บทที่ 22 แถลงการณ์
วันรุ่งขึ้นหลังจากฝนหยุด เมืองชายแดนก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง บริเวณลานเมืองมีชาวเมืองมาชุมนุมกันมากมาย กำลังรอฟังแถลงการณ์ของเจ้าชายท่ามกลางเสียงพูดคุยแซ็งแซ่
เพื่อแถลงการณ์ครั้งนี้ โรแลนด์แปะประกาศไว้บนกระดานประกาศล่วงหน้าหนึ่งวัน ใครก็ตามที่มาฟังเขาที่ลานเมืองจะได้รับข้าวต้มข้าวสาลีกับขนมปังครึ่งก้อน สำหรับชาวเมืองแล้ว นั่นไม่ต่างจากอาหารเที่ยงที่ได้มาเปล่าๆ เลย ดังนั้นจึงมีคนมาฟังเขาเยอะกว่าตอนที่มาดูนักโทษถูกแขวนคอเสียอีก
พอถึงเวลาใกล้เที่ยง โรแลนด์ก็เดินขึ้นเวทีที่สร้างไว้
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มฝูงชนอันเนืองแน่นด้านล่าง หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยคงเป็นการหลอกตัวเองเกินไป ก่อนหน้านี้สิ่งที่เขามีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากที่สุดก็คือหน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้แต่เวลาประชุมก็เป็นแค่คนปรบมืออยู่ล่างเวที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องขึ้นเวทีเอง
แต่เขาจำเป็นต้องทำ หากคิดจะรั้งทุกคนไว้ที่เมืองชายแดน เขาก็ต้องระดมกำลัง
โรแลนด์โบกมือ ส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
แม้จะแอบซ้อมอยู่หลายครั้ง แต่พอถึงเวลาขึ้นเวที ปากก็ยังคงแห้งผาก “สวัสดียามเที่ยง ประชาชนของข้า ข้าคือเจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิล โรแลนด์ วิมเบิลดัน ข้าเรียกทุกคนมารวมตัวกันในเวลานี้เพราะมีข่าวสำคัญมาบอกทุกคน!”
“ทูตจากป้อมปราการลองซองมาที่นี่เมื่อสี่วันก่อน พวกเขามาเพื่อเจรจาเรื่องแร่ ทุกคนรู้ดี เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเราเคราะห์ไม่ดีเกิดอุบัติเหตุเหมืองถล่มลงมา จนกระทั่งตอนนี้เหมืองก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูการผลิตได้เหมือนเดิม ทำให้ในไตรมาสที่ผ่านมา พวกเรามีผลผลิตแร่เพียงสองเดือนเท่านั้น”
“ข้าได้อธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังแล้ว และหวังว่าเขาจะยอมแจกจ่ายเสบียงในปริมาณที่เพียงพอให้เมืองชายแดนล่วงหน้าก่อน ส่วนแร่ที่ขาดไปทางเราจะคืนให้หลังจากพ้นฤดูหนาวไปแล้ว แต่เขาปฏิเสธ! ไม่มีทางใดที่จะเจรจากันได้อีก เขาปฏิเสธที่จะแจกเสบียงเพิ่ม...เหมือนเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน”
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าทุกคนยังจำเหตุการณ์ขาดแคลนเสบียงเมื่อสองปีก่อนได้แม่น
“ทว่าครั้งนี้เลวร้ายกว่ามาก โหรของเกรย์คาสเซิลบอกข้าว่าฤดูหนาวปีนี้จะยาวนานกว่าในอดีต เดือนแห่งปีศาจอาจกินเวลานานเกินสี่เดือน นั่นแปลว่า ครั้งนี้ทุกคนอาจต้องเผชิญภาวะขาดแคลนอาหารนานถึงสองเดือน เมื่อสองปีก่อน พวกเจ้าสูญเสียญาติมิตรไปมากมาย บางคนสูญเสียพี่น้อง บางคนสูญเสียบุตร ครั้งนี้ พวกเจ้ายังจะต้องสูญเสียอีกมากเท่าไร”
“ไม่! ฝ่าบาท ทรงช่วยพวกเราด้วย!” ข้างล่างมีคนตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็มีเสียงตะโกนจำนวนมากดังตามมา “ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด ทรงช่วยพวกเราด้วย!”
ดูเหมือนเขาจะคิดถูกจริงๆ ที่เตรียมหน้าม้าไว้ล่วงหน้า โรแลนด์ยกมือขึ้นหยุดเสียงเอะอะของฝูงชน “แน่นอนว่าข้าไม่มีทางทิ้งประชาชนของข้า ไม่แม้แต่คนเดียว! พวกเจ้าอาจไม่รู้ว่ามูลค่าของข้าวสาลีและขนมปังที่ป้อมส่งมาในแต่ละปีนั้น เทียบไม่ได้กับแร่ที่พวกเขาขนกลับไปแม้แต่น้อย หากอิงจากราคาท้องตลาดตอนนี้ ผลผลิตแร่เพียงสองเดือนก็สามารถแลกเสบียงได้ถึงครึ่งปี! ดังนั้นข้าจึงขายแร่ให้แก่พ่อค้าเมืองวิลโลว์ไป เรือขนเสบียงของพวกเขาใกล้จะมาถึงเมืองชายแดนเต็มที นอกจากขนมปังแล้ว ยังมีเนยแข็ง ไวน์น้ำผึ้ง และเนื้อแห้ง! ทุกๆ คนจะได้กินอิ่มตลอดฤดูหนาวนี้!”
เสียงไชโยโห่ร้องพลันดังกระหึ่มลานเมือง
“แต่ว่า นี่เท่ากับเป็นการตัดสัมพันธ์กับป้อมปราการลองซอง พวกเขาจะไม่รับผู้ลี้ภัยจากเมืองชายแดนแม้แต่คนเดียว ดังนั้นฤดูหนาวปีนี้ พวกเราจะต้องอยู่ที่เมืองชายแดน หลายๆ คนคงได้เห็นการก่อสร้างกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกของเมืองแล้ว ข้ารู้ว่าบางคนยังกังวลว่าหากเจอสัตว์อสูรเข้าจริงๆ พวกเราจะรับมือมันได้หรือไม่ ข้าขอบอกทุกคนตรงนี้ว่า สัตว์อสูรพวกนั้นไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าสัตว์ป่าธรรมดาสักเท่าไร แม้พวกมันจะตัวหนาหนังเหนียว แต่พวกมันก็ปีนกำแพงไม่ขึ้น กัดหินไม่แตก ต่อให้หนังเหนียวแค่ไหนก็เป็นได้แค่เป้ายิงของพวกเรา!”
“บอกข้าเถิด ประชาชนของข้า พวกเจ้ายินดีที่จะหลบอยู่ในกระท่อมผุๆ พังๆ ของป้อมแล้วหิวตายอย่างน่าอนาถ หรือว่าอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องบุตรและญาติพี่น้องของเจ้า รักษาเมืองชายแดนจนลมหายใจสุดท้ายภายใต้การนำของข้า ข้ายินดีให้คำสัตย์ตรงนี้ว่าเมื่อสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจลงแล้ว ทุกคนที่ร่วมต่อสู้บนกำแพงกับข้าจะได้รับค่าตอบแทนยี่สิบห้าเหรียญเงิน ส่วนคนที่เสียชีวิตระหว่างต่อสู้ ครอบครัวของเขาจะได้ค่าชดเชยห้าเหรียญทอง!”
“พวกเราจะต่อสู้เพื่อฝ่าบาท!” เมื่อมีหน้าม้าคอยชักนำ ฝูงชนก็พากันตะโกนขอสู้ตาย โรแลนด์เห็นบรรยากาศกำลังคึกคักได้ที่ก็สั่งแจกอาหารกลางวันอย่างถูกเวลา เขาไม่ได้หวังว่าทุกคนจะยอมอยู่ที่เมืองชายแดน ขอแค่มีคนยอมอยู่สักครึ่งหนึ่ง เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถต้านทานสัตว์อสูรที่มุ่งหน้ามาที่นี่ได้แล้ว
********************
เปโรย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกเจ้าชายใส่ร้ายอย่างไรบ้าง ตอนที่เขานำข่าวกลับมาแจ้งทั้งหกตระกูลที่ป้อมนั้น ปฏิกิริยาตอบรับของทุกคนคือการหัวเราะเสียงดังสนั่น
“เจ้าบอกว่าเจ้าชายผู้ไร้เดียงสาจะทรงเขี่ยพวกเราทิ้งแล้วสู้ด้วยพระองค์เองหรือ ทรงกล้าสร้างกำแพงเมืองตอนใกล้ถึงฤดูหนาวเช่นนี้ ข้าควรชื่นชมความกล้าหาญหรือหัวเราะเยาะความไม่เจียมตนของพระองค์ดี”
“เจ้าชายองค์โตทรงกล้าหาญเพียงใดใครๆ ก็รู้ แต่ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าชายลำดับที่สี่ก็ทรงกล้าหาญกับเขาเหมือนกัน ช่างทรงโง่นัก!”
“ถูกต้อง พระองค์ไม่มีช่างหินด้วยซ้ำ ลำพังแค่กองหินบิดๆ เบี้ยวๆ ขึ้นไปแล้วเอาโคลนเปียกเชื่อมตรงกลาง ประเดี๋ยวกองสูงเข้าก็ต้องล้มลงมา”
“แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากพระองค์ทรงซมซานกลับมาที่ป้อม พระองค์ก็จะอยู่ในความควบคุมของพวกเรา แต่หากพระองค์สิ้นพระชนม์ลงที่เมืองชายแดน...ละครตลกเรื่องนี้ก็จะสิ้นสุดเร็วขึ้น”
ทันใดนั้น ดยุคที่นั่งหลับตาครุ่นคิดมาตลอดพลันเปิดปากขึ้น “เปโร เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
เปโรอึ้งไปครู่ใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าดยุคแห่งป้อมปราการลองซองจะถามความเห็นเขา “เอ่อ เดิมทีข้ายังอยากผูกขาดการค้านี้ไว้ ตราบใดที่ได้ราคาต่ำกว่าตลาดร้อยละสามสิบ ก็ยังถือว่าเป็นการซื้อขายที่คุ้มค่าอยู่ แต่ว่า...” เขาจัดความคิดในสมองอย่างรวดเร็ว “แต่ว่าเจ้าชายไม่ทรงประสงค์ให้ป้อมผูกขาดแร่แล้ว พระองค์ทรงยอมขายแร่ด้วยราคาที่ลดลงร้อยละห้าสิบ นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงมีแผนจะเพิ่มปริมาณการผลิตแร่ในปีหน้า หากพระองค์ทรงผลิตแร่ได้มากกว่าเดิมเป็นสองเท่า เงินที่พวกเราจะได้ก็จะมากกว่าในอดีต นอกจากนี้พระองค์ยังทรงวางแผนจะทำผลิตภัณฑ์จากเหล็กออกขายด้วย ผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมโดยทั่วไปและขายต่อได้ง่าย แต่...เรื่องนี้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”
“อ้อ แล้วประเด็นสำคัญคืออะไร”
“หากเจ้าชายทรงรักษาเมืองชายแดนได้ก็จะเป็นผลดีกับทางป้อมเช่นกัน พวกเราจะได้ไม่ต้องคอยวางแผนรับมือสัตว์อสูรทุกๆ ปี ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ก้อนใหญ่ นอกจากนี้ ที่ดินขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างป้อมปราการลองซองกับเมืองชายแดนก็จะตกเป็นของพวกเรา ไม่ว่าจะนำมาเพาะปลูกหรือตั้งถิ่นฐานก็ล้วนเป็นทางเลือกที่ไม่เลว เป็นการแก้ปัญหาความแออัดของประชากรได้อีกทาง” เปโรพูดแผนการในใจออกมา “ที่สำคัญคือเจ้าชายจะไม่ประทับอยู่ที่เมืองชายแดนไปตลอดกาล ราชโองการชิงตำแหน่งรัชทายาทกำหนดเวลาไว้เพียงห้าปีเท่านั้น หลังจากห้าปีแล้ว พวกเราก็จะได้เมืองชายแดนที่เจริญยิ่งกว่าเดิม ถึงตอนนั้นก็จัดการยึดเมืองมาเป็นของป้อมเสีย ป้อมของพวกเราก็จะมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอาณาจักร ดังนั้นความเห็นของข้าก็คือ...” เขาเหลือบมองดยุคแวบหนึ่งก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ทางป้อมควรส่งคนไปช่วยเจ้าชายสร้างกำแพงเมืองและร่วมกันรักษาเมืองชายแดนไว้”
“พูดได้ไม่เลว” ดยุคยิ้ม “แต่ก็เป็นความคิดแบบพ่อค้า มองเห็นแต่ผลประโยชน์”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็ลุกขึ้น กวาดตามองผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ น้ำเสียงค่อยๆ ทวีความน่ายำเกรง “ข้าก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะใช้ผลประโยชน์มาชั่งน้ำหนักทุกอย่าง เหตุใดข้าต้องทำการค้ากับผู้ที่ไม่ยอมอยู่ใต้ความควบคุมของข้า ระเบียบบางอย่างก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ผู้ใดฝ่าฝืนก็ต้องถูกลงโทษ เมืองชายแดนจะเจริญหรือล้าหลังไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญก็คือที่นั่นคือดินแดนของข้า ใครก็อย่าได้คิดจะสอดมือเข้ามา...ต่อให้คนผู้นั้นเป็นเจ้าชายก็ไม่มีข้อยกเว้น”
........................................