เมื่อเห็นว่าชาวบ้านเริ่มจะยอมรับในตัวดร.นิลลี่มากขึ้น รวมทั้งลูกศิษย์ทั้งสองก็เริ่มที่จะคล่องและช่วยเหลืออะไรได้มากขึ้น หมอนิลลี่จึงได้เริ่มโครงการออกเยี่ยมบ้านเดือนละครั้ง ตั้งใจไว้ว่าเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน เพื่อให้ลูกศิษย์ทั้งสองสามารถมาช่วยเหลือได้ อีกทั้งชาวบ้านที่ออกไปทำงานข้างนอกหมู่บ้านก็จะกลับมาพร้อมหน้า โดยไปดูคนไข้โรคเรื้อรังต่างๆ และดูว่ามีบ้านไหนต้องการความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพหรือสุขศึกษาอะไรบ้าง
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ออกทำเยี่ยมบ้านกัน
"มูมู่อย่าลืมเตรียม พีโอซีทีกลูโคส ไลปิดนะ" ดร.นิลลี่สั่งมูมู่ พร้อมหันมาบอกว่า
"ลูกศิษย์ทั้ง 2 คนพร้อมนะ วันนี้เราจะออกเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรก หวังว่าจะได้ใช้ความรู้ที่สอนไว้ให้เป็นประโยชน์ได้นะ"
"พร้อมครับ" ตุ๊ดตู่และณัฐประสานเสียงกันตอบ
แล้วทั้ง 4 คนก็เดินทางเข้าไปเยี่ยมบ้านของชาวบ้านไปทีละหลังจากหน้าหมู่บ้านไปจนหลังหมู่บ้าน ซึ่งจะพบว่าบ้านส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้สูงวัยกับเด็ก ผู้สูงวัยนั้นเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงน้อยมากเมื่อเทียบกับคนพื้นราบ อาจจะเป็นเพราะอาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นผัก ผลไม้ หัวมัน เผือก ไม่ค่อยได้รับประทานของทอดอะไรมากมายนัก และอาชีพก็เป็นเกษตรกรออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ อาจจะเป็นการออกกำลังกายที่หนักกว่าคนพื้นราบด้วย โดยแสดงให้เห็นว่าแทบไม่มีคนอ้วนให้เห็นเลย ซึ่งดีมากๆ
แต่เมื่อมาถึงบ้านเกือบท้ายหมู่บ้านนั้น
"มีใครอยู่ไหม ผมณัฐ ลูกพ่อหลวงครับ" ณัฐส่งเสียงเรียก
รออยู่สัก 10 นาที ก็เงียบ ไม่มีเสียงขานรับจากผู้ใด แต่ตุ๊ดตู่สังเกตเห็นว่ามีควันไฟ ออกมาจากครัว
"พี่หมอ ผมว่ามีคนอยู่บ้านนะ"
"ทำไมถึงคิดอย่างนั้นหละ ตุ๊ดตู่" ดร.นิลลี่ถามกลับไป
"ก็เห็นมีควันออกมาจากห้องครัวอ่ะสิครับ"
"แล้วบ้านนี้เป็นบ้านของใครคะ รู้ไหม"
"ไม่รู้เลยครับ คือบ้านหลังนี้อยู่กันกี่คน มีใครบ้างนี่ผมไม่รู้เลย ต้องคุณพ่อถึงจะพอรู้บ้าง แต่บ้านนี้ปกติไม่ออกมายุ่งกับใคร อยู่กันเงียบๆ แบบนี้มาหลายปีแล้วครับ" ณัฐตอบ
"ผมเองก็ไม่รู้อ่ะ เพราะไม่เคยเจอใครในบ้านหลังนี้ตั้งแต่จำความได้เลย" ตุ๊ดตู่ตอบ
"แต่ศิษย์น้องจำได้ว่า สมัยเด็กๆ ยังเคยเจอคนบ้านนี้อยู่นะ มีกัน 3 คนได้มั้ง พ่อแม่ลูก ซึ่งพ่อแม่นี่ถ้านับก็เป็นปู่ย่าผมได้ ส่วนลูกนี่ก็น่าจะเป็นคุณน้าคุณอาประมาณนั้น เมื่อก่อนก็เห็นแบบบ้านอื่นๆ แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นทุกคนในบ้านเก็บตัวเงียบมาเป็นสิบปีเห็นจะได้"
"อืม งั้นน่าเป็นห่วงยิ่งอยู่กันแบบเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร ไม่รู้ว่าอยู่กันแบบถูกสุขลักษณะไหม หรือมีใครป่วยอะไรหรือไม่ สงสัยต้องรบกวนคุณณัฐ ถือวิสาสะเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านขอเยี่ยมบ้านกันคะ"
"ถ้าบุกรุกแล้วเกิดประโยชน์ต่อชาวบ้าน ก็คงต้องตามนั้นครับ"
แล้วณัฐก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้านเอาดื้อๆ ปกติบ้านชาวเขามักไม่ได้ล็อคประตูอยู่แล้ว จึงสามารถเข้าไปได้โดยง่าย แล้วเมื่อทั้ง 4 คนเข้าไปถึง ก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก บ้านนั้นมีกลิ่นเหม็นอับเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ข้าวของในบ้านก็ดูสกปรกมีหยากไย่เหมือนบ้านร้าง แถมมีขยะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ที่ยิ่งไปกว่านั้นมีกลิ่นปัสสาวะอุจจาระด้วย และที่เห็นมีควันไฟนั้นเห็นคุณยายอายุน่าจะเกิน 80 ปีเห็นจะได้นั่งทำอาหารอยู่
คุณยายผอมจนหนังติดกระดูก แก้มตอบมากเหมือนแม่มด หลังโก่งแบบผู้สูงวัยปกติ และน่าจะเดินเหินไม่ค่อยสะดวกแล้ว เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนก็พบสภาพของคุณตายนอนติดเตียงอายุน่าจะพอพอกับคุณยาย ผอมเกร็งเหมือนกระดูกนอนได้ ข้างๆ คุณตานั้นน่าตกใจมากมีผู้ชายวัยกลางคนนอนอยู่เห็นขาข้างซ้ายใหญ่มากๆ ส่วนขาขวาปกติ ตัวผอมไม่ต่างกับคุณตา และเนื่องจากขาซ้ายที่ใหญ่มากๆ นั้นเลยทำให้ไม่สามารถเดินเหินได้ ต้องมานอนติดเตียง
หมอนิลลี่คิดในใจ น่าสงสารจัง มิน่าถึงไม่มีใครพบเห็นคนครอบครัวนี้ เพราะคนทั้ง 3 คนนั้น ไม่สามารถจะเดินเหินแบบปกติออกไปหาใครๆ ได้ แต่ที่ยังคงมีอาหารการกินได้เพราะหาผักได้ในบ้าน ส่วนข้าวและพืชผลการเกษตรก็ได้รับการปันมาจากผลผลิตของหมู่บ้าน ตามกติกาของหมู่บ้านดอยมอมแมมนั่นเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ดร.นิลลี่จึงเดินคิดว่าจะเข้าไปหาชายขาโตก่อนเพราะดูแล้วน่าจะมีอาการหนักสุดและยังสามารถพูดจาได้เข้าใจกว่าคุณตาและคุณยาย
"คุณณัฐสงสัยต้องให้คุณเข้าไปพูดคุยก่อนแล้วคะ คุณน้าจะได้ให้ความร่วมมือในการให้ประวัติ และตรวจร่างกาย"
"ได้ครับ"
"น้าครับ จำผมได้ไหมครับ ผมณัฐลูกพ่อหลวง เมื่อก่อนยังเคยเห็นคุณน้า บ่อยๆ"
"ไปออกไปจากบ้านกู พวกมึงมาทำอะไร มาสมน้ำหน้ากูหรือที่กูขาพิการไม่เหมือนชาวบ้าน"
"เปล่าครับ พวกเรามาดีจริงๆ พวกเราเป็นห่วงคุณน้านะครับถึงได้มาเยี่ยมที่บ้าน"
"ไปไป อย่ามายุ่งกับกู"
คุณยายได้ยินเสียงเอะอะจากห้องนอน เลยเดินมาจากในครัว เมื่อเห็นณัฐก็จำได้
"พ่อณัฐเองหรือ มาตอนไหนยายไม่เห็นเลย"
พร้อมหันไปคุยกับชายขาโตว่า "ไอ้พูด แกจำไอ้ณัฐลูกพ่อหลวงไม่ได้หรือ เมื่อก่อนแกออกจะเอ็นดูมันเหมือนลูกเหมือนหลาน คุยกับมันดีดีหน่อยสิ"
"เมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ผมมันเป็นคนพิการ ไม่มีใครอยากพูดอยากคุยอยากคบหาหรอก" พูดตอบมารดา
"กลับไป บ้านนี้มีแต่คนพิการ ไม่ต้อนรับใครหน้าไหนทั้งนั้น" หันมาขับไล่ทั้ง 4 คนต่อไป
"พ่อณัฐเอ็งกลับไปก่อนดีไหม ไอ้พูดมันอาละวาดใหญ่แล้ว" คุณยายหันมาขอร้องทั้ง 4 คน
"งั้นพวกเราทั้ง 4 ขอลากลับก่อนก็ได้ค่ะ ในเมื่อตอนนี้คุณพูดยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับพวกหมอ" ดร.นิลลี่บอกกับคุณยาย แล้วก็ดึงแขนณัฐให้ออกมาจากห้องนอนแล้วชวนกันเดินกลับไปที่บ้านริมน้ำ
พอพ้นตัวบ้าน "อ้าวพี่หมอ หมดความพยายามแล้วหรือครับ" ตุ๊ดตู่หันมาต่อว่าดร.นิลลี่
"ใครบอก ออกมาตั้งหลักตังหากเหล่า วันนี้ขืนฝืนเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร"
เดี๋ยวเรามาเยี่ยมทุกวัน ค่อยเลียบๆ เคียงๆ ถามกับคุณยายไปก่อนก็ได้แล้วถ้าทั้ง 3 คนพร้อมก็ค่อยขอตรวจร่างกายก็ได้ ที่สำคัญเราต้องทำให้คนทั้งบ้านเขายินยอมให้เราเข้าไปตรวจ
"ผมเห็นด้วยกับแม่หมอนะครับ" ณัฐบอก
หลังจากนั้นทั้ง 4 คนก็ไปที่บ้านหลังนั้นทุกเย็น เอาอาหารขนมของใช้จำเป็นไปให้อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งครบอาทิตย์ ก็เริ่มขอคุยกับคุณยายเรื่องอาการของน้าพูด โดยนิลลี่ได้ซักซ้อมให้ณัฐเป็นคนไปถามประวัติกับคุณยาย
"สวัสดีครับคุณยาย" ณัฐเริ่มบทสนทนา
"อ้าวว่าไงพ่อณัฐ วันนี้เอาอะไรมาให้อีก พอแล้วยายเกรงใจเหลือเกิน"
"ไม่ต้องเกรงใจครับ รับไว้เถอะ ยายต้องดูแลคุณตาและน้าพูดด้วย"
"ขอบใจเอ็งมากเลย เข้ามากินน้ำกินท่าก่อนไหม"
เข้าล็อคเลย อยากนั่งคุยกับคุณยายอยู่แล้ว "ได้สิครับ ผมขอพาคุณหมอ มูมู่ กับไอ้ตุ๊ดตู่เข้าไปด้วยนะครับ"
"ได้สิเข้ามาทั้งหมดนั่นแหละ"
"ยายครับ เกิดอะไรขึ้นกับน้าพูดทำไมขาถึงโตอย่างนั้น"
"ยายก็ไม่รู้ เมื่อสิบปีก่อนเห็นมันเป็นไข้ แล้วอยู่ขามันก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนเดินไม่ได้อ่ะ" เล่าเสร็จคุณยายก็ร้องไห้ออกมา
"พาไปให้พ่อหมอเป่ายา เอายาหม้อมาต้ม พ่อหมอบอกว่าเป็นโรคผีทำ ไปไปมามากับพ่อหมอหลายปี ก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายไอ้พูดมันก็เลยไม่ยอมไปหาพ่อหมอ จนเดินไม่ได้นี่แหละ"
"ตั้งแต่ขามันโต มันก็ไม่ยอมออกไปไหน แค่ออกไปหาพ่อหมอ เวลามันเดินเจอเด็กๆ เด็กๆ มักจะล้อมันว่าไอ้เท้าใหญ่ บางครั้งก็เอากรวดเอาหินปาใส่มัน มันเลยไม่อยากไปไหนกลัวคนรังเกียจ พออยู่กลับบ้านนานๆ เข้ามันเลยเดินไม่ได้นี่แหละ"
"ที่บ้านนี้มีมุ้งไหมยาย" นิลลี่เห็นคุณยายเริ่มเป็นกันเองก็เลยสอบถามเอง
"จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ บ้านนี้ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว แล้วยิ่งไอ้พูดมาป่วยแบบนี้ยิ่งไม่มีกินเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนก็อาศัยไอ้พูดมันออกไปทำไร่รับจ้างบ้างหารายได้ตามประสา"
"ยายจ๋า ช่วยหมอหน่อยได้ไหม ไปกล่อมน้าพูดให้หมอกับมูมู่ตรวจร่างกายกับตรวจเลือดได้ไหม"
"ได้ได้ แต่ไม่รู้มันจะยอมไหมน้า"
แล้วทั้ง 5 คนก็เดินเข้าไปที่ห้องนอนของคุณตาและน้าพูดที่นอนป่วยอยู่
"ไอ้พูด ไอ้ณัฐ มันมาเยี่ยมมันพาหมอมารักษาเอ็งแหนะ ให้มันเข้าไปนะ"
"ไม่กูไม่อยากรักษา รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายหรอก อย่าหลอกกูเลย ไปไป"
"พูดงี้ได้ไง ไอ้พูด พ่อหลวงเองก็ดีกับเรามาตลอดคอยมาหาคอยมาเยี่ยมอยู่นานๆ ที นี่ไอ้ณัฐมันก็เอาของกินของใช้มาให้ทุกวัน เขาหวังดีเลยมาหานะ ให้แม่หมอกับไอ้ตัวประหลาดนี่ดูอาการสักหน่อยเถอะ เผื่อมีปาฏิหาริย์ ให้เอ็งหายนะ"
"เอาอีกแล้วเอาเรื่องบุญคุณ มาอ้างอีกแล้ว อ้าวตรวจก็ตรวจ"
คุณยายรู้ใจลูกชายดี ว่าก่อนจะป่วยจนเป็นคนพิการไอ้พูดมันเป็นคนมีน้ำใจ กตัญญูรู้บุญคุณคน เลยต้องเอาวิธีนี้มาอ้าง
พอเข้ามาได้หมอนิลลี่ก็เอ่ยปากทักทายว่า "ชั้นเป็นหมอนะ ชื่อนิลลี่ เรียกชั้นว่าแม่หมอแบบชาวบ้านคนอื่นก็ได้ ส่วนนี่หุ่นยนต์ของชั้นชื่อ มูมู่"
"แม่หมอก็แม่หมอ จะทำอะไรก็เชิญ"
"มูมู่ตรวจร่างกาย ทำเอ็กซเรย์ ตรวจเลือดหาฟิลาเรียนะ"
มูมู่เข้าไปตรวจร่างกายทั้งหมดแต่เน้นหนักไปที่ขาข้างซ้าย ซึ่งนิลลี่เองก็สังเกตเห็นว่าขาโตมากๆ ผิวหนังขรุขระ พับย่น จึงได้แอบวินิจฉัยไว้เป็นโรคอะไร หลังจากทำเอ็กซเรย์และตรวจเลือดเสร็จก็กลับมารายงานผลให้หมอนิลลี่ดูผ่านทางดวงตา
"เป็นอย่างที่คิด คนไข้เป็นโรคเท้าช้างจริงๆ ด้วย" นิลลี่พูดกับมูมู่
"มูมู่ตรวจเพิ่มนะ ทำสแกนเส้นเลือดดำและท่อน้ำเหลือง เอาเลือดที่เหลือตรวจไต ตับ ซีบีซี ชั้นจะวางแผนผ่าตัด" แล้วมูมู่ก็เข้าไปทำตามที่ดร.นิลลี่สั่ง ระหว่างนั้น ดร.นิลลี่ก็หันมาคุยกับน้าพูดในสิ่งที่ตนวางแผนไว้
"น้าพูดคะ น้าเป็นโรคเท้าช้างคะ โรคนี้เกิดจากเชื้อพยาธิที่อยู่ในตัวยุง แล้วยุงเอามาแพร่ให้น้าเวลามันมากัดคะ จริงๆ โรคนี้รักษาไม่หาย แต่หมอจบวิศวะมาด้วย จะวางแผนการรักษาแบบนี้นะคะ"
"โรคเท้าช้างหรือ ไม่เคยรู้จักเลย โรคผีทำอะไรว่ะ" น้าพูดสะบดออกมา
"ใจเย็นๆ นะคะ แล้วฟังหมอว่าหมอวางแผนทำการรักษาอย่างไรบ้าง"
แล้วคุณยายก็เข้าอยู่ข้างๆ คอยช่วยระงับน้าพูดและปลอบให้ฟังแม่หมอพูด
"คือหมอไม่ได้จะรักษาให้หาย แต่จะช่วยลดการบวมขอขา และทำศัลยกรรมให้ดูดีขึ้นไม่น่าเกลียดแบบนี้ พร้อมจะให้มูมู่ทำกายภาพให้ จนสามารถเดินได้บ้างแม้จะไม่ใช่ปกติเหมือนเดิม"
"ไม่เอาผ่าบ้าผ่าบออะไร ไม่เอากูรักษากับพ่อหมอมาเป็นปียังไม่หายเลย แล้วนี้เด็กอย่างเอ็งจะมารักษากู ทำไม่ได้หรอก อย่ามาหลอกกู"
"ไอ้พูดเอ็งใจเย็น ลองรักษาหน่อยก็ไม่เสียหายนะ ถ้าดีขึ้นเอ็งก็ออกไปงานหาทำช่วยแม่ได้ นี่แม่ต้องมาลำบากคนเดียวต้อง 10 ปีเอ็งไม่เห็นหรือ คิดว่าเห็นแก่แม่นะ ไม่หายอย่างน้อยแกก็ช่วยเหลือตัวเองได้ดีขึ้นนะ"
คุณยายพูดจี้ใจดำน้าพูดเรื่องความกตัญญูอีกแล้ว น้าพูดเลยต้องจำใจตอบ
"อ้าวลองก็ลอง ไม่เสียหายอย่างแม่กูว่า"
"งั้น เมื่อครู่หมอให้มูมู่ทำการตรวจเพื่อวางแผนการผ่าตัดไว้อยู่แล้ว เอาอย่างนี้ให้เวลาน้าพูดเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจ 3 วัน กินอาหารบำรุงร่างกายดีดี แล้วเดี๋ยวอีก 3 วันหมอกับมูมู่จะมารับไปผ่าตัดที่บ้านริมน้ำคะ"
"งั้นหนูขอลากลับไปเตรียมเครื่องมือวางแผนการรักษาน้าพูดให้คะ รับรองว่าจะทำดีที่สุด แม้ไม่หายแต่อย่างน้อยก็ดีขึ้น"
"งั้นเราทุกคนลากลับนะครับ" ณัฐกล่าวลา
แล้วทั้งหมดก็เดินทางกลับและแยกย้ายกันกลับไปบ้านใครบ้านมัน โดยดร.นิลลี่พูดขึ้นว่า "ไว้ทำการรักษาเสร็จแล้วค่อยสอนเรื่องโรคเท้าช้างนะ ติดไว้ก่อน"
เมื่อถึงวันนัดทั้ง 4 คนก็มาที่บ้านของน้าพูด โดยมูมู่แปลงร่างเป็นเปลคนไข้ ให้น้าพูดขึ้นนอน ณัฐและตุ๊ดตู่ช่วยกันเข็นมาที่บ้านริมน้ำ
"อ้าวมูมู่พาน้าพูดเข้าห้องผ่าตัด วางยาเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม คราวนี้ชั้นผ่าตัดเอง มูมู่เป็นผู้ช่วย"
"คุณณัฐกับตุ๊ดตู่อยากเข้าช่วยไหม จะได้สอนการช่วยผ่าตัดทำอย่างไรบ้าง เอาไหม"
"ได้ครับ" ทั้ง 2 ตอบพร้อมกันอีกเช่นเคย
แล้วทั้งหมดก็เข้าไปในห้องผ่าตัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายพร้อมผ่าตัด
"จริงๆ ที่วางแผนไว้คือจะเลาะท่อน้ำเหลืองที่มีปัญหาออก พร้อมเส้นเลือดดำที่มีปัญหาด้วย หลังจากนั้นจะตัดหนังที่ขรุขระออก แล้วทำกราฟจากผิวหนังที่ขาที่ดีมาแทนจะได้ลดความน่าเกลียดลง"
"เอาลงมือกันได้" หมอนิลลี่บอก
"มูมู่วันนี้ขอเปลี่ยนให้ไปเป็นวิสัญญีแทนนะ ช่วยมอนิเตอร์ไวทัลไซน์ด้วย"
"ตื่นเต้นจัง" ตุ๊ดตู่พูด
เมื่อเริ่มผ่าตัด หมอนิลลี่เป็นคนผ่า ณัฐเป็นคนส่งอุปกรณ์ ส่วนตุ๊ดตู่สังเกตการณ์พร้อมช่วยตัดไหมให้นิลลี่ การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แต่เนื่องจากน้าพูดเป็นมานาน 10 ปี มีความผิดรูปค่อนข้างเยอะจึงใช้เวลานานเกือบ 4 ชั่วโมง พอออกจากห้องผ่าตัดทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
นำน้าพูดออกมาไว้ห้องพักฟื้นได้ พอน้าพูดตื่นจากการดมยา หมอนิลลี่ก็บอกว่า
"การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะคะ แล้วมารอดูกันหลังตัดไหมขาของคุณน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง"
"ครับ ผมต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนครับ"
"เนื่องจากบ้านคุณน้านี่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้านแถมไม่มีใครสามารถพาคุณน้ามาหาหมอได้ หมอเลยจะให้อยู่จนกระทั่งตัดไหม แล้วจะพากลับไปส่งที่บ้าน แล้วหลังจากนั้นจะส่งมูมู่กับตุ๊ดตู่ไปทำกายภาพให้ที่บ้านจนกระทั่งพอที่จะเดินเองได้คะ"
"คงต้องตามนั้นมั้งครับ กลับบ้านไปก็เป็นภาระแม่ผมเปล่าๆ"
พออยู่จนครบ 14 วันแผลหายดี ก็ทำการตัดไหม เปิดแผลออกมาให้น้าพูดและทุกคนที่ช่วยรักษาเห็น
"โห ขาผมดูดีขึ้นเยอะเลย แม้จะยังมีแผลเป็นอยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าไอ้เท้าช้างนั่น" แล้วก็น้ำตาซึม
"เห็นไหมผมบอกแล้วแม่หมอเก่ง น้าพูดเชื่อแล้วใช่ไหม" ณัฐพูด
"ขอบคุณจริงๆครับ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว"
"ยังไม่จบการรักษาคะ เดี๋ยวต้องทำการรักษากันอีกนาน กว่าจะกายภาพจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อีกหลายเดือนคะ ต้องขอความร่วมมือน้าพูดด้วยนะคะ ระหว่างนี้หมอและพรรคพวกจะไปที่บ้านทุกวัน นอกจากนี้จะตรวจและรักษาคุณพ่อคุณแม่ของน้าพูดด้วย"
"มูมู่ ลูกศิษย์ทั้ง 2 เดี๋ยวพาน้าพูดไปส่งที่บ้านนะ แล้วเดี๋ยวกลับมาจะสอนเรื่องโรคฟิลาเรียเอซิส"
"ได้ครับผม โรคพิราบ อะไรนะครับ" เสียงตุ๊ดตู่ถาม
"ฟิลาเรียเอซิสจ้า เดี๋ยวกลับมาก็รู้เอง ไปส่งน้าพูดก่อนไป๊"
"ครับ" ตุ๊ดตู่ตอบ
"งั้นผมขอขอบคุณ แม่หมออีกครั้งนะครับ ไม่ได้แม่หมอนี่ผมคงพิการจนตาย" น้าพูดกล่าวขอบคุณและก็ลากลับไปบ้านก่อน
แล้วมูมู่ก็แปลงร่างเป็นเปลพยาบาล ออกไปส่งน้าพูดพร้อมกับศิษย์ทั้ง 2 ของนิลลี่
เมื่อทั้ง 3 กลับมา "ตามสัญญา เมื่อครู่ยังจำได้ไหมว่าชื่อโรคว่าอะไร ชื่อภาษาอังกฤษนะ และชื่อภาษาชาวบ้านเรียกว่าอะไร ณัฐตอบก่อนคะ"
"ฟิลาเรียเอซิสครับ"
"โรคเท้าช้างครับ" ตุ๊ดตู่รีบส่งเสียงตอบ
"โรคเท้าช้าง เกิดจากพยาธิชื่อ ฟิลาเรีย จึงเรียกชื่อโรคภาษาอังกฤษว่า ฟิลาเรียเอซิส ซึ่งมียุงเป็นพาหะ เกิดจากการที่โดนยุงที่มีพยาธิกัดเป็นเวลาหลายครั้งและนาน"
"เข้าใจแล้วครับ" ตุ๊ดตู่บอก
"โดยคนไข้จะมีอาการแบบน้าพูดเลย ไข้ ขาโต ขรุขระ แต่บางคนก็มีไข้ ต่อมน้ำเหลือง หรืออัณฑะหรืออวัยวะเพศบวมได้ และอาจจะโตถาวรแบบขาได้ ชาวบ้านจึงเรียกคนที่ขาโตว่า โรคเท้าช้าง ซึ่งพอมาถึงแบบนี้แล้วจะรักษาไม่ได้แล้ว มีแต่ปรับเรื่องรูปร่างของขาและทำกายภาพเท่านั้น"
"ไหน ตุ๊ดตู่บอกสิว่าชื่อโรคอะไรนะ"
"ฟิลา..... เรียเอซิสครับ"
"ใช้ได้ เก่งทั้ง 2 คนเลย งั้นพอแค่นี้ เรายังต้องไปทำการรักษาคนในบ้านน้าพูดต่ออีกหลายเดือน กลับไปพักกันเถอะ"
แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน รอไปทำการรักษาที่บ้านน้าพูดต่อในวันรุ่งขึ้น บ้านที่มีคนประหลาดมีเท้าหรือขาโตข้างเดียวนั่นเอง