Episode 06 เหตุการณ์ในวัยเด็ก
อลิชาโบกมือลาชินที่ขับรถมาส่งหน้าบ้านก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป เธอทำการเปลี่ยนรองเท้าสำหรับใส่เดินในบ้านพร้อมกับเก็บรองเท้าตัวเองเข้าที่ให้เรียบร้อย
"ทำไมไม่กลับกับคนขับรถที่พี่เตรียมไว้ให้" น้ำเสียงเย็นยกเยือกที่ดังขึ้นทำให้คนตัวเล็กที่กำลังจะเดินตรงไปห้องตัวเองหยุดชะงักแล้วหันไปมองตามต้นเสียง
"วันนี้มีนัดกับเพื่อนค่ะ"
"แล้วทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อน" รามิลยังคงซักไซ้ไล่เลียงคนตัวเล็ก อีกทั้งยังลุกขึ้นเดินมาหาเธอตามเสียงอีกต่างหาก ทำให้อลิชาขยับตัวไปยืนตรงหน้าเขาเพื่อไม่ให้เขาเดินหาเธอนาน
"ไปกับเพื่อนคนไหน แล้วใครมาส่ง"
"บอกไปพี่รามก็ไม่รู้จักอยู่ดีจะถามทำไมคะ"
"พี่ถามก็แค่ตอบ"
"วันหลังไม่ให้กลับด้วยก็แค่บอกค่ะ ไม่เห็นยากใช่ไหมคะ" คำตอบประชดประชันของคนตัวเล็กทำให้รามิลยื่นมือมาจับแขนของตัวเล็กเอาไว้พร้อมกับใช้จมูกสูดดมกลิ่นที่ติดมากับตัวเธอ
"ดื่มเหล้ามาเหรอ"
"นิดหน่อยค่ะ"
"แล้วตกลงใครมาส่ง"
"พี่ชินค่ะ พี่ที่แผนกเดียวกันพอดีขากลับพี่เขาขอไปด้วย"
"เจอกันวันเดียวไว้ใจให้เขามาส่งบ้านแล้วเหรอแถมยังดื่มมาอีก"
"หนูดื่มแค่นิดหน่อยไม่ทันเมาค่ะ สติยังครบถ้วนดีพี่รามไม่ต้องสนใจหรอก" คนตัวเล็กบิดแขนออกเบาๆ การถูกเขาซักไซ้ราวกับเธอเป็นนักโทษทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
"ต่อไปนี้จะไปไหนกับใครให้บอกพี่ก่อน"
"ทำไมต้องบอกด้วย"
"ตอนนี้พี่เป็นผู้ปกครองของเราอยู่นะ"
"หนูบรรลุนิติภาวะนานแล้วค่ะ สามารถดื่ม เที่ยว หรือเลิกที่จะไว้ใจคนเองได้แล้วไม่ต้องให้พี่รามมาคิดแทนเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว"
"ทำไมถึงโตมาดื้อแบบนี้" รามิลผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคนตัวเล็กเอาแต่ประชดประชันไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขา
"พี่รามว่าหนูโตมาดื้อ ที่พี่รามที่เคยใจดียังโตมาเป็นหมีขั้วโลกเหนือได้เลย"
"ทำไมต้องหมีขั้วโลกเหนือ"
"ก็อยู่แต่กับน้ำแข็งไงคะ หัวใจเลยด้านชาไม่มีความรู้สึกแล้ว ไม่สนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูดสนใจแต่ตัวเอง"
"พี่เป็นคนแบบนั้นเหรอ"
"ก็…"
"ที่พี่บอกก็เพราะพี่เป็นห่วงแต่ถ้าความเป็นห่วงพี่ทำให้เราลำบากใจวันหลังพี่ก็จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเราอีก พี่จะให้เบอร์คนขับรถไว้ถ้าจะไปไหนก็โทรบอกคนขับรถอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวเวลากลางคืนพี่ขอแค่นี้ทำได้ไหม" บทสรุปเด็ดขาดของรามิลทำให้อลิชารู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่เธออาจจะพูดจาไม่ทันคิดใช้คำพูดแรงเกินไป
เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอก็แค่อย่างประชดเขาที่เขากลับมาไม่บอกเธอก็เท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้เขาเข้าใจผิดไปมากขนาดนั้น
"หนู…"
"ดึกแล้วไปอาบน้ำนอนเถอะ" รามิลชิงพูดขึ้นก่อนที่คนตัวเล็กจะได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น เขาเดินกลับไปยังห้องนอนตามเส้นทางที่เคยชินปล่อยให้คนตัวเล็กยืนมองแผนหลังเขาที่เดินไกลออกไปด้วยความรู้สึกอึดอัดที่ไม่ได้อธิบายให้เขาเข้าใจ ปล่อยให้เขาเดินจากไปทั้งที่เข้าใจผิดอยู่แบบนั้น
อลิชาเดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเองด้วยความงุนงงทั้งที่ก่อนหน้านี้ควรเป็นเธอที่ต้องน้อยใจเขาที่กลับไม่บอก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาโกรธเธอที่ไปไหนไม่บอกแทนอีกทั้งยังเรื่องที่เธอพูดจาประชดเขาอีก แต่เวลาเขาพูดจาไร้เยื่อใยกับเธอทำไมเขาถึงไม่ผิดบ้างเลย
"อ้าว แล้วสรุปฉันผิดเหรอ?" อลิชายืนถามตัวเองหนูหน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความงุนงง เธอเดินตรงไปยังกำแพงที่ติดกับห้องของรามิลเงียหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลยเธอจึงเดินไปอาบน้ำพร้อมกับคำถามที่ว่า
…สรุปแล้วเธอเป็นคนผิดใช่หรือไม่
เช้าวันต่อมา
อลิชายังคงตื่นมาทำหน้าที่เตรียมอาหารเช้าเหมือนที่เคยทำเมื่อวาน และก็ตั้งใจจะอธิบายเรื่องเมื่อวานให้เขาเข้าใจ เพื่อที่เธอเองจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดที่ถูกเขาเข้าใจผิด
"ตื่นแล้วเหรอคะ อาหารเช้าเสร็จแล้วค่ะ"
"พี่ไม่หิวเดี๋ยวไปกินที่ทำงาน พี่ไปรอที่รถนะ" รามิลที่เดินออกมาจากห้องเดินตามทางไปหยิบไม้เท้าสำหรับช่วยนำทางเวลาออกนอกบ้านเดินออกไปรอคนตัวเล็กที่รถ ซึ่งนาวาจะเป็นคนขับมารอรับเขาที่บ้านทุกเช้าเพื่อไปส่งที่ทำงานรวมถึงส่งกลับ
อลิชาก้มมองดูจานอาหารที่ตั้งใจทำหวังจะให้เมนูโปรดที่เขาชอบทานตอนเด็กๆ ช่วยให้บรรยากาศระหว่างเขากับเธอผ่อนคลายขึ้น แต่เขากลับแสดงท่าทีเย็นชาแต่เช้าตรู่ไม่เปิดโอกาสให้เธออธิบายเลย
"ไม่เป็นไร ไปพูดบนรถก็ได้" อลิชาบอกกับตัวเองพร้อมกับเบะปากด้วยความหมั่นไส้กับท่าทางหยิ่งยโสของเขาอย่างไม่จริงจังนักอาจจะเพราะเคยชินไปแล้ว เธอเดินไปหยิบกล่องอาหารมาเพื่อนำอาหารเช้าที่เธอเตรียมใส่จานเอาไว้ย้ายมาบรรจุลงกล่องเพื่อเอาไปให้รามิลทานที่ทำงานยังไงเธอก็ต้องให้เขาลองชิมรสชาติแพนเค้กที่เธอทำให้ได้ เพราะจำสูตรมาจากเขาที่ตอนเด็กๆ ชอบทำให้เธอทานเวลาที่เธอไปเล่นที่บ้านอาราคินพ่อของเป็นประจำ
รอไม่ถึงสิบนาทีอลิชาก็ตามเขามาที่รถหากไม่ใช่เพราะอาราคินกำชับว่าทั้งสองคนต้องไปทำงานด้วยกันเขาคงไปไม่รอเธอเหมือนตอนกลับ
"คุณลิชาทานมื้อเช้าเสร็จแล้วเหรอครับ"
"ยังเลยค่ะ"
"อ้าว" นาวาเจ้าของคำถามหันมามองอลิชาด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้รามิลบอกว่าเธอกำลังทานมื้อเช้าอยู่
"ทำไมไม่กิน"
"มีคนรีบอยากไปทำงานค่ะเลยไม่อยากเสียเวลา"
"พี่บอกว่าพี่จะรอ"
"หนูก็ไม่ได้บอกว่าจะกินนี่คะ หนูก็ไม่ได้หิวเหมือนกันไว้ไปกินที่ทำงานก็ได้" คนตัวเล็กใช้ประโยคเดียวกันกับที่รามิลตอบกลับเธอมาตอบเขาทำให้เขาลอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเอือมระอา "ออกรถเลยค่ะ"
"ครับ" นาวารับคำสั่งจากอลิชาตามหน้าที่
ระหว่างทางขับรถไปบริษัทที่ต้องใช้เวลาราวยี่สิบนาทีซึ่งตอนนี้ก็หมดไปแล้วสิบนาที แต่อลิชาก็ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนออกมา เพราะความเย็นชาของเขาทำให้เธอรู้สึกกดดันจนไม่กล้าพูด แต่ก็รู้สึกอึดอัดถ้าไม่พูดออกไป
"เรื่องเมื่อวานนี้…"
"ผ่านไปแล้วช่างมันเถอะ"
"งั้นก็ฟังเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ" กว่าเธอจะตัดสินใจพูดออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต่อให้เขาไม่อยากฟังเธอก็จะพูดออกมาให้จบๆ ไป
"…"
"เรื่องเมื่อวาน…หนูขอโทษค่ะที่ไปไหนไม่บอกหนูควรจะบอกพี่รามก่อนจริงๆ ไม่ควรทำให้เป็นห่วง แล้วเมื่อวานหนูก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปดื่มด้วยแค่ดื่มเป็นเพื่อนเพื่อนแค่แก้วเดียวเท่านั้น แต่ถ้าพี่รามไม่ชอบวันหลังจะขออนุญาตก่อน"
"ไม่ต้องเก็บคำพูดพี่ไปใส่ใจหรอก" รามิลตอบกลับคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง เพราะเมื่อคืนเขาก็ได้ตกตะกอนความคิดตัวเองแล้วเหมือนกันว่าไม่ควรเข้าไปก้าวกายชีวิตส่วนตัวของเธอ ที่เผลอห้ามเธอไปแบบนั้นเพราะหากเกิดอันตรายอะไรขึ้น เขาคงไม่สามารถไปช่วยเธอได้จึงอยากกันเอาไว้ดีกว่าแก้ จนลืมไปว่าเขากำลังล้ำเส้นของเธออยู่
"ถึงแม้ที่ผ่านมาเราจะไม่ได้เล่นด้วยกัน คุยกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน หรือแม้กระทั่งสนิทกันเท่าตอนนั้น แต่ตอนนี้หนูก็ยังเคารพ และหวังดีกับพี่รามเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่พี่รามช่วยเอาไว้…แต่เป็นเพราะพี่รามยังคงเป็นพี่รามคนเดิมของลิชาคนนี้เสมอ"
'พี่รามไปเล่นพับเครื่องบินกันเถอะ วันนี้คุณพ่อสอนหนูพับแบบใหม่มาเอาชนะเครื่องบินของพี่รามได้แน่ๆ'
'ตัวแค่นี้คิดจะเอาชนะพี่แล้วเหรอ'
'หนูอยากชนะพี่รามบ้าง ไม่ใช่ชนะเพราะพี่รามยอมให้ชนะตลอดเลย'
เพราะนิสัยอ่อนโยนของรามิล เขาจึงมักจะแกล้งแพ้เวลาเล่นเกม หรือต้องแข็งขันอะไรกันเพื่อให้อลิชาได้เป็นคนชนะอยู่เสมอในช่วงวัยห้าขวบเธอเองก็หลงดีใจมาตลอดที่ตัวเองสามารถเอาชนะคนเก่งๆ อย่างรามิลได้แต่พอเริ่มโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่าที่ชนะเพราะเขาตั้งใจให้เธอเป็นคนชนะต่างหาก
'คราวนี้พี่รามห้ามยอมหนูแล้วนะรู้ไหมคะ'
'โอเคๆ อย่ามางอแงแล้วกัน' รามิลบีบปลายจมูกเล็กๆ ด้วยความเอ็นดู ยิ่งโตเธอก็ยิ่งเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคงจะเป็นความน่ารัก ความขี้อ้อนของเธอที่ทำให้เขาดีใจทุกครั้งเวลาที่ได้เล่นกับเธอทั้งที่อายุเขากับเธอก็ห่างกันไม่ใช่น้อย
'เราไปเล่นที่สวนสาธารณะกันเถอะค่ะ'
'ไปสิ'
เครื่องบินกระดาษสีขาวสะอาดตาถูกร่อนขึ้นไปอากาศปลิวไปตามแรงลม และแรงเหวี่ยงจากข้อมือเล็กๆ ของเด็กสาววัยสิบขวบ ตามด้วยเครื่องบินของรามิลในวัยสิบเจ็ดปีที่มาร่อนเครื่องบินกระดาษเป็นเพื่อนเธอ
'อ๊ะ! เครื่องบินไปนู้นแล้ว!' น้ำเสียงใสตะโกนร้องด้วยความจกใจพร้อมกับวิ่งไปตามเครื่องบินกระดาษของตัวเองไปทำให้เธอไปทันสังเกตเห็นรถยนต์ที่พุ่งตรงเข้ามา
รามิลที่วิ่งมาตามหลังเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเขารีบวิ่งเข้าไปดึงคนตัวเล็กผลักเข้าไปในฝั่งแต่ตัวเองไม่สามารถก้าวกลับไปได้ทันทำถูกรถชนกระเด็นขึ้นมาอยู่บนหน้ารถ และอุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ดวงตาของเขา
….ไม่สามารถมองเห็นโลกที่เคยสดใสได้อีกเลย
ภาพความทรงจำในอดีตที่ยังคงชัดอยู่ในความทรงจำความรู้สึกขอบคุณ และความรู้สึกผิด หากไม่ได้เขาช่วยเธอเอาไว้ในวันนั้นคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกที่มืดมิดอาจจะเป็นเธอแทนก็ได้