webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Pas assez d’évaluations
56 Chs

บทที่ 8.2

เราขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปยังหอพักของพวกเรา น่าแปลกที่ถนนตอนนี้ดูโล่งจนผิดหูผิดตาไป รถยนต์ทุกคันวิ่งชิดเลนขวากันหมดทำให้เลนซ้ายแทบจะไม่มีรถขวางอยู่เลย

ถ้าวันนึงผมไม่ได้มีโอกาสมาดูแลมันแล้ว...ตอนนั้นมันจะอยู่ตัวคนเดียวได้รึเปล่านะ

พอถึงช่วงเข้าซอยที่ไม่มีรถวิ่งผ่าน ผมตัดสินใจให้ไนน์เรียนวิชานอกเหนือจากที่ผมวางแผนไว้

"พี่เบ็นหยุดรถทำไมครับ ปวดฉี่เหรอ" ดูจากใบหน้าไร้เดียงสาของมันแล้วผมคาดเดาไม่ออกเลยจริง ๆ ว่ามันถามด้วยความสงสัยหรือต้องการจะกวนส้นตีนเล่น

"พี่จะสอนเราขี่มอเตอร์ไซค์ เผื่อวันหน้าพี่ไม่อยู่ดูแลไนน์แล้วจะได้พึ่งพาตัวเองได้"

"พี่เบ็นจะทิ้งผมไปไหนเหรอ"

"เด็กบ้า ไม่ทิ้งไปไหนหรอก...ก็แค่เผื่อไว้ มาเร็ว มานั่งข้างหน้า"

"ไม่เอา ผมกลัว"

"ไม่ต้องกลัวหรอกน่า เร็วเข้า" ผมกระตุ้นให้เด็กขี้กลัวมานั่งข้างหน้าแทนที่ผม มือมันสั่นไหวไปมาจนเห็นได้ชัดแม้ในที่แสงสลัว ส่วนผมเคลื่อนไปข้างหลังอยู่ในตำแหน่งผู้ซ้อนท้ายแทน

ผมสอนเรื่องเบสิคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทเครื่อง การบิดคันเร่ง การเบรค การกดไฟเลี้ยว และอื่น ๆ ที่ควรรู้เบื้องต้น เมื่ออธิบายครบผมจึงเริ่มให้ไนน์ลองสตาร์ทรถดู

"ไม่เอาพี่เบ็น ผมขี่ไม่ได้หรอก"

"ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ข้างหลังเนี่ย เดี๋ยวช่วยประคอง โอเคนะ เริ่มจากสตาร์ทเครื่อง"

"...บิดกุญแจรถ...กำเบรค...แล้วก็...กดปุ่มนี้"

ปี๊ด!!!! เสียงแตรจากไอ้ชมพูดังลั่นไปทั่วซอย

ผมสะดุ้งโหยงสุดตัว ไนน์ก็เช่นกัน มันตกใจจนทำตัวไม่ถูกแล้วกดค้างอยู่อย่างนั้นก่อนจะได้สติ หมู่บ้านละแวกนี้เงียบสงัดมาก พอมีแตรดังออกมาจึงดูหนวกหัวเป็นพิเศษ

คุณลุงคนหนึ่งเปิดหน้าต่างออกมาด่าเราสองคน "ไอ้เด็กเวร! คนจะหลับจะนอนโว้ย!" ก่อนจะปิดหน้าต่างกระแทกกลับไปตามด้วยเสียงบ่นที่ฟังไม่รู้เรื่องแว่วออกมา

"ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษครับ"

"นั่นมันปุ่มแตร ไอ้เด็กบื้อ" ผมดุไปหัวเราะไป ไม่ได้โกรธมันสักนิดเดียว ผมกลับฮาขี้แตกขี้แตนกับความโก๊ะของมันมากกว่า "เอ่า ลองใหม่"

คราวนี้ไนน์สตาร์ทเครื่องได้สำเร็จ ผมเอื้อมไปจับมือผอมบางที่กำแฮนด์ทั้งสองข้าง

ตอนนี้แผ่นหลังของไนน์แนบชิดกับช่วงท้องเต็ม ๆ ส่วนหัวของมันเกือบจะพิงมาชนหน้าอกผม ท่าทางของผมในตอนนี้เหมือนกำลังโอบกอดไนน์จากด้านหลังมากกว่ากำลังช่วยประคองรถเลยแฮะ

หัวใจผมเต้นรัวอีกครั้ง หวังว่าเสียงเครื่องยนต์ที่ติดอยู่จะกลบเสียงตึกตักในอกผมได้หมดนะ หูของไนน์มันใกล้หัวใจผมมากเหลือเกิน

ไนน์ใช้มือที่สั่นเทาบิดแฮนด์ข้างขวาเบา ๆ จนรถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ผมช่วยประคองแฮนด์ทั้งสองข้างด้วยอีกแรง แรก ๆ จะต้องหัดมือแข็งหน่อย ไม่ให้อ่อนปวกเปียกส่ายล้อหน้าไปมา

เมื่อดูท่าจะประคองรถได้หน่อยแล้ว ผมก็เตรียมปล่อยให้ไนน์ลองคุมรถเอง

"พี่จะปล่อยมือแล้วนะ"

"พี่เบ็น อย่าเพิ่ง ไนน์ยังไม่..." ไม่ทันแล้ว ผมชักมือกลับออกมาจับเอวไนน์ไว้แทน "อ๊า อ๊า พี่เบ็น อย่า!!" ไอ้เด็กขวัญหนีร้อนเสียงหลงดังลั่นซอย ทั้งที่คุมแฮนด์ได้ดีอยู่แล้วแท้ ๆ ปอดแหกไปได้

ผมไม่ได้ปลอบอะไร ไนน์เลยต้องยอมทรงตัวอยู่เงียบ ๆ

ไม่นานไนน์ก็ทำได้ ถึงล้อหน้าจะส่ายไปมาอยู่บ้าง แต่ก็ขับตรงไปได้โดยที่ไม่ล้ม

"ทำได้แล้ว ผมทำได้แล้วพี่เบ็น!"

"เห็นไหม ไม่เห็นยากเลย"

เราสองคนขับออกมาถึงนอกซอยเข้าสู่ถนนใหญ่ ไนน์ดูลังเลเล็กน้อย แต่ผมก็กระตุ้นสำเร็จ และในที่สุดไนน์ก็ขับทางตรงได้คล่องปร๋อ สำหรับหัดครั้งแรกก็นับว่าสุดยอดแล้ว

"พี่เบ็น โคตรรู้สึกดีเลยครับ" ไนน์ว่าพลางหันหัวมามองผม

นี่เป็นคำหยาบคำแรกที่ได้ยินจากปากไนน์แล้วมั้ง คำว่า โคตร ไม่ได้หยาบอะไรมากแต่ผมไม่เคยได้ยินไนน์พูดคำพวกนี้เลย

"พี่ทำให้รู้สึกดีได้กว่านี้อีกนะ" สูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วปล่อยออกมาทันที "วู้ววว!"

ผมโห่ร้องสุดเสียงไม่สนใจคนรอบข้างอีกแล้ว การได้ตะโกนแบบนี้ทำให้เราระบายความตื่นเต้นของตัวเองได้ดี ผมจำได้เลยว่าขับรถเป็นครั้งแรกผมก็ร้องออกมา

"วู้ววววฮู้ววว! สุดยอดไปเลยโว้ยยย!" ไนน์โห่ร้องตามผม แต่เสียงดัง ดังกว่าเสียงของผมด้วย

พวกเราดีใจกันได้ไม่นาน หยาดน้ำเล็ก ๆ หยดลงมาที่แขน จากหยดเล็กกลายเป็นเม็ดใหญ่ จากเม็ดใหญ่กลายเป็นสายน้ำหล่นลงมาบาดเนื้อ และจากสายน้ำเล็ก ๆ ก็กลายเป็นห่าฝนท้วมลงมาในเวลาไม่กี่นาที

ผมให้ไนน์จอดรถก่อนแล้วเปลี่ยนมาให้ผมขับแทน ขี่มอเตอร์ไซค์ตอนฝนตกจะอันตรายกว่าปกติ ก่อนสตาร์ทรถผมคว้าเสื้อกันฝนที่เก็บเอาไว้ใต้เบาะรถขึ้นมา

โชคร้ายที่มันมีอยู่แค่ตัวเดียว ผมจึงเสียสละให้ไนน์สวมไว้แล้วให้มันกอดกระเป๋าเป้ของผมซึ่งข้างในใส่ของที่ซื้อมาในวันนี้ทั้งหมดรวมถึงเจ้าตุ๊กตากระต่ายน้อยด้วย

เสียงหยาดฝนดังระงมอยู่ท่วมหูเป็นเสียงซ่า ๆ เหมือนช่องทีวีที่ไม่มีคลื่น

เม็ดฝนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อตกลงมามันจึงแสบผิวเนื้อที่โดน แสงไฟจากฟ้าแล่บส่งสัญญาณเตือนก่อนที่ยักษ์บนเมฆจะคำรางลงมาสู่โลกมนุษย์ ทำบรรยากาศน่าขนลุกขนพองไปหมด กลิ่นไอความเย็นพัดเข้ามาเปลี่ยนทะเลทรายเป็นสวนน้ำขนาดหย่อม ๆ

พอจะให้หนาวก็ทำไข่สั่นเลยนะ พับผ่าเถอะ

ผมสะดุ้งขึ้นเมื่อมีมือมาสัมผัสที่เอวของผม ไนน์เอาหัวมานอนซบกับแผ่นหลังทำผมใจเต้นตึกตักอีกครั้งหนึ่ง

เราสองคนกอดกันท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา มีแค่กระเป๋าเป้ของผมที่แยกร่างของเราให้ออกจากกัน