เหล่าขุนนางและกลุ่มการค้าที่เจ้าชายเมงจีสวาเลือกเดินทางไปพบปะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอำนาจที่วางตัวสนับสนุนพระองค์เมื่อดำรงตำแหน่งมหาอุปราชา การปรากฏตัวส่วนพระองค์พร้อมด้วยพระพี่นางมังอะถ้วยและวาณิชคู่ค้ากิจการมีชื่ออย่างเมยะ ล้วนสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนที่ได้ยล คนเหล่านั้นต่างให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เบื้องต้นเจ้าชายกระทำเพียงทักทาย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ สนทนาด้านการทำงานและทิ้งท้ายว่าจะกลับหาใหม่ในภายหน้า
ถึงเจตนาแรกพระองค์ทรงหมายปลอมตัวแต่ด้วยมาเป็นกลุ่มใหญ่ ความลับก็อยู่ได้ไม่นานนัก หลังทรงพบกลุ่มขุนนางที่พระองค์ไว้ใจแล้วก็มีขุนนางกับวาณิชอีกกลุ่มหนึ่งนอกเหนือจากนั้นเข้าหา ดุจสำนวนว่าหูตาเป็นสับปะรด บางพวกก็ระดับสูงพอรู้จักมักคุ้นขุนนางระดับสูงหรือเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นพวกเขาจึงแวะเวียนมาทักทายพร้อมข้อเสนอดูแลคณะหรือไม่ก็มามอบของกำนัลเป็นถุงเป็นถัง
คณะเจ้าชายไม่รับและบอกเพียงว่าตนและคณะมาเป็นการส่วนตัว ถึงนาถะยาจะมองสมบัติชั้นดีเลอค่าเหล่านั้นถูกขนกลับไปด้วยความน่าเสียดายทว่าเจ้าชายก็กระซิบเตือนถึงเจตนาว่าของพวกนั้นมิไม่ถูกมอบให้เปล่าๆ มันมีมูลค่ามากกว่าเพียงเรื่องประจบเอาใจ
ตลอดการเดินทางเจ้าชายจะเป็นผู้กำกับทิศทางการเดินทาง เมยะได้แต่เดินตามพระองค์ มีพูดคุยกับเจ้าชายเรื่องการค้าเท่านั้น พอพบปะขุนนางเจ้าตัวก็เพียงมองอยู่ห่างๆ นาถะยาคอยมาเตือนพระองค์บ่อยครั้งว่าถูกมองแต่พระองค์ก็ไม่ได้สนใจอะไร
เช่นเดียวกันกับเจ้าหญิงผู้พี่ที่ทรงสนทนากับขุนนางเพียงแค่จำเป็น ดรุณีน้อยสนใจโลกภายนอกแต่ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตทุกคนในคณะอยู่เป็นระยะ โดยมากจะเป็นพระอนุชาผู้อ่อนชันษาด้วยความชื่นชม
หลังตะวันคล้อยผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ เจ้าชายน้อยก็ตัดสินใจไปยังสถานแห่งสุดท้ายก่อนกลับวังหลวง ในตอนนั้นเองราชองครักษ์ผู้ใหญ่อย่างดีเอโก้ก็รีบรุดยกมือขึ้นห้ามปราม ก่อนกล่าวกับผู้นำวัยหกชันษา
"เลยย่านนี้ไปค่อนข้างเสี่ยง ใกล้พงพนาแลเป็นแหล่งสุมแออัด...เรามากันหลายคน หากเกิดเรื่องก็เป็นถิ่นนี้ข้าผู้น้อยไม่เกรงจะอารักขาได้ไม่ถนัด"
เจ้าหญิงมังอะถ้วยเลิกพระขนงค์ "ในแผ่นดินหงสามีถิ่นที่ท่านครูดีเอโก้อารักขาเรามิได้ด้วยฤๅ"
"จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพี่หญิง หากเป็นจริงท่านก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งราชองครักษ์..."
ถึงเจ้าชายจะตรัสไปเช่นนั้น ราชองครักษ์วัยสี่สิบก็ส่ายศีรษะเบาๆ พร้อมพูดด้วยเสียงหนักแน่นกว่าเดิม "ความปลอดภัยต้องมาก่อนขอรับและพื้นที่ย่านนี้ได้รับการยกเว้น หากประสงค์เราพ่อลูกก็พร้อมสละชีวิตเพื่อปกป้องท่าน"
"ไฉนจึงได้รับการยกเว้น น้องรู้หรือไม่" เจ้าหญิงกระซิบถามแต่คนน้องเลือกไม่ตอบ หากบอกเป็นย่านเถื่อนกับคนอื่นอาจกลัวแต่พระพี่นางคงตาวาวสนใจใคร่รู้ พระองค์จึงปล่อยเจ้าหญิงมังอะถ้วยเหลียวมองย่านแออัดที่ดูเปลือกนอกไม่ต่างจากชุมชนแห่งอื่นในเมืองหลวงสักเท่าใด ตอนนั้นเองด้านนาถะยาเองก็ลอยล่องเข้ามาพระองค์ใกล้เช่นกัน
'นั่นสิเจ้าชาย ถ้าที่นี่เป็นย่านเสี่ยงคนปรกติประเภทไหนอยู่ในถิ่นเช่นนี้ อีกอย่างมองท้องฟ้าแล้วชะรอยเทพฝนก็คงคิดกวนเราอีกแล้วตั้งเค้ามาเชียว เราหาทางหลีกเลี่ยงทางดีกว่าไหมพระองค์ อาจเป็นคราวหน้า ทางเรามีพระพี่นางกับนายน้อยวาณิชไปด้วย เกรงจะอันตราย คงถึงเวลาแยกหากจะทรงไปต่อ'
'ต่อให้พระพิรุณนั่งนาคาซัดฝนมาสักร้อยห่า ข้าก็ต้องไปหาเขา' เจ้าชายมองนาถะยาเชิงเอ็ด พระองค์จะไม่ยอมเสียเวลาไปมากกว่า อย่างไรก็ต้องบุกไปหาให้ได้ ก่อนหันพระพักตร์ไปทางพระพี่นาง
"พี่หญิงกับเมยะกลับไปก่อนเถิด ข้ามีกิจที่นี่ให้ได้ แล้วจักตามกลับไปทีหลัง"
"น้องตัวเท่านี้ไปแต่ลำพังพี่ก็เป็นห่วง ให้พี่กับเมยะไปด้วยเถิดหนา อยู่กันจะได้อุ่นใจ" เจ้านางตรัสพลางลูบศีรษะน้องรัก ด้านนาถะยานึกขบขันเมื่อเห็น
"ข้าเห็นพ้องกับพี่ท่าน เราก็มีคนเก่งมากมาย คนของข้า คนของท่าน ก็แลเตรียมใจดีเพื่อคุ้มกันเรา" เมยะพูดพร้อมมองเหล่าบรรดาบริวารติดตามนับสิบชีวิต รวมไปถึงเชงมา หน่องจา ซึ่งท่าทางก็ไม่ต่างอะไรกับความเห็นของราชองครักษ์วังหลวง เจ้านายว่าเช่นไรก็เช่นนั้น
'พี่หญิงก็เพิ่งเจ็ดขวบปีเองนี่หนา รักและห่วงน้อง เป็นภาพที่น่าเอ็นดู หันมาทางพระองค์ ...โปรดอย่าลืมด้วยเล่าว่าบัดนี้ยังเยาว์'
'ตัวเองจำแลงเป็นร่างข้า ยังกล้ามาพูดดีอีก'
ขณะที่เจ้าชายนึกโต้กับนาถะยาในใจ ฉับพลันเสียงหนึ่งก็บังเกิดขึ้นเบื้องหน้า ชายต่างถิ่นแต่งกายปอนกลุ่มหนึ่งพูดจาโวยวายไม่เป็นภาษา ท่าทางมือไม้ชี้หน้าชี้ตา ยั่วยุหาเรื่องอีกกลุ่มอย่างเด่นชัด การสนทนาโหวกเหวกจบลงที่หมัดของคนต่างถิ่นพุ่งใส่เจ้าถิ่น การวิวาทบังเกิดขึ้นในย่านนั้น ท่อนไม้ หิน ดิน ไหจานชามใกล้ตัวถูกนำมาใช้เป็นอาวุธ ความวุ่นที่เกิดขึ้นลากคนรอบข้างให้รับเคราะห์ไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของเจ้าชายมังสามเกียด สองพ่อลูกเดอเมลโลเข้ามาป้องกันความวุ่นวาย สองพี่เลี้ยงเข้ามากระหนาบซ้ายขวา พริบตานั้นกลุ่มของทุกคนก็ผสมโรงกับกลุ่มวิวาทไปด้วย
เมยะรีบเข้ามาสมทบเจ้าชายมังสามเกียดพร้อมด้วยเจ้าหญิงมังอะถ้วย ชายร่างใหญ่ท่าทางเมาสุรา เมื่อเห็นเด็กร่างเล็กผ่านหน้าก็ฉุนนึกว่าเป็นอริร่างเล็กกว่า เขาถกแขนเสื้อจนกระชับ กำมือจนแน่นหมายพุ่งใส่คนใกล้ตัว และเป้าหมายคือเด็กทั้งห้าคน
นาถะยาร้องเตือนให้ระวังหลัง เขาพยายามช่วยแต่อำนาจเจ้าตัวมีฤทธิ์เพียงหนาวสะท้าน กับคนเมาก็ไม่เกิดผล ด้านเจ้าชายมังสามเกียดรู้ดีจากการฝึกกำลังวังชา ร่างพระองค์ไม่อาจเทียบใดดั่งแต่ก่อน ลูกไม้ร้ายกลใดก็ควรหยิบมาใช้ ว่าแล้วไหหมักดองใบใหญ่เกือบเท่าพระองค์ มันหนากำลังดีก็ถูกพระองค์เลือก ทรงตะโกนบอกพลพรรคหลบ พยายามถีบยันโครมสุดแรง พระพี่เลี้ยงสองคนที่เหลือรู้แกวจึงเขามาช่วยเสริม ไหหมักดองจึงกลิ้งไปหาเป้าหมาย ให้เสียจังหวะหลบผงะล้มไปที่พื้น
ปัง! เสียงเกิดขึ้นไม่ทราบได้ว่าเป็นประทัดหรือปืน ทว่าดังพอให้ทุกคนชะงักหยุดการทะเลาะ ร่างของผู้คุ้มกันพุ่งไปรวมกลุ่มของผู้เป็นนาย สายตาทุกคู่จับจ้องไปต้นทาง ร่างบุรุษกลุ่มหนึ่งก้าวมาในกลางวง
"วันนี้เขตอาศรมของเราช่างแสนคึกคัก แลจักได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่งที่ต้อนรับแขกผู้มาใหม่อีกคณะ" เสียงของเขาสะกดทุกคนเงียบฟัง ชายรูปงามอายุประมาณยี่สิบ แต่งกายสวมหมวกและชุดนักบวชถือรีตเป็นฤๅษีสีเลือดหมูเข้มจนเกือบดำสนิท ตัดกับเรือนผมยาวสีขาวโพลนดุจคนชรา เขากล่าวไปพลางมองคณะเจ้าชายและเหล่าคนวิวาทซึ่งฝ่ายหลังต่างเงียบกริบหวั่นเกรง กระทั่งคนเมายังสางทันทีที่เห็น
"นายเรือหลิน เรื่องของเราโอกาสหน้าค่อยว่ากันใหม่ ข้าจะไปส่งที่สำเภาท่านหนา" ฤๅษีผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนกล
"ส่งไกลพันลี้ก็ต้องจาก ซ้ำคนของข้าก็เริ่มก่อเรื่อง ข้ามิรบกวนท่านผู้ทรงศีลมากกว่านี้แล้ว" นายเรือชาวหมิงพูดอย่างสุภาพ สายตาสบกับคณะเจ้าชาย เขาจ้องพ่อลูกเดอเมลโล ยิ้มแสยะเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกับนักบวชหงสา "คุณชายกับแม่นางทั้งหลาย...ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า ขอลา"
เหล่าลูกเรือชาวหมิงซึ่งอยู่ในเหตุการวิวาททั้งหลายต่างยอมสงบแล้วตามนายเรือของตน หลินมองดีเอโก้อย่างเย้ยหยันท้าทาย ชั้นเชิงสะท้อนบางอย่างว่าพวกเขารู้จักกันไม่มากก็น้อย แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าเจ้าชายมังสามเกียดประจันหน้ากับฤๅษีหนุ่มเจ้าสำอางค์ เขาเดินมาใกล้ ราชองครักษ์ทั้งสองมองแต่ไม่มีใครขยับ
"...ลือกันหนาหูจนข้าต้องมาดูด้วยตาตัวเอง จึงเห็นว่าเป็นความจริง ได้ยินว่าเวียนไปพบปะขุนนางกับกลุ่มวาณิชหลายคนทั่วหงสาเชียวฤๅ โอรสเจ้าวังหน้า"
'ที่เจ้าชายดั้งด้นมาพบ...นักบวชผู้นี้หรือ? ' นาถะยาหันมาทางเจ้าชายในใจ เจ้าชายมังสามเกียดพยักหน้าเล็กน้อย มองอีกฝ่ายด้วยสายพระเนตรแน่วแน่
"ข้ามาเพื่อพบท่าน เสด็จน้ามินเลตยา ข้าต้องการให้ท่านช่วย"