มีลำนำพื้นเมืองมุขปาฐะชื่อ 'โมตอสะลิน เพลงฝนเดือนสิบ' ขับขานว่าสายฝนคือบททดสอบศรัทธาพุทธศาสนาจากพิรุณเทพ ฝนช่วงเข้าออกพรรษายิ่งหนักศรัทธาของพุทธบริษัทยิ่งต้องทวีค่าขึ้นเท่านั้น เทพแห่งฝนจะทดสอบความหนักแน่นด้วยการจุ่มบ่วงบาศลงหม้อน้ำจนชุ่ม ก่อนสะบัดพรมใส่ก้อนเมฆหนึ่งครั้ง หากเมฆถูกสะเก็ดน้ำหนึ่งหยดจะบังเกิดเป็นฝนบนโลกหนึ่งห่า ถ้าพระพิรุณสะบัดรุนแรงฝนก็จะเทลงมาสิบห่าใหญ่
บทร้องรำทำเพลงเอาสนุกปากเล่าต่อไปว่าฝนจะมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับการสุ่มเลือกสัตว์พาหนะที่ช่วยแบกขนหม้อน้ำ ถ้าพิรุณเทพทรงเลือกพาหนะวารีธาตุอย่างนาค มัจฉา พญาจระเข้จะมีบททดสอบศรัทธาใหญ่โตเป็นเม็ดฝนหนักหน่วง กลับกันหากเป็นสัตว์ใหญ่อย่างพวกช้างม้าหรือพญาหงส์ทอง ฝนก็จะตกลงมาเพียงไม่กี่ห่าก่อนฟ้ากระจ่างจะตามมา เพราะว่าสัตว์วิเศษเหล่านี้จะยกพระพิรุณสูงเหนือผืนเมฆทำให้เมฆไม่โดนสะเก็ดน้ำเต็ม ๆ เมื่อเดินหรือเหาะผ่าน ก้อนเมฆจะจางหายกลายเป็นท้องฟ้าเปิดแจ่มชัด
เจ้าชายเมงจีสวากับนาถะยาหันมองท้องฟ้าขณะแหงนมองบนเสลี่ยงห่าม ถ้าลำนำเป็นเรื่องจริงบัดนี้พระพิรุณคงกำลังเลือกสัตว์ใหญ่ หลังจากควบฝูงหมู่วารีธาตุมาหลายวันในที่สุดขณะนี้ฝนจึงยังไม่ตก อากาศเริ่มมีลมพัดให้เย็นสบาย ถึงฟ้าจะมีสีหม่นไม่กระจ่างสดใสเท่าใดนัก แต่แสงแดดสว่างจาง ๆ ก็เล็ดลอดม่านเมฆหนาออกมารำไร
จากการได้สืบเสาะเบาะแสผ่านการสังเกตสอบถามระหว่างก่อนและหลังเดินทาง ทำให้เจ้าชายกับนาถะยาทราบปีศักราชที่พวกตนอยู่แน่ชัด ปีขณะนี้คือจุลศักราช ๙๒๑ (พุทธศักราช ๒๑๐๒) อันเป็นช่วงเวลาหลังศึกที่ล้านนาและหัวเมืองไทใหญ่ชายแดนจีนใกล้เคียง เมื่อหักลบปีศักราชที่ระบุในในเอเช้ง พระองค์จะมีพระชนมายุย่างเข้า ๖ พรรษา นั้นแปลว่าการเดินทางของทั้งสองนั้นมาไกลเกือบสามสิบปีทีเดียว
เจ้าชายเมงจีสวาทอดพระเนตรเวียงวังวัดวาอาราม ตลอดจนบ้านช่องพลเมืองด้วยหวนคิดถึงความหลัง บ้านเมืองหงสาวดีเมื่อสามสิบปีก่อนช่างแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่พระองค์จากมา เพื่อรบกับกรุงศรีอยุทธยา
ความเงียบงันในใจเจ้าชายมลายหายไปเมื่อเห็นนาถะยา ดวงจิตดูจะตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้า เจ้าตัวจดจ้องผู้คน ชมขนมอาหารเหล่าแม่ค้าวางเรียง หยอกเหย้าวัวต่างสินค้าของบรรดานายฮ้อย เที่ยวล่องลอยไปชมตรงโน้นบ้างชี้ตรงนี้บ้าง เจ้าชายนึกเอ็ดในใจว่า 'เจ้านี่มิใช่ผีแต่เป็นลูกนกเพิ่งบินเที่ยวนอกรังมากกว่า' ฝ่ายนาถายาอ่านจิตก็แย้งว่า 'ลูกนกที่ไหนมีกำลังอิทธิฤทธิ์มากพอพาเจ้าชายข้ามเวลามาสามสิบปีได้เช่นนี้เล่า' จากนั้นการเถียงฝีปากกันในใจก็มีเรื่อยมาจนถึงวัด
ลางทีขณะนี้พระพิรุณอาจทรงตัดสินใจเลือกสัตว์พาหนะพอดี เสียงฟ้าร้องเริ่มครั่นครื้นเป็นระยะ ขณะที่ขบวนเสด็จของเจ้าชายมาด้านในเขตวัด พอก้าวลงจากเสลี่ยงเมฆก็ตั้งเค้าครึมหนา เชงมารีบนำทางพระองค์ลัดเลาะตามทางอารามกว้างหมายใจจะเจ้าชายไปให้ทันกิจแห่งสงฆ์ ทว่าจังหวะนั้นก็พบนางกำนัลวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งดักรอรับเสด็จอยู่
"หม่อมฉันถวายบังคมเพคะองค์ชาย" หญิงนางหนึ่งในหมู่ข้ารับใช้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่ม จากเรือนผมยาวสีดอกเลาแสดงให้เห็นว่านางอายุมากที่สุด ผิวพรรณกับการแต่งกายงามกว่าผู้ใดในหมู่ข้ารับใช้หญิงทั้งหมด แสดงถึงสถานะของนางได้เป็นอย่างดี
'ท่านย่าท่าทางใจดีผู้นี้ใครกันฤๅเจ้าชาย' นาถะยาถามขึ้นเสียงกระซิบ
'ย่าพวาสี เป็นหัวหน้านางกำนัลและคนสนิทเสด็จย่า' เจ้าชายตอบในใจ นิ่งทอดพระเนตรหญิงชราครู่หนึ่งก่อนรับสั่งกับผู้มาต้อนรับ "หัวหน้านางกำนัล มีกิจอันใดกับข้าฤๅ"
"พระอัครมเหสีมีรับสั่งพบหาองค์ชายเป็นการส่วนพระองค์ ก่อนไหว้พระด้านในเพคะ"
"เสด็จย่าฤๅ..." เจ้าชายตรัสด้วยสีพระพักตร์หวั่นไหว นาถะยารับรู้ความเศร้าด้วยจิต จึงขยับไปใกล้พระองค์ราวกับเรียกสติ
"เพคะ หม่อมฉันจะนำทางให้นะเพคะ" ย่าพวาสีไม่รอช้ารีบลุกขึ้นก่อนที่จะพาเจ้าชายไปพบเจ้านางผู้เป็นนาย มหาเทวีเจ้าซึ่งรออยู่ด้านใน
"เจ้ามาแล้วฤๅ มังสามเกียด" เมื่อบริวารหลบไปรอด้านนอกจนหมด สุรเสียงทรงอำนาจตรัสขึ้นกับเจ้าชายเมงจีสวา พระนางเรียกด้วยชื่อเดิมแต่กำเนิดมิใช่ชื่อตำแหน่งในชาติภพก่อน เมงจีสวากะพริบพระเนตรปริบ ๆ คุกเข่าก้มไหว้เจ้านางอตุลสิริมหาเทวีผู้ซึ่งกำลังพนมมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระนางหันพระองค์มายังหลานชายด้วยสายพระเนตรดุ
ฝ่ายนาถะยาเพิ่งเคยพบพระอัครมเหสีเป็นครั้งแรกถึงกลับรู้สึกเย็นวาบหวั่นเกรง ประหนึ่งว่าตนเองก็ถูกดึงเข้าร่วมอาญาโทษเช่นกัน ว่ากันตามตรงนาถะยามองพระนางต่างจากย่าพวาสีผู้เป็นคนสนิทยิ่งนัก เสด็จย่าของเจ้าชายในมุมมองของนาถะยาคือขั้วตรงกันข้ามกัน พระนางผอมบาง รูปร่างเล็กแต่สง่างามดั่งนางพญาหงส์ ม้วนพระเกศาแซมขาวที่ยาวเป็นรูปร่างเป็นเกลียวคลื่น
อีกจุดร่วมหนึ่งที่นาถะยาสังเกตเห็นคือสายพระเนตรของเจ้าชายกับเสด็จย่าเหมือนกัน อย่างยิ่งเวลาดุหรือโกรธเช่นนี้ยิ่งเหมือนสมกับสืบสายเลือดกันมา
"เสด็จย่าทรงอยู่ที่นี่..." เมงจีสวาคุกเข่า ความรู้สึกเก่าก่อนหวนคำนึง พระองค์ดึงสติทันจึงรีบพนมมือโค้งก้มด้วยสีพระพักตร์ปั้นยากแข็งเกร็ง "ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ"
"ได้ยินแม่กับพวกพี่หญิงของเจ้าบอกว่าเมื่อเช้าเจ้าไม่ค่อยสบาย ย่ายังนึกว่าจะไปหาด้วยตัวเอง ...ลางทีตำรับโอสถกับกำยานหมอหลวงคงได้ผลชะงัดนัก เจ้าหายดีแล้วสิ"
"ขออภัยที่กระหม่อมทำให้เสด็จย่าเป็นกังวล หม่อมฉันสบายดีพระเจ้าค่ะ"
"หากเจ้าป่วยและดื่มโอสถหายจริงก็ดีแล้ว เจ้าควรนึกถึงพระมารดากับพี่สาวเจ้า พวกนางคือผู้ที่เจ้าควรกล่าวขออภัยมากกว่าย่า" สายพระเนตรและพระสุรเสียงยังคงหนักแน่นเช่นเดิม
'สายตาพระนางดุยังกับเสือ ราวกับเห็นนาถะยาได้อย่างไรอย่างนั้น' นาถะยาพึมพำ ก่อนจะเผลอคุกเข่า คลานไปหาเจ้าชายคู่คิดใกล้ ๆ ด้วยความหวั่นเกรง
"เหตุที่ย่าพบหลานก่อนเข้าไปไหว้พระด้านใน ก็เพื่อจะได้สะสางความวุ่นวายแต่เดิมที่หลานก่อไว้เสียก่อน" พระนางเสด็จมาใกล้หลายชาย ทรงเงียบรอจนหลานเงยพระพักตร์ขึ้นมองตอบ
"สะสางเรื่องที่หม่อมฉันก่อ? "
"ย่าได้ยินว่าหลานโมโหเอาแต่ใจจนขับไล่บ่าวไพร่ออกนอกวัง ข้ารับใช้นางกำนัลขัดใจก็ตะเพิดออกนอกตำหนัก...กระทั่งบ่าวมาลาเพื่อบวชหน้าไฟให้ญาติผู้วายชนม์ เจ้ายังไม่ให้ไป หรือให้ไปก็ตะเพิดไม่ให้กลับ"
นาถะยาอ้าปากก่อนหันไปทางเจ้าชาย ท่าทีราวกับไม่เชื่อหูตนเอง 'เจ้าชายช่างใจร้าย น่าสงสารบ่าวนัก นาถะยาขอไปอยู่ข้างเสด็จย่าดีกว่า' ดวงจิตที่ไม่มีใครเห็นพูดก่อนลอยไปอีกฝั่งแล้วกอดอก
'ข้าเพิ่งห้าขวบ จำไม่ได้แล้ว เรื่องตั้งแต่สมัยไหนกัน' เจ้าชายเอ็ดกลับในใจ ทว่าเมื่อสายพระเนตรมหาเทวีเพ่งพิศยิ่งขึ้นก็ทรงหยุดสนดวงจิตเจ้ากรรม แล้วหันมาก้มพระพักตร์ต่ำลงสำแดงท่าทีที่สลดจากใจจริง
"มังสามเกียดไม่คิดฤๅว่าคนเหล่านั้นจะมองเจ้าอย่างไรบ้าง เจ้าเป็นถึงเจ้าชายหงสาวดีควรประพฤติให้สมเกียรติหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน ขุนนางที่หลานไล่ไปเล่า บางคนสืบสายขุนนางภักดีมาแต่เก่าก่อน หลานเป็นถึงเจ้าชายวันหน้าก็ต้องเป็นผู้นำเกื้อหนุนพึ่งพาให้บ้านเมืองรอดปลอดภัย หลานควรเรียนรู้วิถีปฏิบัติต่อเหล่าขุนนางและบริวารทั้งหลายให้มากกว่านี้"
เจ้านางตรัสอบรมเสร็จก็ทรงถอนพระปัสสาสะ เมื่อพระนางเย็นพระทัยลง ประกอบกับสังเกตกริยาคู่สนทนา จึงกล่าวด้วยสุรเสียงทุเลาแก่โทสะ
"แต่ย่าได้ยินมาอีกเช่นกันว่าเจ้าได้เรียกพวกบ่าวทั้งหลายกลับเข้ามาแล้ว เอาเถิด อย่างไรหลานก็ยังเด็กนัก ย่าจึงจักไม่ถือสาหาความเอาโทษเจ้า..."
นาถะยาถึงกับหันมองเจ้าชายด้วยความฉงน เหตุใดความจึงทราบมาถึงพระนางได้ว่องไวเช่นนี้ นึกถามเสียในใจก็ได้คำตอบจากเจ้าชายว่านี่แหละคือพระนางอตุลสิริมหาเทวี มีพร้อมทั้งพระเดชพระคุณ เปี่ยมล้นอำนาจบารมีสูงส่งดั่งเกียรติยศ ทุกคนต่างกล่าวขานว่าพระนางสมเป็นอัครมเหสีผู้ปราดเปรื่องคู่พระทัยของพระเจ้าบาเยงนองที่สุด ทรงผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน
หากเป็นกิจในวังหลัง สายพระเนตรพระกรรณของมหาเทวีก็มีมากมายเหลือคณานับ มิเป็นรองผู้ใด
"...ต่อไปก็ประพฤติตนให้เหมาะสมกับฐานะองค์ชาย เลี้ยงดูคนในตำหนักให้ดี อย่าให้ย่าหรือแม่เจ้าต้องขุ่นเคืองเรื่องนี้อีก เข้าใจฤๅไม่ มังสามเกียด"
"หม่อมฉันเข้าใจแล้วพระเจ้าค่ะเสด็จย่า"
"ดี ถ้าเจ้าเข้าใจจริงเมื่อย่าพูดอะไรหลังจากนี้ ขอให้เจ้าเห็นพ้องตามคำของย่า ไม่โต้แย้งให้เสียเรื่อง" มหาเทวีแห่งหงสาวดีผินพระพักตร์ก่อนมีพระเสาวนีย์แก่ข้ารับใช้หญิงคนสนิท "พวาสี เจ้าจงเรียกให้พวกเขาเข้ามาเถิด"
หัวหน้านางกำนัลคนสนิทเหยียดลุกกายอย่างแช่มช้าด้วยสังขารที่มาก ย่าพว่าสีเดินดุ่ยอุ้ยอ้ายหายไปสักครู่ก็กลับมาพร้อมด้วยบุรุษวัยกลางคนหนึ่ง เดินขากะเผลกต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง มีเด็กชายผิวแทนเพราะต้องแดด อายุไล่เลี่ยเจ้าชาย เส้นผมถูกโกนโล่งเตียนจนเห็นหนังศีรษะ และชายชาวยุโรปสูงใหญ่ที่มีดวงตาสีน้ำข้าว พวกเขาต่างคุกเข่าลงใกล้กลับเจ้าชายเมงจีสวาและนาถะยา ดวงจิตรีบกระเถิบกายหลบเลี่ยงมาลอยบนอากาศ
'นี่มันอย่างไรกันหนอ สามคนนี้เป็นใครกันอีก คนเยอะจนนาถะยาชักตามไม่ทัน เรากำลังจะทำอันใด...เจ้าชาย ไหวหรือเปล่าพระองค์?'
'นี่มันมหรสพคนตายหรืออย่างไรหนอ นาถะยา ข้าได้พบกับเสด็จย่า คนสนิทกับแม่ทัพนายกองนี่อีก ข้าพอจะจำเค้าลางได้ ...ทุกคนในห้องนี้ล้วนตายไปแล้วเมื่อข้าเติบใหญ่ บางคนตายตั้งแต่ข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ ข้าวางตัวไม่ถูกว่าจะรู้สึกยินดียินร้ายเช่นไร'
นาถะยาลอยตัวกลับมาหาเจ้าชายคู่คิดก่อนจ้องตาแล้วเอ่ย 'เรียนตามตรง นาถะยามิทราบหรอกว่าควรวางตัวอย่างไร แต่คนไหนดีกับพระองค์ก็ยิ้มแล้วยินดีเถิดหนา'
"ถวายบังคมพระเจ้าค่ะพระนาง องค์ชาย ...กระหม่อมได้เชิญท่านสมิงพญากับหลานชายกลับมาตามรับสั่งแล้วพระเจ้าค่ะ"
นาถะยาหันมองพูดที่พูดแทรกขึ้น ผู้พูดคือนายฝรั่งร่างสูงนั่นเอง
"ขอบใจท่านมากดีเอโก้...ทุกท่านมิต้องมากพิธี เราต่างก็มิใช่คนอื่นคนไกล ต่างก็รับใช้พ่ออยู่หัวบาเยงนองมาด้วยกันหลายสิบปีทั้งนั้น" พระนางตรัสพลางแย้มพระสรวล "รบกวนท่านสมิงพญาจากพิธีเสียแล้ว เรื่องของพ่อตาท่านเราเสียใจอย่างยิ่ง ท่านแม่ทัพดาง์วตองฮมูเป็นผู้อาวุโสที่สุดในหงสาวดีที่พ่ออยู่หัวและเราต่างนับถือดุจญาติผู้ใหญ่ เราจำภาพท่านแม่ทัพคุมกองเรือราชนาวีในสมัยเสด็จพ่อได้อยู่เลย สมัยอนุชาเรานอกจากดูแลกองราชนาวีร่วมกับท่านสมิงพญาแล้ว ยังเป็นนักกวีประจำราชสำนัก ช่างเป็นผู้มีคุณต่อบ้านเมืองมากมายยิ่งนัก"
"เป็นเพราะพระบารมีอุปถัมภ์พระเจ้าค่ะ ชีวิตนี้น้อยนัก การได้ทำคุณแก่บ้านเมืองนับเป็นเกียรติสูงสุดแล้วพระเจ้าค่ะ" สมิงพญาแม่ทัพชาวมอญตอบ
"น่าเสียดายที่ท่านราชตะมัน บุตรชายของท่านแม่ทัพดาง์วนำกองทหารม้าไปช่วยราชการที่เมืองญัง เพลานี้จึงมิได้อยู่ในกรุงหงสาวดี หาได้ทันดูใจขุนศึกผู้พ่อไม่"
อดีตแม่ทัพมอญก้มศีรษะเล็กน้อย "กิจของแผ่นดินหงสาวดีต้องมาก่อนเรื่องชีวิตส่วนตัวพระเจ้าค่ะพระนาง ในฐานะพ่อกับลูกที่เติบโตรับใช้ราชการมานาวนาน ย่อมเข้าใจทราบเรื่องนี้ดีกว่าผู้ใดพระเจ้าค่ะ"
"ยอดบุรุษเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง อย่างน้อยก็มีท่านกับหลานชายผู้เป็นทายาทอยู่ที่นี่ ตอนนี้" สายพระเนตรคมจับจ้องไปทางเจ้าชายเมงจีสวา เมื่อสบเนตรกันกับฝ่ายหลานชาย พระนางจึงมีรับสั่งต่อ
"เดิมหลานของท่านสมิงพญาก็เป็นบริวารในตำหนักหลานชายเรานี่หนา แต่เพราะต้องขอลาบวชหน้าไฟแด่ท่านแม่ทัพดาง์ว เจ้าชายมังสามเกียดออกปากไม่ให้ไปคราวนั้นก็ด้วยเพราะยังเยาว์นัก จึงพลั้งเผลอตรัสพ้อด้วยความมิรู้เดียงสา ขออย่าได้ถือสาเลยหนา ใจจริงก็ยังอยากให้หลานชายท่านสมิงพญาอยู่ถวายงานรับใช้ใกล้ชิด ใช่หรือไม่เล่า มังสามเกียด"
เจ้าชายเมงจีสวารับรู้ทิศทางตามที่ตกลงกับเสด็จย่าจึงหันไปตรัสกับพระอัยกาต่อหน้าขุนศึกรามัญและผู้อื่นรอบด้าน
"พระเจ้าค่ะเสด็จย่า หม่อมฉันไม่มีเจตตาจะไล่ใครออกไป เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น"
"เช่นนี้หนา ท่านสมิงพญา เราเองก็ตั้งใจจะเป็นเจ้าภาพในพิธีของแม่ทัพดาง์วตองฮมู เราจะจัดแจงค่าใช้จ่าย ดูแลพิธีต่อให้อย่างสมเกียรติ ส่วนเจ้าชายเองก็อยากให้หลานชายท่านสมิงพญากลับมารับใช้ในตำหนัก ครานี้ให้เหมาะจึงจะตั้งเป็นพระพี่เลี้ยงเจ้าชายด้วยอีกคนหนึ่ง ต่อไปมีอะไรจะได้ช่วยเหลือเจื้อจุนกันได้ยิ่งขึ้น หากท่านแม่ทัพสมิงพญามิขัดเคืองในเรื่องนี้หนา"
"เป็นพระมหากรุณาธิคุณของกระหม่อมกับเจ้าหน่องจาเป็นล้นพ้นพระเจ้าค่ะ" สมิงพญาก้มกราบขอบพระทัย "หน่องจา เจ้าจงไปกราบพระอัครมเหสีกับเจ้าชายมังสามเกียดอย่าช้าที" เขาเอ่ยเสียงแผ่วกับหลานชายซึ่งก้มหน้าก้มตาตลอดการสนทนาคราวนี้ เด็กชายคลานมาหาเมงจีสวากับนาถะยา ...ระหว่างนั้นนาถะยาก็สังเกตว่าเจ้าชายขมวดคิ้วพลางพึมพำ
'หน่องจา...ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเรือกับแม่ทัพม้าหรือ...' เจ้าชายดำริอยู่ภายในพระทัย
'อดีตเณรหน้าไฟผู้นี้ทำไมฤๅพระองค์'
'ไม่ทำไรหรอกนาถะยา เดิมทีข้ามิเคยมีเด็กผู้นี้เป็นพี่เลี้ยง ก่อนนั้นก็มีแต่เชงมา ...แต่มีบางอย่างกวนใจข้านัก รู้สึกคุ้นชื่อ...จากที่ไหนกันหนา...'
อย่างไรก็ดีไม่ทันที่เจ้าชายจะนึกสนทนากับนาถะยาจบ เด็กชายผิวแทนก็เอ่ยขึ้น
"ขอบพระทัยพระองค์พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเคยนึกว่าพระองค์จะไม่ต้องการกระหม่อมแล้วเมื่อครั้งส่งขับไล่ออกมา" หลานแม่ทัพรามัญพูด คำของเขาทำให้เจ้าชายเมงจีสวารู้สึกผิดต่อพระองค์เองที่เพราะนิสัย จึงรีบไปทางบริวาร เอ่ยรับขวัญอีกฝ่าย
"...ที่เราพูดเพราะเราไม่อยากให้เจ้าไปไหน อยากให้เจ้าเป็นพี่เลี้ยงรับใช้ด้วยกัน จากนี้เราจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เงยหน้าเถิด จากนี้เจ้าจงเป็นพระพี่เลี้ยงเรา ผิดถูกจงกล้าชี้แนะ ช่วยเหลือกันต่อไป"
"หม่อมฉัน...ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"
ฉับพลันนาถะยาก็รู้สึกขนลุกและสะดุ้งโหยงเฉกเช่นปุถุชนเผชิญหน้าอัสนีบาศ ดวงจิตลี้ลับไม่แน่ใจว่าฟ้าแลบฟ้าร้องที่ตนรับรู้เป็นสภาพอากาศจริงหรือเท็จ เพราะไม่ทันจะพูดหรือจ้องมองด้านนอกอันใดนาถะยาก็ชักสีหน้า เมื่อเห็นว่าใบหน้าเจ้าชายแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง
ความรู้สึกที่เชื่อมต่อกันระหว่างเจ้าชายกับนาถะยาคือประหลาดใจส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือความเดือดดาลเกินพรรณนา
เจ้าชายเค้นสบถในห้วงจิตใจ เดือดราวกับมีลมออกจากพระกรรณ
'มึง!....มึงนี่เอง....'
'ประเดี๋ยวก่อนเจ้าชาย สงบพระทัยก่อน กระไรกันพระองค์ นาถะยารู้สึกถึงความแค้นเดือดดาล ทำเช่นนี้มิได้หนา จะเสียเรื่องนะพระองค์' นาถะยาบินถลามาร้องปรามห้ามทัพด้วยรวดเร็ว 'เด็กคนนี้ทำไมเหรอพระองค์ เกิดอะไรขึ้น!?'
'...ในกาลหน้า มันคือเจ้าเมืองชาปะโร...มันเคยไสช้างมาชนข้า จนข้าตกช้าง!'
นาถะยาอ้าปากค้างก่อนมองหน้าอดีตเณรหน้าไฟให้ชัด 'โลกมันกลมอะไรเช่นนี้!'
'...ว่าแล้วถึงคุ้นหน้ามึง เพราะมึง...ตอนนั้นถึงได้....อ้ายฉิบหายเอ๊ย!!!' เจ้าชายขบพระทนต์แน่นกรอด ตั้งท่าราวกับจะฉีกกระชากเป็นชิ้นเนื้อไม่ก็หมายถีบยอดหน้าอีกฝ่ายให้กระเด็น นาถะยารับรู้ถึงกำลังโทสะที่ปะทุร้อนผ่าว เขารีบกางมือขวางตรงกลางสุดฤทธิ์
'ไม่ได้พระองค์ อย่า! อย่าทำร้ายเด็ก ไม่ได้! ต่อหน้าย่าต่อหน้าตาเขา ต่อหน้าธารกำนัล ตอนนี้เขาเป็นแค่เด็ก!!!'
'...'
'นาถะยารู้ นาถะยาเห็น นาถะยาจำได้ว่าพระองค์เจออะไรมา มันเจ็บ เจ็บแสนเจ็บและยากจะให้อภัย แต่สติพระองค์ สติ! กาลนั้นผ่านไปแล้วเราแก้ไขไม่ได้พระเจ้าค่ะ ตอนนี้คือปัจจุบัน และเราจะเสียเรื่องไม่ได้'
เจ้าชายไม่ตรัสสิ่งใดตอบ นาถะยาจึงพูดต่อ นำ้เสียงใจเย็นอย่างที่สุด
'เราพลาดไม่ได้แล้วเจ้าชาย หน้าฉากแสดงอย่างไรก็ต้องไหลตามน้ำไปก่อนเถิดนะ'
เจ้าชายเมงจีสวาจ้องหน้านาถะยาวูบหนึ่งก่อนหันมองหน่องจาที่บัดนี้กะพริบตาปริบ ๆ เฉกเช่นเดียวกันกับบรรดาบริวารรอบ ๆ
'ได้โปรดระงับโทสะ...' นาถะยาจับบ่าเจ้าชายทั้งสองข้างก่อนพูดด้วยเสียงแผ่ว ช้าและชัด 'ตามน้ำไว้เจ้าชาย ตามน้ำ...'
"มังสามเกียด เจ้าเป็นอันใด" เจ้านางมหาเทวีตรัสขึ้นด้วยความห่วงพระทัย
ฝ่ายเจ้าชายเมงจีสวาก็หลับพระเนตรก่อนจะแย้มสรวลออกมาได้สดใสสมวัย ท่ามกลางฝนกระหน่ำฟ้าร้องคะนองห่างไกลด้านนอกวัด
"หม่อมฉัน...เพียงแค่ดีใจที่ได้หน่องจาจะกลับมาเคียงข้างข้ากระหม่อมพระเจ้าค่ะ เสด็จย่า"