webnovel

บทที่ 4 แผนการใหญ่

ท้องพระโรงกว้างใหญ่เงียบกริบดั่งต้องสาป แม้แต่เสียงลมหายใจยังมิได้ยิน เนื่องเพราะอุบายสมุทรธรนั้นใหญ่หลวงนัก จำต้องไตร่ตรองให้ถ้วนถี่

"แม่ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด"

เสียงพระนางวิภาณีทำลายความเงียบ พระโอรสจำต้องถาม

"เพราะเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? "

"การที่ลูกจะรับพระชายาเป็นบุรุษนั้นคือข้อหนึ่ง ซึ่งหาได้มีชายใดกระทำไม่ แต่ข้อแรกหาได้สำคัญเท่ากับการนำรัชทายาทแห่งเจ้าเผ่าครุฑมาเป็นชายา การกระทำหักหน้าท้าวทศเวหนเยี่ยงนี้ ผลที่ตามมาคงยากเป็นมงคล"

องค์เดชานาคราชพยักพระพักตร์เห็นด้วย

"มารดาเจ้ากล่าวชอบแล้ว ต่อให้เจ้ามีบุตรกับเทวปักษ์สำเร็จดั่งประสงค์ คิดหรือว่าท้าวทศเวหนจะยอมรับหลานซึ่งกำเนิดมาจากสองเผ่าพันธุ์"

นาคาหนุ่มตอบทันใด "เรื่องนั้นพระบิดามิต้องทรงห่วง ในบรรดาโอรสครุฑาทั้งเจ็ดของท้าวทศเวหน เทวปักษ์คือโอรสหัวแก้วหัวแหวนที่ราชาครุฑทรงรักที่สุด เนื่องเพราะเทวปักษ์ถือกำเนิดจากครรภ์พระนางสุบรรณเทวี [1] ผู้ล่วงลับ ราชินีที่ท้าวทศเวหนทรงรักสุดหัวใจ

มีคำเล่าว่าท้าวทศเวหนถึงกับลั่นวาจา จะรักนางสุบรรณเทวีเพียงหนึ่งเดียว เพียงแต่นางสุบรรณเทวีมีโรคมาก ทราบดีว่าตนยากปรนนิบัติ จึงร้องขอพระสวามีให้รับมเหสีเพิ่ม เพื่อความเป็นอยู่สุขสบายของพระสวามีเอง

เมื่อนางสุบรรณเทวีได้คลอดเทวปักษ์ ต่อมามินานก็สิ้นใจ ดังนั้นเท้าทศเวหนจึงรักเทวปักษ์ยิ่งกว่าสิ่งใดในหล้า ต่อให้นำเทวปักษ์ไปแลกกับเมืองครุฑมันก็ยินยอม"

องค์เดชานาคราชเลื่อมใสในความคิดอ่านของผู้เป็นบุตร แต่พระองค์ยังมิอาจตกลงปลงพระทัย

"แต่ว่า...การที่เจ้าจับเทวปักษ์มานั้น ท้าวทศเวหนมีแต่จะพิโรธมากกว่าเดิม"

"เรื่องนี้ของให้เป็นธุระของลูกเอง ข้าพระองค์ขอรับรองว่าจะมิให้เกิดเรื่องตามมาโดยเด็ดขาด"

ผู้เป็นบิดาอดถามสิ่งที่อัดอั้นมานานหลายปีมิได้

"พ่อต้องการใคร่รู้ประการหนึ่ง เหตุใดลูกจึงมิขอพรต่อองค์อิศวรว่าให้มีฤทธิ์เหนือเหล่าครุฑา แต่กลับขอพรซึ่งนำมาด้วยอุบายอันยุ่งยากอย่างนี้"

สมุทรธรส่ายหน้า "หากข้าพระองค์ขอพรดั่งนั้น ข้าพระองค์จะเป็นผู้เดียวที่มีฤทธิ์มาก แต่นาคตนอื่นเล่า? ยังคงต้องตกเป็นอาหารของเผ่าครุฑผู้โอหังอยู่ดี"

สีหน้านาคาหนุ่มเคร่งขรึม หัวคิ้วขมวดแทบชนกันเป็นสะพาน

"ต่อให้ฤทธา [2] ลูกสูงส่งกว่าเทวราช เหนือไปกว่าองค์อินทร์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเทวดา ยังคงมิสามารถยุติความแค้นนาคครุฑซึ่งบ่มเพาะมานานนับพันปี"

ราชินีแห่งนาคตรัสถาม "แล้วที่ลูกจับเทวปักษ์มาอย่างนี้ จะยุติความแค้นได้อย่างไร แม่เห็นว่ามีแต่จะเพิ่มความแค้นให้สาหัสขึ้น"

"เชื่อมั่นในอุบายของลูกและพรมงคลขององค์อิศวรเจ้า การนี้จักต้องลุล่วงด้วยดีแน่"

เมื่อสมุทรธรยืนยันขันแข็ง องค์เดชานาคราชแลมหาราชินีต่างก็มิอาจขัด เนื่องเพราะคิดอุบายมิทันพระโอรส มิทราบจะทรงแก้ปัญหาอย่างไร

ครั้นจะสั่งให้สมุทรธรปล่อยเทวปักษ์ก็มิได้ ด้วยเหตุว่าเทวปักษ์ต้องนำเรื่องกลับไปฟ้องท้าวทศเวหนแน่ เมื่อถึงเพลานั้น มหาสงครามจักเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

"พ่อขอคิดเรื่องนี้ดูอีกที เจ้ากลับไปเถอะ"

องค์ราชาได้แต่ปล่อยให้พระโอรสดำเนินอุบายไปพลางก่อน โดยยากจะหยั่งทราบผลปั้นปลายในท้ายสุด สมุทรธรรับคำคุกเข่าถวายพระพร หันกายเดินออกจากท้องพระโรงไป

"ช้าก่อน" องค์เดชานาคราชเรียก

"พ่ะย่ะค่ะ" สมุทรธรหันมา

"แม้เทวปักษ์จะเป็นเชลยแต่ก็เป็นถึงรัชทายาท จงอย่าได้ทำร้ายเขา ภายหน้าหากเกิดเรื่องขึ้น จะได้มีข้ออ้างไปว่ากล่าวกับท้าวทศเวหน"

"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะมิทำร้ายเทวปักษ์"

แม้จะรับคำแต่โดยดี แต่บนหน้านาคาหนุ่มกลับเผยรอยยิ้มอันพิกล

รัชทายาทแห่งนาคเดินกลับเข้าห้อง ร่ายคาถาเปิดประตูหิน เห็นเทวปักษ์นั่งนิ่งอยู่ที่เตียง

"หิวรึไม่? " สมุทรธรถาม

"ข้าไม่หิว"

"ไม่หิวแล้วจับข้ากินเป็นอาหารทำไม? "

ที่จริงเทวปักษ์นั้นหิวเนิ่นนานแล้ว มิอย่างนั้นคงมิท่องเวหาไปถึงใจกลางมหาสมุทร แต่ปากยังคงแข็งตามประสา ซึ่งสมุทรธรหาได้ใส่ใจ

"ข้าจะพาเจ้าไปกินปลาเกล็ดรุ้ง สีสันสวยงามให้รสชาติถึงเจ็ดอย่าง ดีกว่ามันเหลวของนาคที่พวกเจ้าชอบกินนัก"

"ข้าบอกว่าไม่หิว"

สมุทรธรเดินไปนั่งที่ด้านข้าง เทวปักษ์เขยิบกายหนีห่าง สมุทรธรถาม

"รังเกียจข้าขนาดนั้นเลยรึ? "

เทวปักษ์มิได้ตอบ สมุทรธรกลับกล่าว

"แต่ท่าทีเจ้าซึ่งยอมข้าเมื่อครู่ กลับทำให้ข้ารู้สึกว่าเราสองเป็นหนึ่งเดียว"

"หุบปาก!"

เทวปักษ์ตวาดลั่น แม้ฤทธิ์ในกายเหลือเพียงน้อยนิด แต่น้ำเสียงยังคงกังวานดั่งเจ้าวิหค

สีหน้านาคาหนุ่มผ่อนคลาย "ยังแข็งแรงก็ดีแล้ว ข้าเป็นห่วงว่าพิษข้าจักทำให้เจ้าไม่สบาย"

เทวปักษ์ลุกขึ้นชี้หน้า "สมุทรธร ยามนี้จะเหยียดหยามข้าก็ทำไป แต่จงรู้ไว้ว่าโชคชะตามิแน่นอน อย่าหลงตนคิดว่าจะได้อยู่เหนือเพียงฝ่ายเดียว"

โอรสแห่งเจ้าบาดาลกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้ามิได้คิดอยู่เหนือเจ้า"

"แล้วที่เจ้าทำไปเพื่อกระไรกัน"

สมุทรธรลุกขึ้นจากเตียงบ้าง "ข้าต้องการมีลูกกับเจ้าเพื่อความปรองดองของสองเผ่าพันธุ์"

วาจาอันระคายหูเช่นนี้องค์ชายครุฑไหนเลยจนทนฟัง อ้าปากหมายโต้ตอบ สมุทรธรพลันคว้าเข้าที่แขนเขา

"ไปกินอาหาร เดี๋ยวจะหิวตายเสียเปล่าๆ "

ประตูหินเปิดราวกับรู้ใจผู้เป็นนาย สมุทรธรจูงแขนเทวปักษ์พาไปยังห้องเสวยพระกระยาหาร ระหว่างทางผ่านทหารนาคาซึ่งยืนเรียงราย เหล่าทหารหาญมองทั้งสองด้วยสายตาพิกล

เทวปักษ์ไหนเลยจะเคยถูกบุรุษจูงมือถือแขนให้เป็นที่อับอาย ทว่าพยายามสะบัดแขนก็ยังดิ้นมิหลุด

"ให้ข้าจูงแขนเจ้าน่ะดีแล้ว วังนาคของข้าทางซับซ้อนดั่งวงกต ต่อให้อยู่มานานหากมิระวังยังหลงได้ อย่าว่าแต่เจ้าซึ่งมิเคยมา"

พระโอรสพญาครุฑย่อมมิอาจรับความหวังดี

"ข้ามีเนตรทิพย์ซึ่งมองไกลนับสิบโยชน์ แม้เจ้าจะซ่อนกายภายในดงปะการังยังมองเห็น จะกลัวอันใดกับถ้ำจืดชืดไร้สีสัน"

สมุทรธรหันมายิ้มให้เทวปักษ์ เขาชอบท่าทีดื้อดึงของอีกฝ่ายยิ่ง

"วังของข้าคงมิงดงามเท่าวังทองแห่งราชาครุฑ หากแต่เต็มไปด้วยค่ายคูประตูกล ขอเตือนเจ้าอย่าคิดหนี มิเช่นนั้นติดกับดักขึ้นมาจะเดือดร้อน"

"ข้าไม่กลัวกับดักของสัตว์ที่ทำได้แค่เลื้อยคลาน"

แม้จะตกเป็นเชลย แต่ดวงตาของพระโอรสแห่งเจ้าเวหายังเชิดหยิ่ง เนื่องเพราะได้รับการตามใจตั้งแต่เล็ก จึงมีความทะนงเป็นนิสัย

สมุทรธรกำหมัดวางใต้คางตนเอง ทำท่าครุ่นคิดราวนักปราชญ์ รอยยิ้มหล่อเหลาปรากฏบนใบหน้า ดั่งมนตราสะกดใจคน

"มิน่าเล่า..."

"มิน่ากระไร? " จอมปักษาถาม

"…"

สมุทรธรหาได้ตอบ กระตุกความใคร่รู้ของเทวปักษ์ยิ่ง เขาถามย้ำ

"มิน่ากระไร? "

"หากเจ้าไม่ดื้อ ข้าจะบอก"

เทวปักษ์กระชากเสียง "ใครใคร่รู้กัน!"

จอมปักษามิใยดีสมุทรธร เดินไปตามทางถ้ำอันคดเคี้ยว นาคาหนุ่มสะอึกกายตามติด

"เจ้าจะไปไหน รู้หรือว่าห้องเสวยอยู่ที่ใด"

"เรื่องของข้า"

"จะเรื่องของเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าเป็นคนนำเจ้าไปกินอาหาร"

เทวปักษ์มิตอบบ้าง เพียงเดินตรงดุ่มไปเบื้องหน้า สมุทรธรร้องเรียก

"เทวปักษ์ เจ้าจะไปไหนกัน"

จอมปักษาหาได้สนใจ กวาดเนตรทิพย์มองไกลหาทางออก ทว่าทางในถ้ำซับซ้อนดั่งนาคาหนุ่มว่า บดบังจุดหมายที่ต้องการ

"นี่ ทำไมไม่คุยกับข้า"

สมุทรธรพลันคว้าแขน แต่เทวปักษ์สะบัดหลบก่อนจะมาถึง ดวงตายังมองไปเบื้องหน้า เท้าก้าวตรงมิรอรี

นาคาหนุ่มเร่งฝีเท้าตาม ปากเอ่ยถามมิยั้งหยุด

"เจ้าจะไปไหนกันแน่? เหตุใดมิพูดกับข้าเหมือนเมื่อครู่เล่า? โกรธอันใดข้าอีก? ไม่หิวหรืออย่างไร? "

ระดมคำถามราวห่าฝน ทว่าคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ แววตาสมุทรธรพลันเหี้ยมขึ้น

"คุยกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าเปลื้องผ้าเสียตรงนี้"

ทว่าเทวปักษ์หาได้ใส่ใจ ดวงตายังมองหาทางออก สมุทรธรยกมือขึ้นทำท่าราวกับยอมแพ้

"ตกลง ตกลง ถือว่าข้าผิดต่อที่กระทำกับเจ้าอย่างนี้ แต่รู้รึไม่ เจ้านี่มีวาสนานัก ขนาดกินพี่น้องร่วมเผ่าข้าไปมากมาย พระบิดายังกำชับให้ข้าดูแลเจ้าอย่างดี"

เทวปักษ์ชะงักเล็กน้อยหันมามองเขา สมุทรธรยินดียิ่ง

"เป็นไร จะคุยกับข้าแล้วหรือ"

ครุฑาหนุ่มจ้องหน้าแต่มิตอบ จากนั้นหันหน้าเดินต่อ นาคาหนุ่มทนมิไหว ทะยานกายไปขวางทาง คำรามเสียงดัง

"หยุดนะเทวปักษ์!ต่อให้เจ้ามีเนตรทิพย์เสมอบิดาเจ้าก็หาได้เห็นทางออกที่นี่ไม่ เนื่องเพราะในวังร่ายด้วยมนตร์แห่งพระเวทโบราณ แปรเปลี่ยนวังเป็นค่ายกลเพื่อป้องกันศัตรู"

เทวปักษ์เพียงยืนนิ่ง มิได้ตอบโต้หรือมีท่าทีดุร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้สมุทรธรจึงมิอาจใช้กำลังเข้าข่ม ได้แต่กล่าวอย่างอับจนปัญญา

"เช่นนี้เถอะ ข้ายอมเจ้าแล้ว จะให้ทำอย่างไรเจ้าถึงจะคุยกับข้า เทวปักษ์ จงบอกข้ามา"

เทวปักษ์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยคำ

"ข้าต้องการเข้าเฝ้าพญาเดชานาคราช"

หางคิ้วสมุทรธรกระตุกเล็กน้อย "เข้าเฝ้า? เพื่อการใด? "

"มิใช่เรื่องของเจ้า"

"ไฉนมิใช่ องค์เดชานาคราชเป็นพระบิดาข้า ข้าย่อมต้องทราบในประสงค์ของเจ้า"

มุมปากนาคาหนุ่มยกยิ้มดั่งจันทร์เสี้ยว "หรือว่าเจ้าต้องการกราบพบพ่อสวามี"

ทว่าแทนที่เทวปักษ์จะโกรธ กลับมีทีท่าเฉยชาเสียอย่างนั้น จากนั้นหันหลังเดินไปราวกับโลกนี้มิมีคนชื่อสมุทรธร

"นี่เจ้า!"

กลับกลายเป็นสมุทรธรมีโทสะ นาคาหนุ่มทราบทันทีว่าหลงกล ดูเหมือนครุฑาตนนี้จะยากรับมือกว่าที่คิด....

----- จบตอน -----

ตายๆๆๆ ประชันกันน่าดูคู่นี้ ไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่าใคร ต้องมาตามลุ้นกัน

[1] สุบรรณเทวี - กษัตรีแห่งครุฑ (สุบรรณแปลว่าครุฑ)

[2] ฤทธา (รึ-ทา) หมายถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์