หมู่อาชาในสนามฝึกวังหน้าดูเหมือนจะหันมองบางสิ่งไปทิศเดียวกัน...
หน่องจาซึ่งมักจะติดตามขุนศึกบิดาไปในกรมทหารม้ามาตลอดจึงพอจับสังเกตเห็นอาการพวกมันอยู่ถนัดตา พวกมันอาจรับรู้ถึงกระไรบางอย่างที่เราไม่เห็น อาจเป็นพวกแมลงตัวเล็กมากๆ สภาพอากาศที่พระพิรุณนึกสนุกอยากมาประทับบนมัจฉา หรือไม่พวกมันก็หูไวได้ยิงเสียงกระสุนฝึกอาวุธปืนจากสนามอีกแห่ง
เพื่อปลอบขวัญพวกม้าฝึกหน่องจาจึงเดินไปลูบพวกมันเบาๆ ครั้นเห็นว่าพวกมันใจเย็นลงแล้วสายตาของพี่เลี้ยงก็หันไปทางเจ้านายของตน หลานหลวงมังสามเกียดกำลังทรงอาชาตัวใหญ่ผ่านสิ่งกีดขวางได้อย่างชำนาญ เคียงคู่มากับเหล่าอารักขาอยู่ห่างๆ
"เห็นพระองค์กระโดดควบม้าข้ายังนึกอดเป็นห่วง แต่ตอนนี้ข้าโล่งใจนัก องค์หลานหลวงขี่ม้าได้ชำนาญขึ้นมากนะ หน่องจา" เชงมากระซิบกับเขา หน่องจาทราบดีว่าเพื่อนรักมีนิสัยขี้กังวล แต่กับเรื่องอาชาเขาเข้าใจยิ่งกว่าผู้ใด ร่าของมันสูงใหญ่กว่าหลานหลวงเป็นกำลัง ดังนั้นจะวิตกก็มิใช่เรื่องแปลก "คราก่อนทรงเคยฝึกกับม้าแกลบยังมิคล่อง มาบัดนี้กระทั่งม้าดีจากล้านนาก็ขี่ได้สบายเชียวหนา" เชงมาพูดต่อ
"จริงอย่างว่า ...ครั้งสุดท้ายที่เห็นผู้ใดชำนาญว่องไวเช่นนี้ก็คงไม่พ้นท่านพ่อ....แล้วก็อาโก[1] มิโม"
หน่องจาระลึกถึงหม่องมิโมพี่ชายต่างมารดาของเขา ท่านตาสมิงพญาเคยเล่าว่าพี่ชายของเขามีชื่อเรื่องขี่ม้าได้เป็นเลิศนัก บางคนก็เล่าว่าตั้งแต่พี่ชายขี่ม้าเป็นก่อนจะหัดเดิน ยามที่มีราชพิธีกีฬาประจำปีก็จะมีบิดาแลหม่องมิโมได้รับการคัดเลือกชิงชัยเสมอ เป็นหน้าเป็นตาแก่ทหารอาชาหงสาวดี กระทั่งขุนศึกราชตะมันติดราชกิจไปแดนไทใหญ่ พอดีกับพี่ชายของเขาก็ย้ายไปติดตามรับใช้เจ้าชายมินเลตยา นับแต่นั้นก็ไม่เห็นพวกท่านลงสนามประลองพร้อมกันใดอีกเลยสักหน
"หน่องจา เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า?" เชงมากระซิบคู่สนทนา
"กระไรฤๅ"
"ข้าถามว่า...เจ้าคิดหรือไม่ ระยะนี้องค์หลานหลวงทรงเปลี่ยนพระองค์มากขึ้น"
"...สังเกตสิ เรื่องของพระองค์ ข้าทราบดียิ่งกว่าใคร"
หน่องจาจำได้ดีในวันที่ท่านปู่กับท่านตาแจ้งว่าเขาได้รับเกียรติให้เป็นพระพี่เลี้ยงแลพระสหายในตำหนักวังหน้า เจ้าตัวดีใจมากเพราะใฝ่ฝันจะเข้ารับราชการอยู่หลายสังกัด แลโอกาสนี้ก็เป็นโอกาสที่ดียิ่ง เมื่อทราบเจ้าตัวก็รีบเตรียมกายเตรียมใจเข้าวังหน้า หน่องจาเข้าวังก่อนหน้าเชงมาหนึ่งคืน ได้อุ้มได้ดูแลเคียงพระอู่หลานหลวงก่อนหน้าเสียด้วยซ้ำ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับองค์หลานหลวงหากถามว่าระยะแรกผู้ใดดูแลหลานหลวงมากกว่ากัน บริวารเกิดกึ่งหนึ่งก็ต้องตอบว่าหน่องจาผู้นี้แลพระพี่เลี้ยงอันดับหนึ่ง...แต่นั้นก็เป็นเรื่องก่อนเกิดเรื่องในวันวิปโยค
ปลายฤดูฝนข่าวของดาง์วตองฮมูแม่ทัพผู้เฒ่าก็มาถึงวังหน้า อันที่จริงไม่กี่ปีก่อนท่านปู่ก็เพิ่งรับตำแหน่งมหากวีหลวงประจำราชสำนักแลฉลองครบรอบอายุแปดสิบปีบริบูรณ์ ท่านปู่เข้าสอนองค์หลานหลวงมังสามเกียดพร้อมพบปะตนเสมอ ตามจริงท่านปู่ก็อายุมากแล้วเทียบกับผู้อื่น แต่หน่องจาก็ไม่เคยคิดว่าท่านจะจากไปในวันนั้น
หน่องจาเกิดมาก็อยู่กับบิดา พี่ชาย ท่านปู่ และท่านตาสมิงพญา...มารดาถึงแก่กรรมไปแล้ว มาบัดนี้ปู่ก็ถึงแก่กรรมไปอีกคน บิดาก็เดินทางไกล จึงเหลือเพียงพี่ชายกับท่านตาเท่านั้นที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในงานศพ เด็กชายน้ำตาคลอ พอตนตัดสินใจลาไปบวชหน้าไฟจึงมากราบลาพระชายากับองค์หลานหลวงผู้เป็นนาย วันนั้นพระชายาไม่ได้ประทับอยู่ มีเพียงหลานหลวงอยู่ตามลำพัง เจ้าตัวจึงผลีผลามมาแจ้งก่อนโดยไม่รู้ว่าวันนั้นหลานหลวงกำลังพระทัยเคืองขุ่นอารมณ์ร้ายพอดี ...สิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนก็ทราบดี หน่องจาเองก็จำไม่ลืม
"หน่องจาเอย เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปรกติ เป็นธรรมชาติวิสัยของมนุษย์โลก ปู่ของเจ้าผ่านเวลายืนยาวมาห้าชั่วอายุคน ใช้ชีวิตคุ้มค่ามากแล้ว" สมิงพญาเอ่ยกับหลานชายวัยสิบปีซึ่งกำลังนั่งสะอึกสะอืน ขณะโกนศีรษะบวชหน้าไฟในวัด ชายชราเหลือบมองหลานก่อนปลอบด้วยเสียงแผ่ว "...และตาเชื่อว่าหลานหลวงท่านไม่ได้มีเจตนาพูดร้ายกับเจ้าหรอก ถ้าเจ้าเศร้าใจนักก็ร้องออกมาเสียเถิด ไม่มีผู้ใดโกรธเจ้าหรอก"
ได้ยินแต่เพียงเท่านั้นหน่องจาก็ปล่อยโฮ ร้องเสียยกใหญ่ไม่เกรงใจฟ้าฝนคะนองจนดวงตาบวมแดง...
เขานึกว่าตนตกอับไร้บุญวาสนาแล้ว กระทั่งมีข่าวจากเชงมาว่าพระนางมหาเทวีเจ้ามีพระเสาวนีย์ให้ท่านตากับตนเข้าเฝ้า
หน่องจาไม่กล้าแม้แต่จะมองหลานหลวงด้วยซ้ำ วาจาร้ายลึกยังคงติดหู
"...หม่อมฉันเคยนึกว่าพระองค์จะไม่ต้องการกระหม่อมแล้ว เมื่อครั้งส่งขับไล่ออกมาครานั้น"
เด็กชายกล่าวพลางก้มหน้าติดพื้น และในเวลานั้นเองพระสุรเสียงที่แสนอ่อนโยนอย่างที่สุดก็ได้เอ่ยขึ้นกับเขา
"...ที่เราพูดเพราะเราไม่อยากให้เจ้าไปไหน อยากให้เจ้าเป็นพี่เลี้ยงรับใช้ด้วยกัน จากนี้ไปเราจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เงยหน้าเถิด บัดนี้เจ้าคือเป็นพระพี่เลี้ยงเรา ผิดถูกจงกล้าชี้แนะ ช่วยเหลือกันต่อไป"
รับสั่งของหลานหลวงทำเอาหน่องจาซาบซึ้ง ดุจได้รับน้ำทิพย์ชโลมจากสวรรค์ดาวดึงส์ลงมาบนพื้นดินแห้งผาก พอได้ยินแบบนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น เห็นวงพักตร์ของหลานหลวงชัด แววเนตรมุ่งมาดจ้องมองตนไม่วาง อาจกล่าวเข้าข้างตนเองว่าพระองค์ก็คงคิดถึงตนมากจริงดั่งที่ตรัสไว้
และตลอดมาที่รับใช้ก็ทรงดูแลเป็นอย่างดี ถึงแม้ในระยะหลังนี้จะส่งวางแผนหุนหันไปบ้าง แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
"พวกเจ้า เราฝึกม้าพอแล้ว"
"น้ำล้างพระพักตร์พระเจ้าค่ะ"เชงมายืนอ่างทองถวาย ส่วนหน่องจาคุมบังเหียนและประคองโกลนอาชา
"ฝีมือพระองค์เป็นเลิศยิ่งนัก บางทีงานประลองยุทธในปีหน้าพระองค์อาจสามารถร่วมชิงชัยได้" หน่องจาทูลผู้เป็นนายตามตรง
หลานหลวงเค้นหัวเราะพลางล้างพระพักตร์ "ข้าไม่ได้สนใจประลองยุทธอะไรกับใครในยามนี้หรอกหนา" ฉับพลันนั้นเองดวงเนตรของพระองค์ก็แน่วแน่ขึ้น "ไม่ใช่ตอนนี้ "
ถ้อยคำของเจ้านายเสมือนว่าพระองค์มีใครในใจอยู่แล้วที่อยากจะประลองยุทธเป็นมั่นคง สองพี่เลี้ยงสบตากันก็ไม่แน่ใจว่าบุรุษที่พระองค์สื่อถึงนั้นคือผู้ใด
รับสั่งเสร็จก็หันมาทางหน่องจา "ข้าว่าเจ้ามากกว่า ที่เหมาะสมจะเป็นผู้เป็นลงงานประลองยุทธขี่อาชา อย่างไรบิดาของเจ้าก็อยู่หน่วยอาชาหาญ"
หน่องจาพนมมือ ส่ายหน้าเล็กๆแล้วกราบบังคมทูล "กับข้า เพราะบิดาอยู่กรมม้านั่นแหละพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเลยไม่อยากจะลงแข่ง ประเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าอาศัยเส้นสายบิดา แลข้าก็ไม่ได้เก่งเท่าพี่ชาย วิชาอาชาข้าก็ไม่ได้จัดเจน ลงสนามยามนี้ก็มีแต่จะทำให้อาย"
"ดั่งหน่องจาพูดก็จริงส่วนหนึ่ง บิดาของเขาก็เป็นบุตรแม่ทัพเรือ ยามมีประเพณีแข่งเรือก็ไม่ได้ลงแข่งเช่นกัน คงเป็นวิสัยของบ้านนี้ที่มักจะเจริญในหน้าที่การงานต่างจากที่ผู้เป็นบิดารับหน้าที่" เชงมาพูดเชิงเย้ากับสหายวัยไล่เลี่ย ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะเถียงเพราะมันก็เป็นความจริง
"หากกระหม่อมเลือกได้ กระหม่อมจะไปขี่ช้างดีกว่าพระเจ้าค่ะพระองค์" หน่องจากล่าวอย่างว่องไว "ในลุ่มน้ำอิรวดีทั้งปวง กองทัพช้างศึกคือกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไม่แพ้กองปืน กองทัพม้าหรือทัพเรือ ทั้งใหญ่โตแข็งแรงน่าเกรงขาม ข้าเองยังเคยนึกเสมอว่าจะไปฝึกกับกรมช้างเลยพระเจ้าค่ะ"
พอเขาทูลรับรององค์หลานหลวงผู้เป็นนาย กลับรู้สึกว่าเห็นสีพระพักตร์ของพระองค์แปรเปลี่ยนไป หัวเราะแห้ง แววเนตรมองไปทางหนึ่งซึ่งพวกอาชาก็มองไปทางนั้น หน่องจาจึงเหลียวไปก็ไม่เห็นสิ่งใด ก่อนจะได้ยินรับสั่งของผู้เป็นนายขึ้นว่า
"หน่องจาเอย...กับเรื่องช้าง ข้าคิดว่าเจ้าไตร่ตรองให้ดีเถิดหนา"
"ไตร่ตรองให้ดีหรือพระเจ้าค่ะ?" พี่เลี้ยงผิวแทนย้อนถามผู้เป็นนาย หลานหลวงยกหัตถ์ตบไหล่ของเขาเบาๆ แล้วพูดต่อไปความว่า
"ก็อย่างที่เจ้าพูด ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ใหญ่โตมาก น่าเกรงขาม...ยิ่งเวลามันอาละวาด ยิ่งเวลาตกมันก็ยากจะควบคุมได้เชียว" หลานหลวงหรี่พระเนตรก่อนจ้องหน่องจาหนักแน่น พูดน้ำเสียงจริงจังยิ่ง "มันน่าเป็นห่วงนัก...หากเจ้าไปฝึกล่ะหนา"
หน่องจาสบตาเชงมา ทั้งสองได้ยินคำนั้นก็ตื่นตันดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนไปก้มกราบหลานหลวง
"ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงกระหม่อมพระเจ้าค่ะ ข้าจะกลับไปไตร่ตรองเรื่องนี้อีกทีทำที่พระองค์รับสั่ง"
โอรสวังหน้ามองครู่หนึ่ง หน่องจาคาดว่าตนเผลอสำแดงกิริยาระริกระรี้ สองพี่เลี้ยงหยุดกุมสติ โชคดีที่หลานหลวงไม่ว่ากระไร แลยังทรงตรัสต่อไป
"ถ้าหากว่าเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว...หน่องจา เรื่องนี้ดีกับเจ้าและข้ามากโขทีเดียว" หลานหลวงเน้นยำ ก่อนจะก้าวเท้าฉับออกจากสนามฝึกไปเรียนวิชาการตามกำหนดต่อไป ฝ่ายสองพี่เลี้ยงก็ลอบกระซิบความกัน
"พระองค์เป็นห่วงข้าด้วย ข้าสัมผัสได้"
เชงมาพยักหน้า ยิ้มอย่างออกหน้า "พระองค์ทรงเปลี่ยนไปมาก ข้าดีใจจริงเชียว"
"แต่อย่างไรวิชาขี่ช้างก็ต้องเรียนอยู่แล้ว เอาเถิด ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันหนา" เขากระซิบกับเชงมาเสร็จ สองพี่เลี้ยงก็เร่งฝีเท้าตามหลานหลวงไล่หลังไปทันที...