webnovel

Undead War

โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด  แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้

NewMaiJew · Acción
Sin suficientes valoraciones
30 Chs

CHAPTER 22: เสียงเพรียกแห่งความทรงจำ

"โอ…พระผู้เป็นเจ้า…" ผมพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดครึ้มและมีห่าฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย "ทำไมท่านถึงทอดทิ้งเราแบบนี้? เราทำอะไรให้ท่านโกรธหรือไง?"

คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ มีแต่เสียงห่ากับเสียงฟ้าแทนคำตอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะได้ยินแม้แต่นิดเดียว

"ท่านสร้างโลกนี้มาสดใส แต่กลับทำลายลงอย่างช้า ๆ เพราะพวกเรามนุษย์งั้นหรือ?" น้ำตาอุ่น ๆ ของผมไหลริน ผสมกับน้ำฝนเย็น ๆ ที่หยดลงมากระทบกับใบหน้าที่มองขึ้นไปบนขึ้นไปอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นคำตอบก็คือเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าที่ผ่าลงมาที่ตึกหลังหนึ่งที่อยู่ด้านขวามือส่งผลให้ตึกนั่นถล่มลงมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย แต่รู้สึกแย่ที่ว่าท่านไม่ฟังคำขอร้องของเขา

"ก็ได้…ในเมื่อท่านได้เลือกคำตอบของท่านแล้ว" ดวงตาของผมแดงก่ำด้วยสีเลือด "มันก็ถึงเวลาที่ผมก็ต้องเลือกคำตอบและเส้นทางโชคชะตาของผมแล้ว"

ผมตัดสินใจยืนขึ้นสายตาที่โกรธเกรี้ยวนั้นยังคงจ้องเขม็งไปยังท้องฟ้า

"กูจะหันหลังให้กับมึง!! พระเจ้า!!"

เมื่อนั้นผมได้ยินเสียงซอมบี้ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามา ผมตัดสินใจชูดาบคาตะนะขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับสาปแช่งต่อพระผู้เป็นเจ้าพร้อมปล่าวประกาศจะหันหลังให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง ดาบคาตะนะที่กำอยู่ในมือส่องประกาบแวววับพร้อมที่จะฟันทุกอย่างขาดเป็นโมเลกุลนั่นทำให้เห็นว่ามันพร้อมใช้งานมากเพียงไหน เสียงฝีเท้าของซอมบี้นั้นกำลังใกล้เข้ามา คงไม่ต่ำกว่าร้อยตัว แน่ล่ะ มีผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นล้านคน ส่วนที่ผมกับคนอื่น ๆ ได้ฆ่าไปไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่เลย ดีไม่ดีมันอาจจะเป็นจุดจบของมนุษยชาติจริง ๆ ก็ว่าได้ แต่ในทางกลับกัน ผมก็ต้องทุกข์ทรมานแบบนี้ต่อไป

ผมโดดลงมาจากกองศพพวกซอมบี้ จากนั้นเหมือนเวลามันถูกตัดไป สติของผมเลือนราง สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพที่เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถเห็นได้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางศพของพวกซอมบี้ที่นอนตายจมกองเลือด ฝนหยุดตกแล้ว ร่างกายเลอะเลือดสีดำของพวกมันรวมถึงแขนและขาของตัวเองล้าจนไม่อยากจะเดินต่อไปอีกก้าว ผมมองสถานการณ์ออกว่าผมเพิ่งฆ่าพวกมันตายโดยที่ตัวเองก่อนหน้านั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองได้ทำแบบนั้นไป

เป็นเพราะอะไรกันแน่?

สัญชาตญาณงั้นเหรอ?

ถ้าบอกตัวเองไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่กระนั้นมันคงจะใช้เป็นคำที่หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะหลักฐานมันอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ถนนตรงนี้คือคอนโดที่ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่ สภาพของมันสกปรกขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากที่ไม่มีใครมาคอยทำความสะอาด มันไม่ใช่คอนโดใหญ่ ๆ แพง ๆ เท่าไหร่ แต่ก็พอดีสำหรับแม่ที่ออกหากินตอนกลางคืนและพ่อที่ต้องออกไปหาเช้ากินค่ำกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่รายได้ก็ไม่สามารถทำให้ครอบครัวดีขึ้นเลย ซอมบี้ที่อยู่ในคอนโดไม่กี่ตัวที่ยังคงเดินเตร่ไปมาอย่างไร้จุดหมาย พลังซอมบี้ผมหมดลงทำให้ร่างกายของตัวเองหนักอึ้งอย่างน่าใจหาย ให้ตายสิ นี่ร่างกายของเราต้องรับภาระหนักขนาดนี้เลยเหรอ ผมเดินเข้าไปในคอนโดและหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าพ่อแม่อาจจะยังอยู่ในห้อง บรรยากาศของคอนโดที่ตัวเองคุ้นชินนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จากสถานที่ที่เคยคิดว่าปลอดภัย แต่ตอนนี้มันไม่ได้มีที่ไหนปลอดภัย แม้กระทั่งบ้านของตัวเอง

ผมตวัดดาบฟันหัวซอมบี้ตัวแรกที่หันหลังให้ขาดกระเด็นลอยไปบนอากาศก่อนที่จะตกลงมา เสียงกระทบของศีรษะซอมบี้ตัวนั้นทำให้ซอมบี้อีกสองสามตัววิ่งเข้ามาหาพร้อมกัน ร่างกายมนุษย์ตอนนี้อาจจะพอรับมือได้ แต่พละกำลังอาจจะไม่ไหว เมื่อพวกนั้นเข้ามาประชิดตัวผมถีบตัวนึงออกไปก่อนที่จะใช้ใบมีดของดาบฟันกะโหลกของมันขาดเป็นสองท่อน การฟันหนึ่งครั้งจำเป็นจะต้องใช้แรงในการเหวี่ยงอย่างมากและต้องเหวี่ยงอย่างแม่นยำการโจมตีถึงจะเกิดผล ส่วนอีกตัวผมกระชากหนังศีรษะของมันมาก่อนที่จะทุ่มมันลงพื้นและใช้ส้นเท้ากระทืบจนกะโหลกศีรษะแหลกและก้อนสมองไหลเละออกมา

ผมเริ่มชินกับกลิ่นคาวเลือดพวกนี้ซะแล้วสิ

ส่วนอีกตัวที่ผมถีบ มันก็พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่คิดชีวิต ผมจึงฟันผ่ามันจากศีรษะยาวลงมาจนถึงระหว่างขา รู้ได้ทันทีเลยว่าซอมบี้หญิงตัวนี้ช่องคลอดแบ่งเป็นสองอันไปแล้ว ผมมองที่ซอมบี้ตัวนี้เหมือนกับใครบางคนที่ผมเคยเห็น แต่ก็ไม่น่าจะใช่…แต่พอคิดอีกที ความเป็นไปได้มันมีอยู่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ซอมบี้ตัวนี้อาจจะเป็นคนหนึ่งคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักก็ได้ ผมเผลอภาวนาว่าให้ตัวเองว่าขอให้ไม่ใช่คนที่รู้จัก แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่จริง ๆ ซึ่งเมื่อกี้ผมแอบแค้นตัวเองที่ว่า เมื่อตัวเองหันหลังให้กับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทำไมถึงยังภาวนาให้อยู่ล่ะ? ถ้ามองในทางที่ดีก็คืออาจจะแค่เผลอ แต่อีกด้านหนึ่งไม่ได้เห็นด้วยกับไอเดียนี้เท่าไหร่ ทำได้เพียงแค่ด่าทอในใจถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้

ผมเดินขึ้นบันไดหนีไฟเพราะเห็นว่าลิฟต์ใช้การไม่ได้แล้ว แน่ล่ะ เพราะว่าสลิงลิฟต์ได้ขาดลงไปแล้วหลังจากที่ต้องเสี่ยงดวงใช้ลิฟต์ตัวนี้เป็นเวลานาน เพราะลิฟต์อีกตัวก็เสีย ผมเคยคิดว่ามันอาจจะมีสักวันที่ลิฟต์ตัวนี้จะต้องฆ่าใครสักคนอย่างแน่นอน และสิ่งที่ผมคิดนั้นก็เป็นจริง

ห้องของผมนั้นอยู่ชั้นสิบเอ็ด ซึ่งการเดินในครั้งนี้ทำให้ขาที่ล้าอยู่แล้วนั้นยิ่งล้าเข้าไปใหญ่ เมื่อผ่านชั้นที่ห้าไป ผมตัดสินใจนั่งพัก จู่ ๆ ก็มีซอมบี้พุ่งเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แน่ล่ะ ไม่มีจังหวะให้ผมตั้งตัวเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ดาบของผมถูกปัดออกไป มันจับแขนของผมไปซึ่งเรี่ยวแรงก็ยากที่จะต้านทานแรงของซอมบี้ได้ ลึก ๆ แล้วรู้สึกสมเพชตัวเองที่ผมเคยฆ่ามาแล้วเป็นร้อย ๆ ตัว แต่กลับมาเสียท่าให้กับซอมบี้กระจอก ๆ เพียงตัวเดียวเนี่ยนะ

เมื่อฟันเขี้ยวของมันได้ถูกฝังลงบนเนื้อ จู่ ๆ พละกำลังของผมก็เพิ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ ร่างกายของผมเปลี่ยนเป็นผิวสีเท่า เส้นเลือดผุดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาดำขึ้น มัดกล้ามกระชับขึ้น ผมเอามือที่ยังว่างอยู่ผลักซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นออกไปโดยที่กระชากเนื้อหนังของผมไปด้วย ความเจ็บปวดทั้งหมดทะยานขึ้นสู่สองได้ไม่นาน อาการก็บรรเทาลงและสิ่งที่ตามมาก็คือ แผลทั้งหมดนั้นได้สมานกันจนหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เหลือแม้แต่แผลเป็น

"เข้าใจละ ถ้าโดนกัดก็จะกลายเป็นซอมบี้แบบนี้" ผมพูดกับตัวเอง "เมกเซนซ์ดี"

สิ่งที่แย่กว่าก็คือผมไม่สามารถกลับคืนร่างมนุษย์ธรรมดาได้ เพียงแค่ต้องรอให้พิษในร่างกายจางไปเอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น ต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ในเมื่อพลังซอมบี้กลับมาแบบนี้ก็สบายล่ะ ผมจึงใช้โอกาสนี้วิ่งรวดเดียวให้ถึงชั้นสิบเอ็ดในเวลาเพียงสามสิบวินาที ถือว่าเป็นเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ลืมที่จะเก็บดาบไปด้วย แต่สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในคอนโดนี้ก็คือไม่มีกลอนประตูของฝั่งบันไดหนีไฟ จึงไม่มีใครออกมาได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ซอมบี้ตัวนั้นติดอยู่ในบันไดหนีไฟ ในความเป็นจริงผมมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ผมได้ยินเสียงคำรามเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านบน ซึ่งผมจะไม่เสียเวลาเข้าไปยุ่งกับพวกมันอย่างแน่นอน ผมออกแรงถีบด้วยพละกำลังที่มีทั้งหมด ส่งผลให้ประตูเหล็กหนากว่าสามเซนติเมตรนี้หักจากบานพับทั้งสองแล้วกระเด็นออกไปกระแทกกับผนัง

ไม่น่าเชื่อเลยว่าพละกำลังตัวเองตอนเป็นซอมบี้จะมากมายขนาดนี้

ผมวิ่งออกไปตามทางเดินไปยังห้องที่เป็นถิ่นพักอาศัยของครอบครัวเล็ก ๆ มีซอมบี้ไม่กี่ตัวเดินเพ่นพ่าน แต่ก็ไม่ได้คนณามือผมเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าประตูยังปิดอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดเปิดเท่านั้น ซึ่งคีย์การ์ดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จึงออกแรงถีบ ด้วยการที่ว่ามันเป็นประตูไม้ แรงถีบของผมที่ยังควบคุมแรงไม่ได้ทำให้บานประตูหักเป็นสองท่อน ตามความจริงผมอยากจะพังประตูแบบนี้ตั้งนานแล้ว

สภาพในบ้านที่เห็นอยู่ตอนนี้นั้นจากที่เคยสะอาดสะอ้านเนื่องด้วยพ่อจะเป็นพ่อบ้านที่คอยทำงานบ้านในระหว่างที่แม่ไปทำงานตอนกลางคืน แต่บางคืนที่แม่ไม่ได้ไปทำงานก็จะแบ่งเบาภาระและปรนนิบัติผู้เป็นสามีอย่างดีเกินกว่าลูกค้าของเธอคนไหนจะได้รับ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น…ในบ้านนั้นดูเงียบเหงา จากที่ต้องมีเสียงทีวีดังออกมาจากห้องนั่งเล่นและเห็นพ่อนั่งดูรายการตลกเพื่อรอแม่กลับมา ซึ่งกว่าจะกลับก็ปาไปตีหนึ่งตีสองเพราะเธอต้องนั่งแท็กซี่กลับ ครอบครัวของเราไม่มีรถใช้แม้แต่คันเดียว ผมเคยคิดถึงอนาคตที่ว่าผมอาจจะเรียนจบ หางานทำที่ได้เงินดี ๆ เก็บเงินจนสามารถซื้อรถได้ ก็จะซื้อให้พวกท่านใช้นี่แหละ แต่ในทางกลับกัน เมื่อกลียุคได้บังเกิดขึ้นนั้นได้พัดพาความฝันของผมและความฝันของทุก ๆ ชีวิตหายไปกับยุคสมัยเก่าที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่านี้ เพราะถ้าจะเทียบกันแล้วสภาพตอนนี้นั้นไม่ได้ต่างจากเราย้อนกลับไปสู่ยุคหินที่ทันสมัยเท่านั้นเอง

สภาพของบ้านนั้นสิ่งของและเฟอร์นิเจอร์กระจุยกระจายเหมือนกับได้ผ่านการต่อสู้มาแล้ว มีรอยกระสุนปืนซึ่งถ้าลองดูดี ๆ แล้วจะเป็นรอยที่เกิดจากกระสุนลูกซองมากกว่า ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อมีปืนลูกซองด้วย แต่ถ้าไม่ใช่ฝีมือพ่อก็คงจะเป็นคนอื่นที่เข้ามาขโมยของ มีศพซอมบี้ประมาณสามศพสภาพนอนตายและมีแผลที่เกิดจากกระสุนปืนเจาะเข้าที่ศีรษะจนสมองตาย นั่นน่าจะเป็นฝีมือของแม่เพราะเธอเคยซื้อปืนพกมาเก็บไว้หนึ่งกระบอก เมื่อเข้าไปยังห้องของพ่อแม่ สิ่งที่ผมเห็นนั้นแทบจะทำให้ผมถึงกับทรุดลงไปคุกเข่าอยูบนพื้น แรงขาไม่มีเลยเนื่องจากเห็นพ่อแม่ของตัวเองกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่ได้ถูกคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นจริง พวกเขาเดินเตร่ไปมาอย่างไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ไร้ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่าง

มันคือความสูญเสียครั้งใหญ่ของผมจริง ๆ

น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว…มันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ…?

นี่มันไม่ใช่ฝันใช่มั้ย…?

มันก็จริงอยู่ที่ว่า สักวันพ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงให้ผมเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นทั้งสองนอนตายอยู่นั่นอาจจะเป็นภาพที่น่าดูกว่าที่ต้องมาเจอพวกเขาเดินอย่างไร้วิญญาณแบบนี้ ทันทีที่พวกเขาเห็นผม ก็วิ่งเข้ามากัดเข้าที่ลำตัวของผมทันที แม้ว่าความเจ็บปวดทางกายนั้นจะเล็กน้อยแต่ในจิตใจนั้นเจ็บยิ่งกว่าถูกทรมานเสียอีก ในสภาพของซอมบี้ของผมในตอนนี้แม้ว่าจะถูกกัดยังไงก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้แล้ว มีแต่ความเจ็บปวดเหล่านี้เท่านั้นที่ยังคงฝังอยู่ในแผล ชิ้นเนื้อถูกกัดกระชากออกมาตามด้วยเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปากแผลไม่ต่างจากน้ำก๊อก ความเจ็บปวดนั้นมีเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น

"พ่อ…แม่…" ผมพูดพลางสะอื้นไปด้วย ภาพวันวานทุกอย่างนั้นถูกฉายขึ้นในหัวเพียงเสี้ยววินาที เป็นภาพที่ผมเกิดโดยมีแม่อุ้มผมอยู่ในอ้อมกอด โดยมีพ่อยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ และยังมีเพื่อนของแม่ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันมาเยี่ยมผม ภาพในวันที่ผมเดินเตาะแตะได้ ซึ่งผมกำลังเดินไปหาแม่ที่กำลังนั่งยอง ๆ และเรียกผมให้เดินไปหา ภาพของผมที่ยิ้มหัวเราะร่าอย่างสนุกสนานเมื่อได้พ่อจับผมโยนขึ้นไปบนอากาศและรับไว้ได้อย่างทันเวลา ภาพที่แม่นอนพิงร่างของพ่อที่หลับไปแล้วโดยที่อุ้มผมที่ยังเป็นทารกซึ่งกำลังหลับอยู่ไว้ในอ้อมกอด เธอมองมาที่ผมก่อนที่จะบรรจงจุมพิตที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกระซิบว่า

"พ่อกับแม่รักลูกนะ" เธอพูด

เพียงเสี้ยววินาทีนั้นผมใช้ดาบตวัดไปที่ศีรษะของทั้งสองคนขาดเป็นสองส่วนก่อนที่ผมจะระเบิดความรู้สึกเสียใจอย่างสุดชีวิตออกมา

"ว้ากกกกกกก!!!!"

เมื่อผมตั้งสติกลับมาได้ ก็คือต่อเมื่อพลังซอมบี้ได้หมดลงไปแล้ว ผมสังเกตตัวเองได้ว่าผมเพิ่งอาละวาดและพังบ้านจนห้องพ่อแม่หายไปเสี้ยวหนึ่ง เผยให้เห็นวิวที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ ผมไม่เห็นร่างกายของพ่อแม่แล้ว เห็นและซากเนื้อหนังของใครบางคนที่เลอะเต็มตัวไปหมด พอรู้ว่าเป็นของคนที่ผมเพิ่งปลิดชีวิตไปเมื่อกี้ก็อดที่จะโทษตัวเองไม่ได้ ความจริงลึก ๆ ผมอยากจะเอาพวกท่านไปฝัง แต่สุดท้ายร่างกายของพวกท่านก็แหลกไม่มีชิ้นดี ผมกลับไปที่ห้องของตัวเองปรากฏว่าเจอกระเป๋าเป้หนึ่งใบวางอยู่บนเตียงพร้อมกับจดหมายหนึ่งฉบับที่วางอยู่ข้าง ๆ กัน จดหมายจ่าหน้าถึงผม เขียนโดยลายมือของพ่อ

ถึง เอ็น ลูกรัก

พ่อไม่รู้ว่าพ่อจะกลายร่างเป็นซอมบี้เมื่อไหร่ แต่อยากจะบอกให้รู้ว่าตลอดเวลาที่ลูกเกิดมาเป็นเวลากับพ่อและแม่มีความสุขที่สุดในชีวิต แม้ว่าลูกจะเกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม อย่างที่เคยเล่าไว้ว่าพ่อกับแม่เคยเป็นเพียงลูกค้ากับผู้บริการมาก่อน ลูกจึงคิดว่าตัวเองเกิดมาไม่มีค่าอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อและแม่ จะโทษพวกเราก็ได้ที่ให้ลูกเกิดมาแบบนี้ แต่ชาติหน้ามีจริงก็มาเจอกันอีกนะ พ่อเตรียมเสบียงอาหารและน้ำเอาไว้แล้ว ไม่รู้ว่าลูกจะรอดกลับมาหรือเปล่า แต่พ่อเชื่อว่าลูกจะต้องมาหาแน่นอน แต่ถ้าเจอว่าเราสองคนกลายเป็นซอมบี้ อย่าคิดจะลังเลเด็ดขาด มีปืน ยิงเข้าที่หัว มีมีด แทงที่หัว พ่อเชื่อว่าลูกทำได้ รอดต่อไปให้ได้นะ

รัก

พ่อและแม่

ก็รู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่ใช่แม่เป็นคนเขียน แต่สิ่งที่ผมได้รับก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน ใช่…ก่อนที่ผมจะเกิดมา พ่อผมเป็นลูกค้าประจำของแม่ แต่พอเกิดอุบัติเหตุเข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ท้องและคลอดผมออกมา ตอนแรกผมอาจจะไม่ได้เกิด แต่โชคดีที่พ่อรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับแม่ เชื่อเถอะว่าเมื่อมารู้ความจริงเมื่ออายุสิบหกก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าที่สุด แต่มันโชคดีของผมอีกที่ไม่มีใครในโรงเรียนรู้มาก่อนว่าผมเป็นลูกชายของสาวบริการ