webnovel

ครอบครัวอลเวง

...

หลังจากที่ได้ตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว เช้าวันถัดมา ปู่กับย่าของทับทิมในตอนนั้นก็ได้พาเด็กหญิงตัวน้อย ที่น่ารักจ้ำม่ำไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง พอไปถึงที่นั่นเป็นเวลาสายๆพอดี สถานที่แห่งนี้เป็นแค่ตึกแถวเก่าๆของข้างในซอยแต่ไม่ได้ลึกลับอะไร มีทางเข้าแคบๆ ประตูเหล็กดัดพอมองเห็นเด็กและเตียงเปล มีเด็กนอนเรียงรายอยู่เต็มพื้น บนพื้นจะมีที่นอนและฟูกวางเรียงกันเป็นแถว ที่นั่นมีทั้งเด็กทารกแรกเกิดและเด็กกำลังหัดเดิน และมีพี่เลี้ยงที่เห็นในตอนนั้นแค่สองคน ส่วนด้านในไม่สามารถมองเห็นได้เพราะมีประตูเลื่อนแบบกระจกที่ปิดทึบ เสียงเด็กที่บางคนร้อง บางคนก็คลานไปรอบๆ มองดูแล้วรู้สึกรันทด หดหู่ใจ..

ย่าของทับทิมมองเข้ามาจากด้านนอก เห็นพี่เลี้ยงคนนึงกำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งอยู่ ส่วนอีกคนกำลังป้อนข้าวเด็กๆที่นั่งได้แล้วโดยถือชามข้าวเพียงใบเดียว แต่ป้อนข้าวเด็กถึง 4 คน

" มีธุระ อะไรหรือเปล่าคะ " พี่เลี้ยงคนนึงถามย่า

ย่ามองหน้าปู่ก่อนนิดนึง ก่อนจะถามพี่เลี้ยงไปว่า

" เอ่อ.. ไม่ทราบว่าที่นี่รับเลี้ยงเด็กหรือเปล่าคะ "

" อ๋อ.. ปรกติก็รับเลี้ยงบ้างนะคะ บางทีก็มีผู้ปกครองเด็กมาฝากไว้ แบบว่าไม่ว่างเลี้ยงลูกต้องทำงานน่ะค่ะ "

" แล้วถ้า.. แบบว่า.. เป็นเด็กกำพร้าล่ะคะ มีเยอะไหมคะ "

" เอ่อ มีค่ะ ทางเราก็รับอยู่นะคะ แต่โดยมากจะถูกส่งมาจากทางโรงพยาบาลอีกทีค่ะ ที่นี่ผู้บริจาคยังมีอยู่น้อยค่ะ แต่ถ้ามีเด็กฝากเลี้ยงทางเราก็สอนหนังสือให้ด้วยนะคะ "

" ค่ะ พอดี เดินดูหลายๆที่น่ะค่ะ ยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นัก ถ้างั้นขอตัวก่อนนะคะ " ย่ามองหน้าปู่แล้วพยักหน้าให้ปู่เดินตามออกมา ทั้งคู่เดินไปอย่างเงียบๆ

" พ่อมึง เราไปอำเภอกันเถอะ "

" ไปทำอะไรที่นั่นกัน ? "

" ไปแจ้งเกิด!! … ให้เด็กคนนี้กัน "

" ห๊าาา..!! ทำไมต้องแจ้งเกิด ? "

" ก็.. พ่อบอกว่าเด็กนี่ยังจำความไม่ได้นี่นา เราก็แค่ใส่ความจำให้เด็กไปไง "

" ใส่ความจำ ? ยังไง ? แม่มึงพูดอะไร ? พ่องงไปหมดแล้ว!! "

" ก็ที่ไปมาเมื่อกี๊ พ่อไม่เห็นหรอ ว่าที่นั่นเป็นยังไง มันน่าสงสารเด็กๆจะตายไป ว่ามั้ย ? นอนกันอย่างแออัด บางคนโตกว่าเดินล้มทับน้องที่ตัวเล็ก ร้องให้กระจองอแง คนเลี้ยงคนดูแลก็น้อยเกินไป เด็กๆบางคนทั้งน้ำลายทั้งน้ำมูกไม่มีคนเช็ดให้ฉันรับไม่ได้หรอกนะ ถึงยังไงฉันก็ว่าฉันเลี้ยงเองได้ดีกว่าที่นี่แน่ๆ " ย่าบ่นกะปอดกะแปด ปู่เข้าใจย่าในทันที

" ถ้าอย่างนั้น.. ทำไมเราต้องไปแจ้งเกิดด้วยล่ะ "

" ก็.. แจ้งมันว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเราไง แจ้งช้าหน่อยก็ได้ เอาเกิดวันใกล้เคียงกับทับทิมก็ได้ ใครจะไปรู้.. ไม่มีคนรู้หรอก!? บอกว่าเป็นลูกหลงก็ได้ ถ้าเราทำเรื่องขอรับเป็นบุตรบุญธรรมเรื่องก็จะเยอะ ทางเจ้าหน้าที่ต้องถามอีกแน่ๆว่าเด็กกำพร้าจากที่ไหน ? แถมต้องมาสำรวจเราว่ามีรายได้พอเลี้ยงเด็กไหม ? ยุ่งยากวุ่นวายไปเปล่าๆ เอาแบบที่ฉันว่านี่แหละ เดี๋ยวพ่ออุ้มเด็กรออยู่ข้างนอกนะ เดี๋ยวแม่เข้าไปแจ้งเกิดเอง "

ปู่ทำตามที่ย่าบอก ย่าจึงจัดการทุกอย่างตามที่ได้พูดคุยกับปู่ไป พอเสร็จเรื่องทั่งคู่ก็เดินทางกลับบ้าน..

ตกเย็นวันนั้น หลังจากที่ทุกคนในบ้านรู้เรื่อง

" อะไรของแม่เนี่ย!? หนูไม่เข้าใจจริงๆ " พัชรีบ่น

" เอาเถอะน่า.. แกจะให้แม่ทำอย่างไร ในเมื่อที่นั่นมันไม่ได้ดีไปกว่าที่บ้านของเราเลย " ย่าพยายามบอกเหตุผล

" ลูกก็ไม่ใช่!!.. หลานก็ไม่ใช่!! ลูกใครก็ไม่รู้ !? " อนันต์ลูกชายคนที่ 3 เอ่ย

" แม่เลี้ยงของแม่เอง.. พวกแกไม่ได้มาเลี้ยงด้วยนี่!! แล้วอีกอย่างนะ!? เด็กคนนี้.. ในตอนนี้ก็เป็นน้องของพวกแกแล้ว ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง เป็นลูกของฉันกับพ่อของพวกแกไปเรียบร้อยแล้ว " ย่ายื่นคำขาด

" เอาเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว พ่อกับแม่ตัดสินใจแล้ว พวกแกอย่าใจร้ายใจดำนักเลย อีกเดี๋ยวมันก็โต เด็กน่ะโตเร็วจะตายไปดูอย่างพวกแกสิ!! โตจนมาเถียงพ่อแม่อยู่นี่ไง " ปู่พูดแบบหน้านิ่วคิ้วขมวด

" เอาเป็นว่า พ่อกับแม่ตกลงรับเด็กคนนี้เป็นลูกไปแล้วใช่ไหม ? " อานนท์พ่อของทับทิมพูดขึ้นบ้าง

" ใช่แล้ว นี่ไงใบเกิด " ย่าบอกพร้อมทั้งยื่นกระดาษใบเกิดให้ลูกชายดู

" เข้าใจแล้ว.. งั้นตอนนี้พวกเราก็มีน้องเพิ่มมาอีก 1 คน " อานนท์หันหน้าไปบอกพวกน้องๆของเขา โดยที่อนันต์ พัชรี พัชรา และพัชรัตย์ ทำหน้าแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่น้องๆของอานนท์ไม่มีใครกล้าโต้เถียงพี่ชายของพวกเค้าเลยสักคน

" ถือว่าเลี้ยงไว้ให้เป็นเพื่อนกับหลานทับทิมเถอะ " ปู่ช่วยพูดให้ทุกคนผ่อนคลายความอึดอัดนี้

" ในเมื่อกะจะเลี้ยงให้เป็นเพื่อนกับทับทิมล่ะก็.. ฉันจะช่วยค่านมให้แม่เองนะ เพราะยังไงๆ ฉันก็ต้องซื้อนมให้ลูกของฉันอยู่แล้ว แถมต้องให้แม่เป็นคนดูแลตอนฉันไปทำงานอีก " แม่ของทับทิมบอกกับแม่สามี ( ย่าของทับทิม ) เพื่อให้ทุกคนคลายความเป็นกังวล เนื่องด้วยแม่ของทับทิมอายุมากกว่าอานนท์ผู้เป็นสามีอยู่ 6 ปี และยังเป็นคนขยันทำงานมีเงินเก็บจนปล่อยให้พวกสาวๆที่โรงงานกู้ แล้วยังเอาของใช้ของกินไปขายบ้างตามหอของโรงงานอีก แถมยังแอบขายหวยใต้ดินอีกด้วย เรียกได้ว่าหาเงินได้เก่งมาก ทำให้ทุกๆคนที่บ้านนี้เกรงใจและให้เกียรติ และเมื่อสมัยที่แม่ของทับทิมมาอยู่ที่กรุงเทพใหม่ๆก็สนิทกับสร้อย ( ย่าของทับทิม ) ซึ่งอายุของพวกเธอห่างกันแค่สิบกว่าปี ในตอนนั้นจึงนับถือกันแบบพี่น้อง แต่พออานนท์ ( พ่อของทับทิม ) กลับมาจากไปเกณฑ์ทหาร ก็ได้หลงรักสุพัทรา ( แม่ของทับทิม ) และแต่งงานอยู่ด้วยกัน ด้วยความที่สุพัทราพอมีเงินเก็บอยู่พอสมควร ก็เลยต่อห้องแยกจากตัวบ้านของสามีเพื่อความเป็นส่วนตัว..

....

ในทุกเช้า ที่บ้านของย่าทับทิมจะวุ่นวายกันมาก เพราะว่ามีสมาชิกภายในบ้านหลายคนแต่มีห้องน้ำอยู่เพียงห้องเดียว ถ้าใครปวดท้องหนักจะเดือดร้อนที่สุด บางทีอาจมีเสียงโวยวายเคาะประตูให้รีบออกมา เพราะทุกคนที่อยู่บ้านนี้เป็นพี่น้องที่โตมาด้วยกัน และเล่นกันมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก จึงสนิทกันมากจนเกือบเหมือนเพื่อน แต่ก็ชอบเถียงและทะเลาะกันไปมาเสมอ ถึงจะมีการกระแนะกระแหนกันขึ้นมาบ้าง แต่ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นพวกเขาเหล่าพี่น้องก็จะช่วยเหลือกันเสมอมา และพวกน้องๆทุกคนจะเชื่อฟังพี่อานนท์ ( พ่อของทับทิม ) เสมอ

ย่าของทับทิม ชื่อ สร้อย อายุ 45 ปี อาชีพ เป็นคุณแม่อยู่บ้าน และมีสามีคือ

ปู่ของทับทิม ชื่อ วัลลพ อายุ 47 ปีอาชีพ เป็นยามเฝ้าประตูหน้าโรงงานที่แม่ของทับทิมทำอยู่ มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 6 คน ( ไม่รวมบุตรบุญธรรม แต่ถ้าให้นับรวมเข้าไปด้วยจะเป็น 7 คน )

บุตรคนแรกเป็นผู้หญิง ชื่อ พัชราวัลย์ ( ป้าวัลย์ ) อายุ 28 ปี แต่งงานแล้วไปอยู่บ้านสามีที่ต่างจังหวัดนานๆจะกลับมาเยี่ยม

บุตรคนที่สองเป็นชาย ชื่อ อานนท์ ( พ่อของทับทิม ) อายุ 26 ปี อาชีพ เป็นยามเฝ้าบ้านและดูแลสวนให้เจ้านาย ( ซึ่งเจ้านายคนนี้ก็คือเจ้าของโรงงานที่แม่ของทับทิมทำอยู่นั่นเอง ) แต่งงานแล้วมีบุตรด้วยกัน 1 คน ( ในตอนนี้ )

บุตรคนที่สามเป็นชาย ชื่อ อนันต์ ( อานันต์ ) อายุ 24 ปี อาชีพขับรถตุ๊กตุ๊ก ตอนนี้ยังโสด

บุตรคนที่สี่เป็นผู้หญิง ชื่อ พัชรี ( อารี ) อายุ 23 ปี อาชีพ ทำงานที่โรงงานเดียวกันกับแม่ของทับทิมโดยแม่ของทับทิมเป็นคนฝากให้ ( เพราะในตอนแรก ย่าสนิทและนับถือแม่ของทับทิมเหมือนพี่น้อง ) มีแฟนแล้วและอยู่ด้วยกันแบบไม่ได้แต่งแต่ผูกข้อมือเฉยๆ ตอนนี้ยังไม่มีบุตร

บุตรคนที่ห้าเป็นผู้หญิง ชื่อ พัชรา ( อารา ) อายุ 21 ปี อาชีพ ทำงานโรงงานที่เดียวกันโดยแม่ของทับทิมฝากงานให้เหมือนกัน เพิ่งเริ่มจะมีแฟนแต่ยังไม่ได้บอกทางบ้าน

บุตรคนที่หกเป็นผู้หญิง ชื่อ พัชรัตย์ ( อารัตย์ )อายุ 19 ปี อาชีพ เป็นพนักงานขายของที่ห้างแห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังโสด

บุตร ( บุญธรรม ) คนที่เจ็ดเป็นผู้หญิง ชื่อ สุคนทรา ( อาเล็ก ) อายุ 1 เดือน ( อายุจริง 1 ปี ) อาชีพ ยังไม่มีเพราะเป็นเด็ก

เห็นไหม ? ว่าสมาชิกภายในครอบครัวนี้เยอะขนาดไหน!? ในแต่ละวันจะต้องแก่งแย่งชิงดีกัน ในเรื่องของการแย่งเข้าห้องน้ำนั้นมันสาหัสและสากัลมากกกกก….. และพอต่างคนต่างมีงานทำและต้องรีบไป ธุระของแต่ละคนจึงสำคัญกันเป็นพิเศษ ต่างคนก็ต่างว่าสิ่งที่ตนทำนั้นมันพิเศษ และสำคัญยังไง ตัวของพวกเขานั้นต้องได้ก่อน ต้องทำก่อน แย่งกันพูด แย่งกันทำ จนมาถึงจุดที่ทนกันไม่ไหว และระเบิดกันออกมา

" โอ้ยยยยย!!! ฉันอยากจะบ้าตาย พี่รีรรร… แกรีบออกมาซะที!? ถ้าจะอาบน้ำไปอาบข้างนอกนั่นไป!! ฉันปวดท้องขี้!! ขี้จะแตกอยู่แล้ว อีพี่รี.. โว้ยยยยยย " เสียงพัชราตะโกนแหกปากดังลั่น

" กำลังสระผม.. แปบนะ.. ฟองเข้าตา!! " เสียงพัชรีกำลังเอาน้ำราดล้างฟองที่เธอบอกว่าเข้าตาของเธออยู่

" มาล้างข้างนอกได้ไหม ? เร็วๆเข้าจะอั้นไม่ไหวแล้ว " พัชราพูดพร้อมทุบประตูห้องน้ำ

" เออๆ ออกแล้วเนี่ย " พัชรีเปิดประตูห้องน้ำพร้อมผมที่ยังล้างฟองจากแชมพูสระผมยังไม่หมด

" แม่น่าจะทำห้องน้ำเพิ่มนะแม่ "พัชรีบ่น

" ไปทำเพิ่มตรงไหนล่ะ ?.. เอาหน้าบ้านไหม ? มีส้วมมันตรงหน้าบ้านซะเลย จะได้สบายใจ "

" โถ่!!.. แม่.. " พัชรีนั่งลงตรงข้างโอ่งน้ำที่อยู่หน้าบ้านแต่มีสังกะสีล้อมไว้และล้างผมของเธอ ที่ตรงนั้นเป็นที่ไว้สำหรับล้างจานและซักผ้า ( แบบซักมือ ) และมีราวสำหรับให้ตากผ้าแบบทำกันเองง่ายๆ

" ทีหลังถ้าจะอาบน้ำหรือสระผมก็มาสระข้างนอกนี่สิ จะได้ไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน "

" โถ่.. หนูก็รีบเหมือนกันนะแม่ ต้องไปเข้างานกะเช้าด้วย ยังไม่ได้กินข้าวเลย "

" เอาโอวัลติน กับปาท่องโก๋ไหมล่ะ " แม่สร้อย ( ย่าของทับทิม ) บอกพร้อมทั้งหยิบจานใส่ปาท่องโก๋กับแก้วที่ชงโอวัลตินมาวางไว้บนโต๊ะพับแบบญี่ปุ่น

" กินก็ได้ ดีกว่าไม่ได้กินอะไรเลย " พัชรีว่าแล้วก็หยิบปาท่องโก๋ใส่ปากของเธอและเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

...

" แม่.. หนูว่าจะย้ายไปอยู่หอพักที่ทำงานนะ หนูจะกลับมาอยู่บ้านแค่วันหยุดของหนู สัปดาห์ละ 1 วันนะแม่ " พัชรา ( บุตรลำดับที่ห้า ) กำลังขออนุญาตผู้เป็นมารดาอยู่

" ทำไมล่ะ อยู่บ้านเรามันไม่สะดวกกว่าเหรอ ? ที่หอพักคนงานนั่น เขาเข้มงวดนะ และห้ามคนนอกเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย.. แถมอยู่กันห้องนึงหลายๆคนไม่ใช่หรอ ? "

" แต่หนูว่าสะดวกนะ เพราะใกล้ที่ทำงานมาก ถ้าทำโอทีเลิกงานดึก แม่จะได้ไม่ต้องกังวล แถมห้องน้ำเยอะมากสามารถเลือกได้เลยว่าจะเข้าห้องไหน และหอที่ทำงานเขาก็แยกชายหญิงคนละฝั่งมีรั้วรอบขอบชิดปลอดภัย พ่อก็รู้นี่นาไม่เชื่อแม่ก็ไปถามพ่อดูสิ ไม่ต้องห่วงหนูหรอก หนูเหนื่อยถ้าต้องทำโอที ขี้เกียจเดินกลับบ้านตอนดึกๆ "

" เออ.. ตามใจแกก็แล้วกัน แต่อย่าเก็บเงินไว้กับตัวเองเยอะๆนะ เดี๋ยวพวก.. ขโมยเอา เงินออกเมื่อไรก็เอามาเก็บที่บ้าน "

" จ้า.. จ้า.. หนูจะจำไว้ "

วันนั้นพัชราจึงเตรียมตัวย้ายไปอยู่ที่หอพักคนงานหญิง ที่โรงงานนี้มีสวัสดิการดีมาก มีหอพักหญิงล้วนให้คนงานหญิงได้พักอาศัย แต่ทุกคนที่อยู่ที่หอพักจะต้องทำตามกฎของที่นี่ และยังมีหอพักชายล้วนด้วย ซึ่งอยู่กันคนละฟากฝั่งของโรงงาน ตลอดพื้นที่ของโรงงานนี้มีรั้วล้อมรอบ และมียามรักษาความปลอดภัยอยู่ทุกจุดประตู พื้นที่ของโรงงานใหญ่โตมาก น่าจะประมาณ 100 กว่าไร่ ( เจ้าของแบบ.. รวยมาก ) ทั้งยังมีโรงอาหารแบบขายในราคาถูกให้แก่พนักงานอีกด้วยซึ่งในบางร้านยังสามารถขายแบบเชื่อได้ คือให้ติดค่าอาหารได้แล้วมาจ่ายอีกทีตอนเงินออกก็มี พัชราอยากมีอิสระในการทำงานและเดินทาง อีกอย่างเธอเบื่อความแออัดของสมาชิกในบ้าน ทำให้ไม่มีความเป็นส่วนตัวในความรู้สึกของเธอ เธอจึงคิดที่จะมาพักที่หอพักหญิงเพื่อทำงานเก็บเงิน เธออยากทำโอทีและจะได้เงินมากขึ้น..

นึกว่าจะลดจำนวนสมาชิกไปได้สักหน่อย ไม่นานนักหลังจากพัชราย้ายไปพักอยู่ที่หอพักหญิง อนันต์ลูกชายลำดับที่สามก็พาคนมาอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้อีกหนึ่งคน นั่นคือแฟนของเขานั่นเอง ไม่รู้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน แต่เอาเป็นว่าหล่อนเป็นคนแถวๆที่ทำงาน ( โรงงาน ) ของน้องเขานั่นแหละ แฟนของอนันต์ ชื่อ ก้อย และคนที่โรงงานนั้นรู้จักก้อยกันดีทุกคน ว่าก้อยนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แบบชอบเปลี่ยนแฟนบ่อยๆ และชอบเอาเปรียบเพื่อนๆที่ทำงาน ทำงานแบบขอไปที ต่อหน้าผู้ชายจะระริกระรี้ ต่อหน้างานจะเหมือนคนซังกะตาย หล่อนจะโกหกได้เก่งมาก เพราะฉนั้นอนันต์ซึ่งยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนจะตาม ก้อย ไม่ทันอย่างแน่นอน แต่ก้อยเธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอในตอนนี้ยังลำบากไร้ที่อยู่เพราะถ้าเธอออกไปเช่าบ้านอยู่คนเดียวจะไม่มีเงินพอใช้อย่างแน่นอน และถ้าไปอยู่ที่หอ ( ซึ่งเธอเคยไปอยู่ ) ก็ไม่สะดวกต่อการไปเที่ยว แถมเพื่อนๆร่วมห้องไม่ค่อยชอบนิสัยของเธอสักเท่าไหร่นัก เธอจึงต้องหาที่เกาะเอาไว้ก่อน อย่างน้อยเอาไว้กันความลำบาก ซึ่งอนันต์ก็เข้าข่ายมาให้เธอเกาะได้พอดี และในตอนนี้ยังเป็นข้าวใหม่ปลามันอยู่ เธอก็ยังไม่ออกลาย

' อย่างน้อยก็ไม่ต้องเช่าบ้านล่ะนะ '

ก้อยยิ้มหวาน และฝันหวานถึงวันข้างหน้าของหล่อน.. สงสัยบ้านหลังนี้คงจะสงบสุขต่อไปไม่ได้อีกกระมัง...

....

Chapitre suivant