ทั้งสี่คนประชุมกลับมาประชุมที่โรงงานในจังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย การถกเถียงแบบธรรมดาทำให้ภาษาพวกเขาพามาสุดได้แค่นี้
"ฉันว่ามีคนหนึ่งที่ตอบคำถามพวกนี้ได้" เบนนึกถึงรายชื่อหนึ่งออกมา
"ใคร ไฟล์ทหรือด็อคเหรอ" โชสงสัย
"ไม่… เมล" เบนตอบ
ทั้งโชและพัฒน์ถอนหายใจสีหน้ากังวล ยกเว้นไมล์คนเดียวที่ไม่รู้จักไมล์เข้ามาที่หลังสุดของคิปป์ทีม
"ใครเหรอ?" ไมล์หันหน้าถามไปทางเบน
"เขาเป็นเหมือนบียอนเซ่ของวงการวิศวพันธุกรรม" เบนเอียงคอหันหน้าตอบไปทางไมล์
พัฒน์หงุดหงิดที่สุดกับชื่อนี้ "ช่างแม่งคนนั้นดิ"
"อยากกินไข่เจียว ก็ต้องตอกไข่สิ" เบนเตือน
พัฒน์โมโหเมลที่สุดในเรื่องนี้
ข้อเท็จจริงอีกนิดหนึ่ง
ทุกคนมีครูที่แย่ที่สุดในชีวิต สำหรับพัฒน์นั้นคือเมล เมลเคยเข้ามาสอนวิชาการวางรากของดีเอ็นเอ ปกติเวลาสอนหนังสือให้กับความต่างของวัยเราจะต้องปรับภาษาให้กับผู้ฟัง แต่เมลเอาแต่พูดศัพท์วิชาการอย่างกับทุกคนเรียนปริญญาเอก ทุกคนที่ฟังเมลสอนเหมือนฟังคนเมาพูดในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ทุกข์ใจและสิ่งที่เมล แทงใจดำที่สุด คือการพูดถึงปริมาณทรัพยากรพลังงานในประเทศไทยไม่มีเพียงพอสำหรับรองรับโครงสร้างอุตสาหกรรมครั้งที่สามสี่และห้า ทั้งยังผูกขาดต่อพลังงานฟอสซิลและถ่านหิน ถ้าคนในประเทศที่มีพลังงานทางเลือกเกินแปดชนิดมากพอมาเห็น ก็ไม่ต่างจากคนทำงานธนาคารยุคโมบายแบงก์กิ้งมาเห็นโฮโมเซเปียนส์รวมตัวกันจุดไฟได้ เมลเสนอให้ทำเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กเพื่อรองรับการไฟฟ้าเพื่อการเก็บข้อมูลการวิจัยและสามารถนำพลังงานไฟฟ้าไปขายได้ เตาปฏิกรณ์วิจัยที่ระเบิดมีรากฐานความคิดจากไอเดียของเมล และเป็นจุดจบของคิปป์ทีมหลังจากที่มันเกิดระเบิดขึ้น
พัฒน์ยกนิ้วชี้หน้าเบนโชและไมล์พูดทีละประโยค "หยุดพูดถึงไอ้หัวขวดนั้น! หยุดพูดถึงไอ้หัวขวดนั้นสักที! ไม่ต้องสนใจหมอนั้น!" ทั้งไมล์และโชเงียบ เบนอึกอักและเข้ามาแตะไหล่พัฒน์ เรียกพัฒน์ออกไปคุยข้างนอก และปล่อยให้โชกับไมล์รออยู่ในห้อง
"แล้วใครจะไป หัวก้อยหรือไม้สั้นไม้ยาว"
พัฒน์ไม่พอใจเขาไม่อยากแม้แต่จะพูดเรื่องที่ตัวเองคิดมันออกมา พัฒน์ไม่ได้ตอบอะไรแต่เบนก็รู้ว่าพัฒน์สะดวกใจกับหัวก้อยมากกว่า คำตอบคือการเลือกที่จะไม่ตอบ จะปฏิเสธที่จะตอบโดยการเลือกอีกอย่างเสมอ
"โอเค โชหรือไมล์" เบนถาม
พัฒน์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเขารู้คำตอบของตัวเอง
"งั้นโชอยู่ฝั่งฉัน" เบนรู้คำตอบจากพัฒน์ "คิดว่าเมลจะว่าไง"
ทั้งสองคนเดินกลับเข้าไปในห้องและใช้เหรียญของเบนโยนหัวก้อย คำตอบของเหรียญ พาสองคนไปอยู่บนเครื่องบิน
อุโมงค์เหล็กสีขาวบนฟ้า พัฒน์นั่งริมหน้าต่าง
ไมล์เลือกที่จะนั่งเครื่องไปก่อนและเจอกันที่นัดในเมือง พัฒน์มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ที่ที่เราไม่เคยมองเห็นความจริง มันเป็นเพียงข้อตกลงทางภาษา สร้างฝ่ายและยังคงทำให้เรามีกลุ่มก้อน ที่เปล่าเปลี่ยวร่วมกัน ผ่านความโศกเศร้าผ่านความตาย ฝนตกในตัวเขาและถูกความร้อนของน้ำตาแผดเผาภายในจนตาย
พัฒน์ตกอยู่ในภวังค์ของความกระหายใคร่รู้ ไม่ตายแต่ก็ไม่รู้สึกถึงชีวิต ทุกอย่างเป็นแค่ภารกิจที่เขาเลือกจะทำก่อนตาย เขาสามารถทำนายถึงอากาศภายในตัวเองได้ว่าจะเหมือนข้างนอก มันทั้งเหน็บหนาวและเป็นสีเทาจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย เสียงล้อหมุนกางลงจอดจากตัวเครื่อง พัฒน์เดินออกจากนอกเครื่อง แสงสีเหลืองข้างนอกกับอาคารสีทราย เขามองเห็นพร้อมกับการหายใจในดินแดนของพระเจ้า
ดวงอาทิตย์ส่องแสงระยิบระยับ ให้ความอบอุ่นตอนอากาศหนาวและแผดเผาอย่างไร้ปรานีนอกพื้นผิวโลหะสีอ่อนสะท้อนฟันฝ่าเมฆไอน้ำสีเทาที่กำลังม้วนตัวกลับไปเป็นเม็ดฝน คลื่นภูเขาของไอน้ำห่อเครื่องบินอยู่ พัฒน์นั่งที่ริมติดหน้าต่างเครื่องบินอยู่เหนือคาบสมุทรอาหรับ กำลังมุ่งตรงไปที่ดินแดนของพระเจ้า
บนเครื่องบิน พัฒน์คือละอองดาวในจานอาหารวงโคจรโลก นิวตันเรียกแสงสีรุ้งว่าสเปกตรัมพัฒน์เรียกสายรุ้งว่าการหักเห พวกเราไม่มีใครเคยสามารถจับสายรุ้งได้และวิ่งไล่จับมันเสมอในตอนเด็ก พอรู้ตัวปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่สามารถเข้าถึงได้แม้แต่การสัมผัส พัฒน์อยากฟื้นความทรงจำที่สูญเสียไปในวัยเด็ก แต่มันว่างเปล่าเกินไปและถูกเปิดพื้นที่ต่อการบิดเบือน สิ่งที่เขาเลือกได้คือการเชื่อมโยงและใช้ความสามารถบูรณาการณ์โครงสร้างการลงมือทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เขาต้องการ แน่นอนไม่ใช่ทุกอย่างที่จะทำได้ และพัฒน์แทบจะไม่เคยได้สิ่งที่เขาต้องการ แต่พัฒน์เรียนรู้เพื่อกระจายความรับผิดชอบของตัวเอง พัฒน์เป็นแบบนี้มาตลอด ข้างในเขาตายไปแล้ว ตายตั้งแต่คนที่เขารักไม่สามารถกลับมาพูดคุยได้
พัฒน์ส่องแสงอย่างสงบบนเครื่องบิน ท่ามกลางท้องฟ้าสีขาว แววตาสะท้อนแสงด้านนอกมองข้างนอกนั้นกลับมาเป็นภาพในกระแสสื่อประสาทเขาเห็นวิวกลุ่มในสมอง นั่นคือมหัศจรรย์ของความเป็นจริง
ประเทศอิสราเอล เมืองเยรูซาเลม
ในห้องทำงานของผู้อำนวยการระบบสุขภาพของรัฐ สีอาคารและอากาศเป็นสีฝุ่นสีเหลืองทราย ทุกอย่างเหมือนความร้อนที่นี่
"เสียสติทั้งคู่ ฟังให้ดีนะ บ้าบอคอแตก ฉันรู้เรื่องโครงสร้างโปรตีนมากกว่าใคร ฉันเป็นผู้ประดิษฐ์ ไม่มีทางที่จะทำได้ มันมีทั้งระบบเลือด การปลูกถ่าย มันมีอิมมูน มันมีอวัยวะวัสดุอื่น มันมีพลังงานไฟฟ้า มีเรื่องมากพอที่จะทำให้ตายได้ตลอดเวลาหลังผ่าตัด โอเค ๆ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น จนกระทั่งมันเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความเขลาหรือความอ่อนแอแค่เป็นธรรมชาติของมนุษย์" เมลตอบหลังจากได้ยินเรื่องที่พัฒน์เล่าให้ฟัง เมลพูดขณะหันหลังให้กับโต๊ะทำงานและพัฒน์ขณะชงชา เขาหันตัวกลับมาเอาแก้วเซรามิกด้วยความร้อนอบอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าพัฒน์
พัฒน์นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานของเมล "คุณรู้ได้ไง" พัฒน์ถามเรื่องการค้าอวัยวะที่พัฒน์เคยทำ
"ทุกคนในวงวิชาการรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง ใครจะเชื่อว่าเด็กอย่างแกจะโตขึ้นมาพิมพ์อวัยวะขาย ในประเทศแบบนั้นกับของแค่นั้น แทนที่จะมอบตัวแกกลับมาหาฉันเนี่ยนะ" เมลพูด
"ผมไม่ได้กะจะรวย ผมอยากต่อชีวิต คุณอ่านเอกสารผมหรือยัง"
"มันยาวตั้ง 7,000 หน้า ไบเบิลเล่าเรื่องมนุษยชาติน้อยกว่านั้นอีก โลกนี้เต็มไปด้วยคนที่อยากรุมทึ้งแกนะพัฒน์" ทั้งสองพูดคุยผ่านการออกมาเดินเล่นและขับรถตรงไปที่บาร์
"ริชาร์ด เมล ศาสตร์จารย์ระดับสูงในวงการพันธุวิศวกรรมรางวัลโนเบล แต่กระนั้น คุณลงทุนสร้างวัสดุและการส่งข้อมูลของเซลล์เพราะแค่อ่านแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ 'โฮโมดีอุส'เนี่ยนะ"
"แหม ถ้าพูดแบบนั้นฉันคงต้องทำตัวขี้สงสัยบ้างแล้ว นีล ฮาร์บิลสันติดเสาอากาศอยู่กับกะโหลก ทดแทนภาวะตาบอดสีทั้งยังใช้เพื่อได้ยินเสียงของความถี่แสงทั่ว ทำให้ระบุสีของวัตถุ พวกเราปฏิเสธการรับรู้ว่าการแก้ไขยีน การฝังแผ่นชิปและเลือดสังเคราะห์และปฎิเสธการผ่าตัดเพื่อเพิ่มศักยภาพของสมอง สังคมเห็นพ้องกับการทำศัลยกรรมตกแต่งมากกว่าการทำความเข้าใจเครื่องกำหนดการเต้นของหัวใจ (Heart Pacemaker) ประสาทหูเทียม (Cochlear Hearing Implants) และลูกตาเทียม (Bionic Eyes) 11 ล้านคนที่เสียชีวิตจากภาวะอวัยวะล้มเหลว มนุษย์ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงถ้าไม่ได้เห็นขอบเขตของการเป็นมนุษย์ ตอนนี้มีคนหนึ่งแสนหกพันคนที่มีชีวิตจากการปลูกถ่ายอวัยวะและสามล้านคนทั่วโลกใช้เครื่องกำหนดการเต้นของหัวใจ พวกเราเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้ว"
"การเปลี่ยนแปลง?"
"มีการตัดสินใจว่าโครงสร้างทางชีวภาพของมนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ขนาดไหนก็ตาม ต้องโง่และบ้า เราไม่ได้ล้มเหลวเพื่อล้มเหลว เราล้มเหลวเพราะมันต้องล้มเหลว เอลรอนด์เป็นโครงการ เก็บข้อมูลการปลูกถ่ายอวัยวะของมนุษย์ทั้งหมดทั่วโลก"
"คุณต้องการเท่าไหร่" พัฒน์ถาม
เมลดึงเกียร์รถและหยุดรถ หันหน้ามาตอบพัฒน์ว่า "มันไม่ได้เกี่ยวกับเงิน มันเกี่ยวกับการส่งข้อความ"
"เนื่องจากทุกคนสันนิษฐานว่าการเปลี่ยนแปลงอวัยวะที่พูดกันคือฉากบังหน้าอะไรสักอย่างแน่ ๆ เมื่อการเปลี่ยนแปลงอวัยวะ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอวัยวะ"
"แล้วการพัฒนาไปสู่ความฉลาดล่ะ"
"นั่นแหละปัญหา เป็นเรื่องมุมมองของข้อมูล มีความเป็นไปได้เยอะมาก จนไม่รู้ว่าเราจะไปในทิศทางไหน ธุรกิจค้าอวัยวะในเยอรมนี ตัวอย่างอวัยวะเทียมต่าง ๆ ที่เกิดในคาบสมุทรเอเชียขณะเดียวกันโรคในการติดเชื้อแบคทีเรียไวรัสและโรคความเสื่อมของเซลล์ ก็ทำให้เราแค่ทำเท่าที่ทำได้ นี่เป็นทางเดียวที่จะไถ่บาปจากพระเจ้า" เมลหมายถึงทั้งข้อมูลและงานวิจัย
พัฒน์เข้าใจเรื่องที่เมลพูด เขาเอียงตัวยืนหันหน้าเข้าเมลในบาร์กาแฟ "ผมรู้ ทุกชีวิตที่ช่วยเป็นชีวิตที่สำคัญ ทำไมคุณไม่ให้ผมมาสักที"
เมลเห็นคนที่อยู่ในบาร์ หันมามองทางพัฒน์ "แกชิ่งคนตามตูดทิ้งก่อนสิ ที่อยู่ที่บาร์" เมลคิดจะให้ข้อมูลนั้นกับพัฒน์อยู่แล้ว ข้อมูลที่อยู่กับเขาต่อยิ่งไม่มีความหมายถ้ามันไม่ได้ถูกนำไปใช้ "เจอกันที่ร้านกาแฟตรงข้ามในอีกครึ่งชั่วโมง"
"แถวนี้เหรอ" พัฒน์ถามซ้ำ
"ที่อันตรายสุดปลอดภัยที่สุด"
"ตามนั้น" พัฒน์ตอบ
"แกจบประโยคเหมือนก็อตฟาเธอร์มั้ย" เมลกำลังคิดหาวิธีเบี่ยงความสนใจ
"อะไรนะ! ซีนไหนหล่ะ" พัฒน์ถามทั้งสองพูดคุยกันนิดหน่อยก่อนที่เรื่องจะเกิดขึ้น
ชายที่ไล่ตามพัฒน์ทั้งสองชายหางตาไปที่พัฒน์อีกครั้ง เสียงดังเอะอะโวยวายระหว่างเมลดังขึ้น "ไอ้เฮงซวยเอ๊ย! แกมันไร้ค่า ไม่มีใครอยากยุ่งกับคนอย่างแกหรอก" เมลตะโกนใส่พัฒน์พร้อมฉุกตัวเองออกมาจากโต๊ะและเดินหันหลังให้พัฒน์ บังสายตาของชายสวมสูทที่ลุกลี้ลุกลนต่อการมองหาพัฒน์ "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ" เมลเดินตรงเข้ามาทำท่าเหมือนพูดคุยและพร่ำบ่น แต่จริง ๆ เขาทำเพื่อเพิ่มเวลาให้พัฒน์ ทันใดนั้นเองหลังจากชายสวมสูทเอเชียสองคนรู้ตัวว่าถูกเบี่ยงเบนให้สนใจอย่างอื่น พัฒน์เอียงตัวจากระเบียงประเมินความสูงและถีบเท้ากระโดดลงจากชั้นสองลงไปทางระเบียง เสียงตัวพัฒน์กระแทกเสียงดัง ชายเอเชียใส่สูททั้งสองได้ยิน รีบวิ่งตามและออกจากความสนใจจากบทสนทนาของเมลชายเอเชียร่างใหญ่มั้งสอง รีบพุ่งพรวดลงบันไดไปชั้นหนึ่ง เขาทั้งสองต้องการตัวพัฒน์มากกว่าเมล
มีคนหนึ่งที่รออยู่ข้างล่าง เขากระชากคอเสื้อพัฒน์ให้ลุกขึ้นมาจากการล้มลงในการกระโดดลงมาจากชั้นสอง พัฒน์หายใจหอบก้มหน้า "แกไม่ได้คิดจะระเบิดตัวเองใช่มั้ย" ชายสวมสูทประชดประชันเยอะเย้ยระหว่างจับตัวพัฒน์
พัฒน์เงยหน้าเอาศีรษะเสยคาง พลั่ก!! คนที่จับตัวพัฒน์หงายหลังไปด้านช้าง ชายที่คิดจะจับกุมล้มไปขอบถนน พัฒน์พุ่งสู่ความยุ่งเหยิงของฝูงชนตรงหน้า ร่างกายแทรกตัวพร้อมเสียงหอบ เขาเร่งการขยับของร่างกายวิ่งดิ้นรนหนีความตาย การเบียดตัวด้วยความเร็วและการหนีคนอื่น พัฒน์ฝ่าฝูงชน มีชายคนหนึ่งวิ่งตรงเข้าใกล้พัฒน์มาเรื่อย ๆ อีกเพียงไม่กี่เอื้อมมือก็สามารถคว้าเสื้อพัฒน์ได้ พัฒน์สังเกตโถแจกันทรงสูงขนาดใหญ่และเหวี่ยงฟาดเข้าหน้าของชายสูทขาวล้มลงไปวูบลงกันพื้นอิฐ พัฒน์รีบหมุนตัววิ่งต่อ หาทางข้างหน้าและก้าวยาวสลับชิดอย่างรวดเร็วไปกับการหายใจถี่มากขึ้น เขาวิ่งตรงและชายตาเห็นบางอย่างที่น่าจะใช้ได้ เหมือนเป็นเครื่องดีดไม้ขนาดยาวข้างทาง มีอีกเสียงฝีเท้าที่วิ่งไล่หลังตามเข้ามา พัฒน์เอียงตัวหันหลังง้างด้วยมือขวาและจับอีกข้างเหมือนไม้เบสบอลในชั่วขณะ แรงเหวี่ยงเครื่องไม้ไปยังใบหน้าของอีกคนหนึ่งที่ตามมาจากร้านกาแฟ "เปรี้ยง!!" ไม้โปร่งตีเข้าที่กรามบนใบหน้า ความเจ็บปวดทำชายคนนั้นล้มลง พัฒน์เห็นร่างชายตรงหน้าร่วงติดพื้น ถอนหายใจและโยนเศษไม้ทิ้ง เขาเริ่มล้าในชั่วขณะอย่างต่อเนื่องพร้อมหมุนตัววิ่งตรงออกจากพื้นที่บริเวณนั้น มีคนพยายามวิ่งไล่จับเขาอีก
พัฒน์รัวเท้าเข้าฝูงชน เขาติดอยู่ในกับดักฝูงมนุษย์กับกำแพงสีทราย กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาคารสีทราย อาคารซีเมนต์ที่นี่กลืนเขาเป็นส่วนหนึ่งของเมือง ถนนในเมืองเหมือนเลือดที่สูบฉีดคนเข้าสู่อาคาร ตอนนี้เม็ดเลือดอย่างพัฒน์กำลังดิ้นรนอยู่ในเมืองอย่างหืดหอบและมุ่งหมายจะรอดชีวิต พัฒน์กำลังหาทางออกเส้นทางที่มีถนนที่เส้นทางของถนนกับบ้านเรือน อาคารที่เบียดกันกับถนน หลังคาสีน้ำตาลแดงทำให้ร่างกายที่สิ่งอยู่ดูเป็นเพียงแค่จุดที่ขยับเขยื้อนหาทางซอกแซกไปในเมือง ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งของการอยากมีชีวิตรอดฝนระบบสีครีมทราย แรงเท้าพัฒน์ถีบเร่ง แทรกตัวทิ้งจังหวะเข้าไปในผู้คน เขาผลีตัวเข้าอาคารร้านอาหารเขาคิดว่าการซ่อนตัวสักครู่ช่วยให้หายเหนื่อยและล่อคนอื่นได้ หลังจากนั้นมีชายอีกสามคนกำลังตามเขาอยู่ บรรยากาศหน้าร้านเต็มไปด้วยคนพูดคุย และมีแต่ฝูงมนุษย์อลหม่านขวางหน้าร้าน ร้านอาหารสีทรายลวดลายสีแดงนี่อาจเป็นทางเดียวที่กลบเกลื่อนความชุลมุนแล้วสามารถกลับไปหาเมลได้เขาคิดและพยายามใจเย็นตอนเข้าไปและทำตัวกลมกลืนกับคนในห้องครัว
จนกระทั่งชายอีกสามคนที่ยังคงตามเขา หยุดอยู่ตรงหน้าร้าน คำพูดเร็วปรึกษากันก่อนจะแยกทาง เมื่อเริ่มออกจากหน้าร้านเพียงเพราะความเงียบและการกระจายการค้นหา ทันใดนั้น เสียงเอะอะในร้านดังขึ้นจากหัวหน้าพ่อครัวที่เดินตรงมาทางพํฒน์กำลังไล่เขาออกเป็นภาษาอาหรับ รวดเร็ว เสียงดังทำให้คนรู้สึกอับอายได้คนครัวทุกคนที่รู้ดีว่ามันเป็นปกติที่ต้องไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากครัว แต่ช่วงเวลานี้มันเป็นช่วงเวลาที่แปลกที่สุดในชีวิตพัฒน์ พัฒน์เจรจาอย่างลุกลี้ลุกลน แต่เสียงตะคอกกลับของหัวหน้าพ่อครัวกำลังตั้งใจตะเพิดเขาและไล่พัฒน์ออกอย่างเสียงดัง พัฒน์สื่อสารและรีบหยิบเงินในกระเป๋าให้ "ห้านาที ห้านาที ขอผมรอที่นี่ ห้านาที" พัฒน์พูดภาษาอังกฤษ
หัวหน้าพ่อครัวปฏิเสธ "ไม่ ไม่ ไม่ แกนั่นแหละออกไป ที่นี่กำลังทำอาหารอยู่" เขาพูดภาษาอาหรับอีก ที่พัฒน์ยังไม่เข้าใจตอนนี้ แต่เสียงตะโกนที่ไล่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังขึ้น จนทำให้คนข้างนอกร้านอาหารรู้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกเกิดขึ้นที่นี่ และคนที่รู้สึกผิดแปลกต่อการหายตัวของพัฒน์ไปตรงแยกนั้น และสะดุดกับเสียงโมโหในร้านอาหารด้วย ก็คือชายสวมสูทอีกสองคนที่ตามหาพัฒน์ เอะใจกับร้านอาหารหนึ่งในนั้นเรียกอีกคนหนึ่งให้เข้าไปด้วย ตอนนี้น้ำหนักของร่างกายทั้งสามที่สวมสูท ทิ้งน้ำหนักและให้ความสนใจที่ร้านอาหาร เดินตรงเข้ามาทางประตูครัว ผลักคนห้าม และอีกไม่กี่สิบก้าวจะถึงตัวพัฒน์
ทันทีพัฒน์ที่พยายามเจรจารู้ว่าความอันตรายใกล้เข้ามา พร้อมกับประตูที่เชื้อเชิญเรื่องร้ายเปิดออก เขารู้ดีว่าต้องทำบางอย่างเพื่อหนีให้ได้สัญชาตญาณเขาบอกให้เดินตรงออกไปทางหลังครัว ตรงหน้าของพัฒน์ คนแรกที่เห็นพัฒน์ในครัวเดินตรงเข้ามา พัฒน์รีบเข้าประชิดตัวก่อนคนพวกนี้จะหยิบปืนมือซ้ายหยิบจานทาบหูคนตรงหน้าขณะเอียงตัวหลบและทุบด้วยสันกำปั้นเข้าหูซ้าย เพล้ง!! คนแรกฟุบตัวล้มลงตัวล้มลง พัฒน์หยิบค้อนทุบเนื้อจากครัวด้วยความเร็วของสิ่งของปลายตา และตีเฉียงยกขึ้นเหวี่ยงแรงด้วยมือขวา โดนซี่โครงกับซ้ายของคนที่สองที่กำลังหยิบปืน กระดูกมือของชายสวมสูทคนที่สองแตก พร้อมกับเอียงตัว เขาตีด้วยค้นทุบเนื้ออีกครั้งเข้าที่ไหล่ข้างขวาเพื่อไม่ให้เล็งปืนได้ ชายคนที่สามพุ่งพรวดเข้ามา พัฒน์รีบวางค้อน ปลายเท้าจิกเกร็งเขาตัดสินใจหยิบเครื่องทอดน้ำมันฉับพลันจากข้างตัวเทเข้าที่ใบหน้าของอีกฝั่ง "อ๊ากกก!!!" เสียงจากลั่นในลำคอความเจ็บปวดทรมานของความร้อนที่น้ำมันทอดผิวหนัง กลบเสียงโครมครามในครัว ความเจ็บปวดของผิวไหม้ทำให้คนที่สามล้มคุกเข่าด้วยเสียงโหยหวนจะเรียกคนพวกนี้มาเพิ่ม พัฒน์รีบวิ่งออกทางประตูหลังร้านด้วยแรงถีบฝีเท้า เขารีบวิ่งเอียงตัวด้านข้างในซอยแคบแลดูว่าจะแคบขึ้นเรื่อย ๆ ปลายแนวบีบของกำแพงเป็นแสงข้างนอกเป็นถนนกับรถที่กำลังผ่านอยู่ ฝีเท้าพัดเร่งขึ้นเรื่อย ทางแคบลง เขาต้องรีบออกจากแนวทางแคบนี้ให้ได้ ก็จะมีคนยิงมาทางนี้ มีอีกสองเสียงฝีเท้ากำลังเดินผ่านครัวมาอยู่ แนวทางแคบยาวจะทำให้ไม่สามารถหลบกระสุนได้ เหลืออีกเพียงห้าก้าวที่พัฒน์ต้องถีบตัวกับระยะเอียงที่ต้องดันตัวเองออกในระยะแนบไหล่และหน้าหลัง ลมหายใจหอบหวังว่าเขาจะออกทัน มือปืนอีกสองคนตามพัฒน์มาได้ และหยิบปืนออกจากเสื้อสูท "ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!" เสียงปืนไล่หลัง มาจากสองกระบอก พัฒน์ลั่นตัวเองเร่งรีบไปกับเสียงหัวใจ เหลือทางออกอีกเพียงสองคืบ และดันหน้าตัวเองออกจากทางแคบ ลมหายใจที่อึดอัดมีเสียงปืนไล่หลังและลูกกระสุนพึ่งจะดีดกับกำแพง และเหนือศีรษะเพียงไม่กี่เซนติเมตร เขาหลุดพรวดออกมาจากตรอกแคบนั้นได้ เหมือนข้างนอกเป็นบรรยากาศปกติของตลาดเต็มไปด้วยคนเดินและถนน แต่สองคนข้างหลังยังคนไล่หลังอยู่ รถไหลเอื่อย ๆ คันหนึ่งจอด และคนขับเปิดประตูให้พัฒน์ ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏเป็นไมล์ "ขึ้นมา" พัฒน์รีบแทรกตัวขึ้นไปบนรถยนต์ นั่งด้านหลังคนขับ และแผ่หลังลงกับเบาะโน้มคอและหัวหลบกระสุนที่ยังไม่ถูกยิง ดูเหมือนมาเฟียอีกสองคนจะหลุดมาได้จากซอยแคบนั้น แต่ก็ไม่เห็นพัฒน์แล้ว พัฒน์กับไมล์รับรู้ว่าเราน่าจะรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างฉิวเฉียดเรียบร้อยแล้ว
พัฒน์ถอนหายใจกับตัวเอง "แด่การหลบกระสุน" พัฒน์พูดด้วยเสียงหอบกับการพึงพอใจในการรอดชีวิตมาได้
"แด่การหลบกระสุน" ไมล์พูดซ้ำพร้อมกับขับรถอย่างใจเย็น แสงสีเหลืองหมดลง พัฒน์กลับไปเอาเอกสารทั้งหมดรวบรวมเพื่อเป็นออกแบบโครงข่ายของข้อมูลควอนตัมชีวภาพในความละเอียดที่มากขึ้น และส่งไฟล์อวัยวะหัวใจก่อนวันกำหนด