรื่อง"

"อาของวัตก็จบธรรมศาสตร์หรือ"

"ใช่ แต่รุ่นนานแล้วตั้งแต่เปิดรังสิตใหม่ ๆ เลย"

"อาผมก็เป็นรุ่นแรก ๆ ของรังสิตเหมือนกัน ไม่รู้อาใครแก่กว่ากันนะเนี่ย"

"ตอนนี้อาผมก็เสียไปแล้ว ไม่รู้จะถามยังไง อ่านต่อเถอะ เดี๋ยวไม่ทันสอบ"

"เรื่องนี้น่าสนใจแฮะ น่าจะใช้ทำรายงานปลายภาคได้"

กานต์บอกหลังจากอ่านหนังสือไปได้หลายบท

"เรื่องอะไรล่ะ"

"เรื่องของคนที่ไม่มีวันแก่ เป็นหนุ่มสาวตลอดกาล น่าจะเข้ากับสมัยนี้ดีนะสมัยที่คนไม่ยอมแก่แล้วคลินิกเสริมความงามเต็มเมือง"

คำบอกนั้นทำให้วสวัตหน้าผิดสีไปวูบหนึ่ง หากกานต์ที่อ่านหนังสือไม่ทันสังเกต

"ตำนานนี้บอกว่า คนบางคนมีสายเลือดที่ได้รับพลังวิเศษ สายเลือดที่ทำให้ไม่แก่เฒ่าเป็นหนุ่มสาวตลอดกาล ดู ๆไปก็เหมือนแดรกคิวล่าของฝรั่งนะ อ้อ...แต่ของฝรั่ง ต้องกินเลือดถึงจะคงความหนุ่มสาวไว้ได้ แต่ของไทยจะใช้วิธีอะไรน้า ถ้ามีดีจริงก็ดีเลย"

"ดียังไง"

"ก็ตรงไม่มีวันแก่ไง เข้ากับสมัยนี้เลย คนไม่ยอมแก่กันหาสารพัดวิธีมาทำให้ตัวเองดูดี คลินิกศัลยกรรมขายดีเป็นที่สุด ยิ่งพวกดารายิ่งแก่ไม่ได้ วัตดูสิ ดารารุ่นใหญ่หลาย ๆ คนก็ไม่แก่เลย บางคนเอารูปมาเทียบเพื่อนสมัยเรียนนี่เหมือนพ่อกับลูกก็มี"

คนพูดนึกถึงสิ่งที่เห็นในสังคมปัจจุบันอย่างนึกสนุก โดยไม่สังเกตหน้าเผือดสีของคนฟังเลย

"อีกอย่าง เอามาทำรายงานเปรียบเทียบความคิดคนได้เลยนะ ยุคไหนสมัยไหน คนก็ไม่อยากแก่ สมัยนี้คนใช้ศัลยกรรมต่าง ๆ สมัยก่อนใช้เวทมนต์ ยิ่งดีใหญ่เลย ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องโบท็อก ไม่ต้องร้อยไหม ฟรีด้วย แต่พวกหมอศัลย์คงไม่ชอบแน่ ๆ ตกงาน"

"อะไรที่ฝืนธรรมชาติไม่มีทางดีหรอก"

เสียงหนักแน่นทำให้กานต์ต้องมองอีกฝ่าย ใบหน้านั้นดูนิ่งกว่าปกติ

"ทำไมล่ะ วัต"

"ผมว่าไม่มีอะไรในโลกได้มาฟรี ๆ หรอก ถึงมีเวทมนต์ให้คนเป็นหนุ่มสาวได้ตลอดกาล คนที่ไม่แก่ก็คงต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไรสักอย่าง ก็เหมือนเวลาไปทำศัลยกรรม ยังไงก็ต้องเจ็บตัว อาจมีอาการแพ้ ผมว่าถึงเป็นเวทมนต์ก็คงเหมือนกัน แต่เป็นเวทมนต์สมัยใหม่"

"น่าสนใจนะ แล้วแบบนี้วัตว่า ต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไรล่ะ"

"ผมก็ไม่รู้หรอก อย่างน้อยที่สุด คนแบบนี้คงไม่มีทางมีเพื่อนเลย"

"ทำไมล่ะ"

"กานต์ลองคิดดูสิ คิดถึงเพื่อนกานต์ก็ได้ ถ้าอีกยี่สิบปีสามสิบปีกานต์นัดเจอเพื่อนร่วมรุ่น แล้วเพื่อนยังหน้าตาเหมือนตอนนี้ กานต์จะไม่แปลกใจเลยเหรอ ทุกคนแก่หมด แต่เพื่อนคนนั้นไม่แก่ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง กานต์จะไม่คิดว่าเขาประหลาดเหรอ"

เสียงคนพูดแห้ง สายตาที่เคยวาวดูอ้างว้างจนกานต์อดแปลกใจไม่ได้

"วัตเป็นอะไรเนี่ย อินไปหรือเปล่า ผมก็แค่คิดว่ามันดูเหมาะกับสมัยนี้เอง"

"เปล่า หรอก พอดีกานต์คุยเรื่องนี้ ผมเลยนึกถึงนิยายสองสามเล่มที่พูดถึงคนไม่มีวันแก่เหมือนกัน กานต์เคยอ่านไหม"

วสวัตเล่าถึงนิยายสองสามเรื่องที่เขียนถึงคนที่ไม่มีวันแก่ ผลกระทบในนิยายที่ตัวเอกต้องย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถมีเพื่อนได้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนรอบข้างแก่หมดแต่ตัวเองยังหนุ่ม ก็จะกลายเป็นสิ่งประหลาด แม้กระทั่งรักใครก็อยู่ด้วยไม่ได้เพราะยิ่งนานวัน ความแตกต่างของรูปร่างหน้าตาก็จะยิ่งชัดจนคนรอบข้างผิดสังเกต

"แล้วแบบนี้ กานต์ว่าดีเหรอ ผมว่าไม่เห็นดีตรงไหนเลย"

"น่าคิดอยู่นะ เดี๋ยวผมหานิยายเรื่องที่วัตบอกมาอ่านก่อน เรื่องนี้น่าจะทำเป็นรายงานตอนปลายเทอมได้เลย คนที่ไม่มีวันแก่ เปรียบเทียบความคิด การใช้ชีวิต"

กานต์พูดแล้วคิดวางโครงเรื่องรายงาน โดยไม่ทันสังเกตเลยว่า วสวัตมีสีหน้าแปลกไปเหมือนพยายามจะห้ามแต่แล้วก็ไม่ได้ออกปาก ชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นบอก

"พรุ่งนี้กานต์สอบ ผมไม่รบกวนแล้ว เดี๋ยวอ่านหนังสือไม่จบพอดี ผมเข้าบ้านก่อนนะ"

ไม่ฟังคำตอบ วสวัตเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้กานต์มองตามงง ๆ แต่ก็หันมาให้ความสนใจหนังสือที่จะสอบพรุ่งนี้ต่อ

Chapitre suivant