บทที่1
ความทรงจำที่ขาดหาย
ความทรงจำวัยเด็ก...คือสิ่งที่เมื่อเรามองย้อนกลับไปแล้ว ก็อาจจะได้เพียงภาพขาด ๆหาย ๆไม่ครบถ้วน บ้างก็เป็นความทรงจำที่ดี บ้างก็แย่...น่าแปลกใจเหมือนกันนะ ที่ความทรงจำของ 'วีโอเลต' กลับแทบจะไม่มีสิ่งแย่ ๆเลย...เท่าที่เธอจำได้น่ะนะ
ความทรงจำในวัย 5 ปี เธอคือเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆแก้มตุ้ยนุ้ย คนที่เอะอะก็ขอข้าวกินวันละไม่ต่ำกว่า 5รอบ
บางทีเธอก็คิดนะ ว่าแม่เคยรำคาญเธอบ้างรึเปล่า?
แต่ถ้าจะพูดถึงความรำคาญล่ะก็...คนที่น่าจะรำคาญเธอแบบสุด ๆ คงหนีไม่พ้น 'คุณน้า'
'คุณน้า' ในความทรงจำของเธอ คือผู้ชายที่มักจะใส่ความตั้งใจลงไปในทุก ๆอย่างที่ทำ...แต่ในขณะเดียวกัน คุณน้าก็เป็นคนที่มีสายตาอ่อนโยนที่สุดในโลกเลยล่ะ!
ถ้าถามวีโอเลตในวัยเด็กว่า โตขึ้นอยากจะแต่งงานกับคนแบบไหน...คำตอบของเธอก็แน่นอนว่าจะต้องเป็น 'คนแบบคุณน้า'
แต่ทั้ง ๆที่ความทรงจำที่มีต่อคุณน้ามันอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นขนาดนั้นแท้ ๆ...ไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำที่อยู่ในหัวเธอถึงได้ขาด ๆหาย ๆ แม้แต่ใบหน้าของคุณน้าก็ยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ...
วันสุดท้ายที่เธอเจอคุณน้าคือวันนั้น...วันที่เธอนั่งงอน ทำหน้าตาบึ้งตึงใส่คุณน้า เพราะเขาบอกว่าหลังจากนี้อาจจะไม่ได้มาหาบ่อย ๆแล้ว
"คุณน้าไม่รักวีแล้วใช่มั้ย? คุณน้าเบื่อที่วีหิวข้าวบ่อยเหรอ?" วีโอเลตในวัยเด็กนั่งบ่นกระปอดกระแปดใส่คุณน้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆกัน
"น้าจะเบื่อวีได้ยังไงล่ะ? น้าชอบนั่งกินข้าวกับวีจะตาย วีโอเลตของน้าออกจะเป็นเด็กน่ารัก" คุณน้ายีหัวเธอเบา ๆเหมือนทุกที
"..." สาวน้อยนั่งกอดอก ทำหน้าตาบึ้งตึง ไม่ยอมหลงกลการง้อของคุณน้า
"งั้นเอางี้มั้ย? วันนี้น้าจะอยู่กับวีทั้งวันเลยดีมั้ยคะ?"
แค่ได้ยินประโยคที่อยากได้ยินเท่านั้น เด็กสาวก็ลืมไปสนิทว่าตั้งใจจะงอนคุณน้า แล้วหันไปยิ้มร่าใส่เขาทันที
"วันนี้เรานั่งดูหนังสือของคุณน้ากันได้มั้ยคะ?"
"ได้อยู่แล้วสิ มา" คุณน้าหันไปหยิบหนังสือที่ชื่อ 'M.A.G.101' ในกระเป๋าเป้ขึ้นมาวางไว้บนตัก สาวน้อยรีบชะโงกหน้าไปมองที่หนังสือ คุณน้าของเธอค่อย ๆ เปิดมันทีละหน้าช้า ๆ
"ทำไมปราสาทถึงเข้าไปอยู่ในขวดล่ะคะ?" ฉันโพล่งถามทันทีที่เห็นภาพวาดของขวดโหลใบหนึ่งที่ข้างในมีรูปปราสาทหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้านใน
"เพราะว่าเราต้องป้องกันไม่ให้คนที่ไม่ใช่นักเวทได้รับบาดเจ็บไง วีเห็นตรงนี้มั้ย?" คุณน้าว่าพลางชี้นิ้วไปที่ภาพขวดโหลในหนังสือ ด้านนอกของขวดโหลมีเส้นสีฟ้า ๆ หลาย ๆ เส้นล้อมรอบขวดไว้
ฉันพยักหน้าหงึก ๆ
"นี่เป็นเวทมนตร์ของปราสาทที่ป้องกันไม่ให้พลังเวทข้างในออกมาทำร้ายคนข้างนอกค่ะ แล้วก็ป้องกันไม่ให้คนนอกมาทำอะไรขวดใบนี้ได้ด้วย คนข้างในปราสาทจะได้ปลอดภัยด้วย"
"พลังเวทเป็นอันตรายเหรอคะ?"
"อืมมม...ถ้าใช้ไม่ระวังก็อันตรายนะ แล้วก็ ถ้าคนที่ไม่แข็งแรงต้องสัมผัสกับเวทมนตร์บ่อย ๆ ก็จะป่วยได้ง่ายน่ะ"
"วีกินข้าวเยอะนะ วีแข็งแรงใช่มั้ยคะ?" เด็กสาวหันไปพูดด้วยหน้าตาจริงจัง จนคุณน้าขำอย่างเอ็นดูพลางยีหัวเธอเบา ๆ
"วีต้องออกกำลังกายด้วยนะ แค่กินข้าวเยอะยังไม่พอหรอกค่ะ"
"แล้วถ้าแข็งแรง วีจะเป็นนักเวทเหมือนคุณพ่อได้มั้ยคะ?"
คำถามของเธอ ทำให้คุณน้าชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มกลบเกลื่อน...เหมือนที่เขามักจะชอบทำเป็นประจำ
"วีรู้ด้วยเหรอคะว่าคุณพ่อเป็นนักเวท?"
"ค่ะ แม่ชอบเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อใช้พลังเวทเก่งมากเลย คุณแม่บอกว่าคุณพ่ออยากอยู่กับวีกับคุณแม่มากเลย แต่คุณพ่อเป็นคนเก่งค่ะ เลยต้องออกไปปกป้องโลก...ก็เลยกลับมาอยู่กับวีไม่ได้แล้ว" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วตามปกติ แต่สีหน้าของคุณน้ากลับค่อย ๆดูหม่นลง "แต่ถ้าคุณพ่อไม่ไปปกป้องโลก...วีก็จะไม่ได้เกิดมาใช่มั้ยคะ?"
"ใช่ค่ะ ถ้าคุณพ่อไม่ไปปกป้องโลก ทุกคนก็จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ต่ออีกแล้วค่ะ"
"เท่ห์จัง...วีจะเป็นแบบคุณพ่อได้รึเปล่าคะ?" ฉันวกกลับมาที่คำถามเดิม "วีต้องทำยังไงถึงจะมีรอยที่มือหมือนคุณพ่อเหรอคะ? คุณแม่บอกว่าคุณพ่อมีรอยที่มือด้วยค่ะ" ฉันพูดถึงตัวอักษร M ที่จำได้ว่าจะมีอยู่บนข้อมือของคนบางคนเท่านั้น
"..." คุณน้านิ่งไป
"วีต้องออกกำลังกายใช่มั้ย? แล้ววีต้องขยันเรียนด้วยรึเปล่า? ตอนโตไปวีจะมีรอยนั้นบนข้อมือได้ใช่มั้ยคะ?" วีโอเลตรัวคำถามโดยที่ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่า…มันกำลังทิ่มแทงจิตใจของคุณน้า
"...วีคะ...วีฟังน้านะ...รอยที่ข้อมือที่วีพูดถึง...ที่เป็นรูปนี้..." คุณน้าว่าก่อนจะใช้ปากกาในมือเขียนอักษรตัว M ลงไปที่ริมกระดาษ "...รอยนี้น่ะ จะถูกปั๊มบนข้อมือของเด็กบางคนตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ ถ้าเราไม่มี ต่อให้เราทำอะไรไปรอยนี้ก็จะไม่โผล่ขึ้นมาค่ะ"
"หนู...เป็นนักเวทแบบคุณพ่อไม่ได้งั้นเหรอคะ?" เธอเริ่มคอตก แววตาซุกซนเมื่อสักครู่ค่อย ๆหายไป
"อืมมม...น้าไม่คิดอย่างนั้นนะคะ วีไม่มีรอยตัวMที่ข้อมือ ก็ไม่ได้หมายความว่าวีจะเป็นนักเวทไม่ได้นะคะ"
"แต่คุณพ่อมีนี่คะ"
"อ่ะ ๆ งั้นเอางี้นะ น้ามีเรื่องเล่าของคนรู้จักคนหนึ่งค่ะ เป็นคนที่วีก็รู้จัก แต่น้าไม่บอกหรอกนะว่าใคร" คุณน้าไม่ยอมแพ้ เขาปิดหนังสือลงแล้วหันมามองหน้าเด็กสาวจริงจัง "เขาเกิดมาโดยไม่มีรอยตัวMบนข้อมือเหมือนวีเลยค่ะ"
เด็กสาวตั้งใจฟังและพยักหน้าตาม
"เขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการฝึกฝนเลยค่ะ เขาหาทางทุกทาง ยอมทิ้งทุกอย่างที่มีในชีวิตเพื่อที่จะทำให้ตัวเองได้เป็นนักเวท เพราะเขามั่นใจว่าความพยายามจะไม่ทำร้ายเขาแน่นอน"
"แล้วเขาได้เป็นนักเวทรึเปล่าคะ?" ฉันถามพลางทำตาเป็นประกายวิ้ง ๆใส่คุณน้า
ชายตรงหน้าฟังคำถามแล้วทำสีหน้าครุ่นคิดไปเล็กน้อย
"ไม่รู้สิ...ตอนนี้เขากำลังรอสอบอยู่น่ะนะ...วีรู้รึเปล่าคะว่าก่อนจะเป็นนักเวท เราต้องเข้าไปสอบที่ปราสาทซะก่อนนะ"
"ถ้าเขาสอบผ่านก็ดีน่ะสิคะ"
"น้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ ถ้าเขาสอบผ่านมันคงจะดีมาก ๆเลยล่ะ"
"คุณน้าว่าเขาจะผ่านมั้ยคะ?"
"...น้าว่าน่าจะผ่านนะ เพราะเขาพยายามมาเยอะมาก ๆเลยแหละ"
"ถ้าเขาได้เป็นนักเวทจริง ๆ... วีเองก็เป็นได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ?" สาวน้อยทำตาเป็นประกายวิ้ง ๆใส่คุณน้าอีกที
"ไม่รู้สิ หลานน้าไม่ใช่คนขยันสักเท่าไหร่นี่นา ทุกวันนี้ยังร้องขอข้าววันละ5รอบ10รอบอยู่เลยนี่นา คุณแม่หนูมาบ่นให้น้าฟังบ่อยมากเลยรู้มั้ย?" คุณน้าพูดไปขำไปพลางทำหน้าตาหยอกล้อใส่เธอ
"คุณน้า! วีต้องกินข้าวสิคะถึงจะมีแรง!" เธอโวยวายขึ้นมา หน้าตางอแง ๆ
คุณน้าขำหนักขึ้นไปอีก ก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวหลานสาวอีกครั้ง
"จ้าๆๆ มีแรงแล้วก็ต้องพยายามมาก ๆเลยนะ ต้องทั้งออกกำลังกาย ทั้งขยันเรียน ทั้งอดทน"
"ทำได้ค่ะ! ถ้าวีกินข้าวอิ่มวีก็ทำได้ทุกอย่าง...คุณแม่บอกไว้ค่ะ"
คำพูดของเด็กสาวยิ่งทำให้คุณน้ายิ่งขำหนักเข้าไปอีก ก่อนที่จะพยายามฮึบไว้แล้วหันไปหยิบหนังสือบนตักขึ้นมา
"เอางี้นะ ถ้าวีอยากจะลองพยายามดู วีเก็บหนังสือเล่มนี้เอาไว้นะ คนที่น้าเล่าให้ฟังเขาก็อ่านหนังสือเล่มนี้แหละ มีวิธีเยอะแยะเลยที่จะทำให้หลานน้าเป็นนักเวทได้อยู่ในนี้นะคะ...คิดว่าจะไหวมั้ยคะ?" เขายื่นหนังสือมาให้เธอ และตั้งคำถาม
"ไหวค่ะ! วีจะกินข้าวเยอะ ๆ! แล้วโตขึ้นไปก็จะสอบให้ผ่าน! แล้ววีก็จะเป็นนักเวทแบบคุณพ่อค่ะ!" สาวน้อยขานรับชัดถ้อยชัดคำ ไร้ซึ่งความลังเลใด ๆตามประสาเด็กน้อยผู้ไม่รู้ประสีประสา...
"ยังไงก็ยังจะกินข้าวเยอะ ๆอยู่ดีเนอะ"
"กินข้าวเยอะ ๆจะได้มีแรงค่ะ!"
"จ้า ๆๆ เชื่อแล้วจ้า" คุณน้าพยักหน้าพลางยิ้มละมุนละไม
"แล้ว...คนที่เป็นนักเวทต้องทำอะไรบ้างเหรอคะ?" จู่ๆเด็กสาวก็โพล่งถามขึ้นมาด้วยความข้องใจ
"นักเวทมนตร์น่ะ หลังจากสอบเข้าได้แล้วก็จะต้องไปเป็นนักเวทฝึกหัด และเข้าคลาสเรียนปรับพื้นฐานการใช้พลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการทำงานในอนาคตก่อน แล้วหลังจากนั้นก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับ 'จูเนียร์' นักเวทที่เป็นจูเนียร์จะได้เลือกสาขาการทำงานที่ตัวเองต้องการ" ชายหนุ่มว่าพลางหยิบกระดาษเปล่าในกระเป๋าออกมาวาดภาพคนแบบลวกๆ เพื่อเป็นภาพประกอบในการอธิบาย แม้ว่าการภาพจะดูไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดสักเท่าไหร่
"ว้าว คุณน้าวาดรูปไม่สวยเลย" เด็กสาวทักท้วงอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหลุดขำอย่างเอ็นดูและหันไปขยี้หัวเธอเบาๆ ก่อนจะกลับมาอธิบายต่อ
"สาขาในการทำงานแบ่งออกเป็น2สายนะ คือสาขา 'สมดุลอำนาจและการปกครอง' กับสาขา 'สิ่งแวดล้อม' ในสาขาสมดุลอำนาจฯ นักเวทมนตร์มีหน้าที่รับผิดชอบค่อนข้างกว้าง หลักๆก็คอยดูแลความปลอดภัยของประชาชนร่วมกับตำรวจและทหารของรัฐบาลโลก คอยตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตและความไม่โปร่งใสที่อาจเกิดขึ้นจากการกุมอำนาจหลักของรัฐบาลโลก แต่ในสายตาของคนทั่วไป เหล่านักเวทในสาขาสมดุลอำนาจฯเป็นเหมือนผู้ปกป้องคุ้มกันความอันตรายจาก 'นักเวทมนตร์นอกรีด' ที่มักจะเข้ามาสร้างความวุ่นวายอย่างไร้สาเหตุ"
"นักเวทมนตร์นอกรีด? คือใครเหรอคะ?"
"นักเวทมนตร์นอกรีดเป็นเหมือนกลุ่มที่แยกตัวออกไปจากองค์กรเอียนโซ พลังเวทของพวกเขาถูกคิดค้นขึ้นมาจากการทดลองที่โหดร้ายของ 'เซบัสเตียน' ที่เป็นผู้นำปราสาท การทดลองนั้นไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลโลก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ และตัดสินใจแยกตัวออกไปดำเนินการทดลองต่อไปอย่างผิดกฎหมาย จนถึงทุกวันนี้ที่นักเวทนอกรีดมีปริมาณเยอะขึ้นเรื่อย ๆ และคอยออกมาสร้างความวุ่นวายให้ผู้คน"
"ซับซ้อนจังเลยนะคะ...แล้วสาขาสิ่งแวดล้อมล่ะคะ? คุณพ่ออยู่สาขานี้ใช่มั้ยคะ?" เด็กสาวรับฟังพอผ่าน ก่อนจะตัดบทไปขอฟังสิ่งที่เธออยากจะฟังจริงๆ
"ใช่ค่ะ พ่อของวีอยู่ในสาขานี้ แล้วก็เป็นนักเวทที่เก่งระดับต้นๆของสาขาเลยล่ะ สาขาสิ่งแวดล้อมน่ะ งานรัดตัวสุดเลยนะ เพราะจำนวนคนที่เลือกสาขานี้ก็ถือว่าน้อยกว่าสาขาสมดุลอำนาจฯ แต่งานที่ต้องทำกลับกระจายตัวอยู่ทั่วโลกเลยล่ะ เพราะตั้งแต่ปี2030-2040 โลกของเราเสื่อมสภาพลงจนแทบจะอยู่กันไม่ได้แล้วในทุกหย่อมหญ้า เดิมทีองค์กรเอียนโซก็ถูกก่อตั้งขึ้นมาจากสาเหตุนี้นี่แหละ เพราะผู้ก่อตั้งคิดค้นพลังงานเวทมนตร์เพื่อมาใช้ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของโลกให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดี และคอยบำรุงรักษาให้ทุกคนได้อยู่ต่อไป"
"..." สาวน้อยตั้งใจฟังก่อนจะนั่งเงียบไปและก้มหน้ามองพื้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
"เป็นอะไรไปเนี่ย? ฟังแล้วเครียดเลยเหรอ?"
"ค่ะ เครียดมากเลย ฟังไม่เข้าใจสักนิด แต่เอาเป็นว่าคุณพ่อเท่ห์มากเลยใช่มั้ยคะ?"
ประโยคตอบกลับของเด็กสาวหน้าเครียดคนนี้ เรียกเอาเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากคุณน้าของเธอได้ไม่ยากเลย
"เอาน่า เดี๋ยวโตขึ้นมาวีก็ลองไปหาข้อมูลเอาเองอีกทีละกันนะ"
"ได้ค่ะ แต่ว่า...ถ้าสอบเสร็จแล้ว น้ากรต้องมาบอกวีด้วยนะ ว่า 'เขา' สอบผ่านรึเปล่า? วีจะได้มีกำลังใจ"
"ได้ค่ะ น้าจะรีบกลับมาเล่าให้ฟังอีกทีนะ"
...และนั่นคือคำสัญญาครั้งสุดท้ายที่คุณน้าให้ไว้กับวีโอเลต...
...แต่ก็ทำไม่ได้...
เธอจำได้ว่าหลังจากวันมาไม่นานนัก...คุณน้าไม่ได้กลับมาบ้านอย่างที่เคยบอกไว้จริง ๆ...
ตกดึกของคืนหนึ่ง เด็กสาวตื่นขึ้นมากลางดึกแบบไม่มีสาเหตุใด ๆ...รอบตัวไม่มีเสียงรบกวนแม้แต่นิดเดียว บรรยากาศเงียบสงบ...สงบจนน่าขนลุก...
วีโอเลตในวัยเด็กที่มักจะนอนหลับไปพร้อมกับการกอดหนังสือของคุณน้าแทนการกอดตุ๊กตาทุก ๆคืน ค่อย ๆพยุงตัวลุกขึ้นมาจากที่นอนโดยไม่ยอมปล่อยมือจากหนังสือ
...แม่ไปไหนกันนะ?
เธอคิดในใจหลังจากที่หันไปมองที่ด้านข้างซึ่งปกติจะเจอคุณแม่นอนอยู่
ตอนนี้กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น...
เมื่อมองหาร่างที่คุ้นเคยไม่พบ ร่างเล็กก็อุ้มหนังสือในมือเดินลงจากเตียงและเดินออกจากห้องโดยอัตโนมัติ
"ฮึก...ฮือๆๆ" เสียงสะอึกสะอื้นดังลอดมาทันทีที่ฉันเปิดลูกบิดประตูออกมาจากห้องนอน
เด็กน้อยที่ยังอยู่ในห้วงสะลึมสะลืมกึ่งหลับกึ่งตื่น ค่อย ๆก้าวเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน...ก่อนจะพบเจอกับแผ่นหลังของร่างหญิงสาวที่คุ้นตา...คุณแม่นั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น มือทั้ง2ข้างจิกที่ผมของตัวเองแน่น ตัวทั้งตัวของเธอสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าฉันจะมองอยู่ไกล ๆจากทางด้านหลัง
วีโอเลตที่ในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นคุณแม่ร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียวเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก...คุณแม่ที่เป็นแหล่งพลังงานบวกให้เธอเสมอไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรก็จะได้เห็นเพียงแต่รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอเสมอมา...
แม้ว่าจะตกใจและทำตัวไม่ถูก แต่ขาของเด็กสาวก็ค่อย ๆย่างก้าวเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของคุณแม่ มือของเด็กน้อยวัย5ปีค่อย ๆเคลื่อนไปใกล้จนไปสัมผัสที่มือขวาของหญิงสาววัยกลางคน
หญิงสาวเจ้าของเสียงสะอื้นที่เพิ่งสัมผัสได้ว่าลูกสาวมาอยู่ตรงหน้า เธอชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองหน้าของสาวน้อย ใบหน้าของเธอเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา
"คุณแม่...เป็นอะไรคะ?" ลูกสาวตัวน้อยเอ่ยปากถามอย่างไม่ประสีประสา
"..." คุณแม่ไม่ตอบอะไร เธอมองหน้าวีโอเลตเงียบ ๆ ดวงตาแดงก่ำของเธอดูอ่อนแอแบบที่เด็กสาวไม่เคยได้เห็นมาก่อน
"ใครคะ? ...ใครทำอะไรคุณแม่คะ?" เธอเอ่ยปากถามอีกคำถาม หลังจากที่เห็นว่าคุณแม่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา...นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่คุณแม่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ
ที่ผ่านมา ไม่ว่าคำถามของเด็กสาวจะน่ารำคาญแค่ไหน หรือจะถูกถามออกมากี่ครั้ง...คุณแม่ก็จะตอบกลับเสมอ...
"...แม่คะ...ทำไมแม่ไม่ตอบวีล่ะ? วีทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมคุณแม่ไม่ยอมคุยกับวี วี..." เด็กน้อยเริ่มน้ำตาคลอและปล่อยคำถามออกมาเป็นชุด แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ คุณแม่ก็ยื่นมือมาดึงร่างเล็กเข้ามากอดแนบอกไว้แน่น...เสียงร้องของแม่ดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเธอได้ปลดปล่อยความรู้สึกอะไรในใจออกมามากมาย
แต่วีโอเลตในวันนั้น...กลับไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง...
หลังจากวันนั้นไม่นาน ก็มีการออกข่าวฉาวเรื่องราวจากองค์กรเอียนโซที่บอกว่า เกิดเหตุชายคนหนึ่งบุกรุกเข้าปราสาทเอียนโซ ถูกระบบป้องกันภายในจู่โจมและเสียชีวิตทันที ซึ่งทางเอียนโซออกมาให้ข้อมูลว่า ผู้บุกรุกคือหนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งล่าสุดที่ผ่านมา และตกรอบไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ตกรอบในการทดสอบ
ในส่วนของทางเอียนโซเอง ไม่ได้มีส่วนต้องรับผิดชอบใด ๆ เนื่องจากมีข้อตกลงการป้องกันปราสาทที่จัดทำขึ้นร่วมกับผู้นำทั่วทั้งโลกแล้วว่า ผู้ไม่ได้รับอนุญาตในการเข้าเขตปราสาท หากฝ่าฝืนบุกรุกเข้ามา ระบบป้องกันจะทำงานอัตโนมัติ และไม่รับประกันความปลอดภัย ...แต่ถึงอย่างนั้น ทางองค์กรเองก็ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบโดยการชดเชยเป็นเงินค่าเลี้ยงดูครอบครัวผู้เกี่ยวข้อง
จากเหตุการณ์ที่ออกมา ข่าวจบลงแค่เพียงเท่านั้น ทว่า สมมติฐานของผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็มีมากมาย โดยหลัก ๆมีการวิเคราะห์กันว่า ผู้เสียชีวิตตัดสินใจแบบนั้นเพราะฐานะทางบ้านที่แย่ การทดสอบเข้าเป็นนักเวทเป็นเหมือนทางเลือกสุดท้ายในชีวิต แต่เมื่อไม่สำเร็จก็อาจเป็นต้นเหตุให้ผู้เสียชีวิตวางแผนสละชีวิตในเขตปราสาทเพื่อให้ครอบครัวได้มีโอกาสรับเงินชดเชยจากทางเอียนโซ...คนหลาย ๆคนพูดกันว่าแม้เอียนโซจะทำข้อตกลงกันเอาไว้แล้ว แต่ยังไงองค์กรที่มีชื่อเสียงแบบเอียนโซก็จะออกมารับผิดชอบครอบครัวผู้เสียชีวิตอยู่ดี
ผู้คนต่างก็ตั้งข้อสันนิษฐานมากมายขึ้นมา และเริ่มคุยกันสนุกปากราวกับเป็นคนที่รู้เรื่องภายในทั้งหมด...บ้างก็เริ่มขุดคุ้ยหาข้อมูลของครอบครัวผู้เสียชีวิต และเมื่อพบว่าฐานะของครอบครัวตรงตามสมมติฐาน ก็พูดกันปากต่อปากว่า ...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ...
เรื่องฉาวที่ออกมานี้ถูกปล่อยเป็นปริศนาเรื่อยมา...ไม่มีใครรู้ความจริงที่แน่นอน...แม้แต่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเองก็เช่นกัน...
ใช่แล้วล่ะ ครอบครัวที่มีส่วนเกี่ยวข้องในข่าวนั้น ก็คือครอบครัวของวีโอเลต...
ชายผู้เสียชีวิตในข่าวถูกระบุว่า...คือคุณน้าของเธอเอง...ครอบครัวรอจเจอร์ได้รับเงินชดเชยจากทางเอียนโซจำนวนมหาศาล..แต่นั่นไม่เคยชดเชยความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของพวกเขาได้เลย...
เด็กสาวตื่นมาได้ยินเสียงแม่แอบไปนั่งร้องไห้ทุก ๆคืน จนกลายเป็นเรื่องปกติ...คุณแม่เป็นแบบนั้นอยู่นานหลายปี กว่าที่จะจัดการความรู้สึกได้
ในส่วนของวีโอเลตที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวอะไรมากมาย ก็รู้สึกเศร้าที่ต้องเสียคุณน้าไปจากชีวิตและเสียดาย...เสียดายที่คุณน้าไม่มีโอกาสได้กลับมาบอกเธออีกว่าสรุปแล้ว 'เขา' คนนั้นในเรื่องราวที่คุณน้าเคยเล่าให้ฟังเป็นอย่างไรบ้าง? เขาคนนั้นผ่านการทดสอบเข้าเป็นนักเวทได้จริง ๆ รึเปล่า? ความพยายามของเขาตอบแทนเขาตามที่ต้องการรึเปล่า?
เธอได้แต่สงสัยอยู่ในใจเรื่อยมา...ทว่าในวันที่เด็กสาวเติบโตขึ้นมาและได้รู้เรื่องต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น...เธอก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวไปเองโดยปริยาย...
เธอเริ่มได้รับคำตอบแล้วว่า 'เขา' คนนั้นคงจะไม่ได้เดินตามความฝันการเป็นนักเวท...
...ใช่แล้วล่ะ... 'เขา' คนนั้นเป็นคนที่วีโอเลตรู้จักดีอย่างที่คุณน้าบอกจริง ๆด้วย...
'เขา' คือคุณน้าของเธอเองนั่นแหละ...
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผ่านมา11ปี
ปี ค.ศ.2171
วีโอเลตอายุ 16ปี
ณ โรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังแห่งหนึ่ง
เด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีบลูเบอร์รี่และเรือนผมสั้นปะบ่าสีน้ำตาลประกายทอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงวอร์มสีเทาร่วมกับเสื้อแจ็กเก็ตยูนิฟอร์มสีดำที่ปักรูปดอกไซคลาเมนสีขาวบนหน้าอกซ้ายคู่กับตัวอักษร 'IANZO' ที่ข้อมือด้านขวามีปลอกแขนสีดำปิดบริเวณข้อมือ และกำลังเดินอยู่ในโถงทางเดินของโรงเรียนอย่างเลื่อนลอย หน้าตาดูง่วงหงาวหาวนอนคล้ายว่าเพิ่งอดหลับอดนอนมา
ร่างเล็กของเธอเดินผ่านหน้าจอที่ถือเป็นจุดโฆษณาของโรงเรียน หน้าจอขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้แต่จากระยะไกลเป็นกิโลเมตร กำลังเปลี่ยนภาพไปมาตามการตั้งเวลา และในจังหวะที่เด็กสาวเดินผ่านพอดี ภาพบนหน้าจอก็พลันปรากฏใบหน้าของเธอขึ้น นัยน์ตาสีบลูเบอร์รี่ส่องประกายสดใสแม้แต่ในจอภาพ เรือนผมสั้นของเธอในภาพนั้นเป็นสีดำสนิท และขึ้นข้อความแสดงความยินดี
'วีโอเลต รอจเจอร์' ผู้ชนะการแข่งขันชิงทุนการศึกษาตลอดชีพจากองค์กรเอียนโซ สาขานักเคมีเวทมนตร์
ชื่อของเธอเด่นหราอยู่บนนั้น แต่ก็ไม่ได้เรียกความสนใจของเจ้าตัวได้เลยแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ชายตามองหน้าจอนั้นเลยด้วยซ้ำ
คล้ายกับว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นไม่ได้มีความหมายใดๆกับเธอเลยแม้แต่น้อย...