webnovel

043 พาเด็กไป

บทที่ 43 พาเด็กไป

เด็กสามคนนี้น่ารักเหลือเกิน ดูแข็งแรง อ้วนท้วนสมบูรณ์ อวี๋หวั่นอยู่มาทั้งสองร่าง ยังไม่เคยพบเด็กที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน น่ารักจนอยากเข้าไปหอมแก้มนุ่มๆ นั้น

อวี๋หวั่นไม่เก่งเรื่องการเข้าหาผู้คน ถึงเป็นเถี่ยตั้นน้อย เธอก็เพียงจับมือเล็กๆ ของเขาเท่านั้น กระนั้นเมื่อเจอเด็กสามคนนี้ครั้งแรก จะให้เข้าไปหอมหรือกอดพวกเขา ก็จะดูไม่เป็นตัวเธอสักเท่าไร

อวี๋หวั่นส่ายหัว ตอนนี้มิใช่เวลาจะมาทอดถอนใจ

เด็กเหล่านี้สวมเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยพอดีตัวนัก อาจเป็นเพราะหัวหน้าโจรให้ลูกน้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พวกเขาเพื่อตบตาผู้คน

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าพวกเขามิใช่มือสมัครเล่น

หากถูกพบเข้า เกรงว่าคงจะหนีไปไม่ได้ง่ายๆ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น อวี๋หวั่นจึงไม่กล้าจะอยู่ต่อ เธอหาตะกร้าใส่สะพายหลังจากในห้อง ไม่รู้ว่าตะกร้านี้ไม่มีคนใช้

มานานเท่าไร่แล้ว ฝุ่นเกาะหนา ทั้งยังมีรูโบ๋ถึงสองรู

อวี๋หวั่นไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว เธอทดสอบความแข็งของตะกร้าเสียก่อน จากนั้นก็ยัดผ้านวมเข้าไปในตะกร้า และอุ้มเด็กสามคนใส่ลงในตะกร้าด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงใช้ผ้าฝ้ายคลุมเด็กน้อยเอาไว้ นำตะกร้าสะพายขึ้นหลัง แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

ทันทีที่เธอออกไป หัวขโมยก็ถือข้าวกลับมา

เขาเดินไปพุ้ยข้าวไป เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นกุญแจทองแดงตกอยู่บนพื้น

คิ้วของเขาขมวดเป็นปม เตะประตูเปิดออก เดินกึ่งวิ่งเข้าไปข้างเตียง เปิดม่านขึ้นอย่างเร่งรีบ ก็พบว่าเตียงนั้นว่างเปล่า แม้แต่ผ้านวมก็หายไป เขาจึงร้องขึ้นว่า “ไม่ได้การแล้ว! มีคนมาที่นี่! เด็กไม่อยู่แล้ว!”

โจรรีบวางชามข้าว แล้วกระวีกระวาดออกไป

หลังจากที่อวี๋หวั่นออกไป เดิมทีคิดว่าจะวิ่งไปในที่ที่คนพลุกพล่าน ไหนเลยจะรู้ว่ากลับไปพบกับโจรเหล่านั้น พวกเขามิได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เป็นกลุ่มที่หัวหน้าได้สั่งการบางอย่างเอาไว้

อวี๋หวั่นกลับพบกับพวกเขาเข้าโดยมิได้ตั้งใจ

พวกเขาไม่รู้จักอวี๋หวั่น และไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นซ่อนอะไรเอาไว้ในตะกร้า พวกเขาไม่มีทางจะมายุ่มย่าม

แต่ใครจะคิดว่า โจรจากในบ้านตามเธอออกมา หนึ่งในนั้นพูดด้วยโทสะที่ลุกโหมว่า “พวกเจ้า! จับนาง! นางจับเด็กไปแล้ว!”

ได้ยินดังนั้น โจรทั้งหมดก็วิ่งกรูกันมาทางอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นถีบโจรคนหนึ่ง เขากระเด็นไปชนกับโจรอีกคนหนึ่ง จนเปิดเป็นทางให้เธอ

อวี๋หวั่นจึงรีบพุ่งออกไป!

ดูเหมือนว่าจะต้องผ่านตรอกซึ่งไร้ผู้คนแห่งนี้ หัวขโมยในบ้านก็วิ่งอ้อมมาจากอีกด้านหนึ่ง เตรียมปิดทางเข้าอย่างไม่ปรานี

อวี๋หวั่นถอยหลังมาสองสามก้าว แล้วเลี้ยวเข้าไปในทางแยกอีกเส้นหนึ่งของตรอกนั้น

คนเหล่านี้คุ้นเคยกับเส้นทางบริเวณนี้เป็นอย่างดี ไม่เพียงล้อมปิดเส้นทางออกสู่ตลาด ยังหลอกล่อหน่วยลาดตระเวนไปอีกทางหนึ่งด้วย

อวี๋หวั่นมิได้มาตำบลเหลียนฮวาบ่อยนัก หากใช้เพียงสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดวิ่งไปมาอยู่ในตรอกเปลี่ยวเช่นนี้ เธอคงจะวิ่งมาถึงจุดสุดท้ายเสียแล้ว เพราะเธอไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด

ณ ด้านข้างของตรอกร้างผู้คน อวี๋หวั่นเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง

ร่างนี้แม้จะเป็นร่างที่แข็งแรง ทว่าก็อดรู้สึกเหนื่อยล้าไม่ได้ เด็กสามคนหากแยกกันก็คงไม่หนักเท่าไร ทว่าเมื่อนำมาใส่รวมกันในตะกร้า อย่าให้บอกว่าเธอจะต้องวิ่งเร็วเท่าไร

“ฟู่...เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว...”

อวี๋หวั่นรู้สึกเหนื่อยจนแทบขาดใจ เสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด แต่เธอก็ไม่กล้าอยู่ตรงนั้นนาน ด้วยกลัวว่าพวกโจรจะตามมาทัน

อวี๋หวั่นก้มหน้าก้มตาวิ่งไปข้างหน้า หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม เธอก็วิ่งมาพบกับวัดร้างแห่งหนึ่ง

อวี๋หวั่นไม่มีแรงวิ่งต่อไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจหยุดพักที่วัดครู่หนึ่ง

เมื่อเข้าไปด้านใน เธอก็พบว่าแท้จริงแล้วตนมิใช่คนเดียวที่มาพักในวัดแห่งนี้

เก้าอี้ในวัดล้วนแตกหักและผุพัง กระจัดกระจายจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บุรุษผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีท้องฟ้านั่งอยู่บนไม้หักๆ ท่อนหนึ่ง

บุรุษผู้นั้นร่างสูงใหญ่ ท่าทางการนั่งของเขาดูสบายๆ และอาจหาญ ทว่าเขานั่งหลังตรง ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสง่างามที่แผ่ออกมาจากตัวเขา

ในวัดมืดสลัว

อวี๋หวั่นมองเห็นเพียงเงาเลือนราง แต่นั่นก็เป็นเงาที่ดูงดงาม งดงามเสียจนทำให้ประหลาดใจ

อวี๋หวั่นอดมองอีกครั้งมิได้

อวี๋หวั่นมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ ทว่าสีหน้าของอีกฝ่ายกลับสงบนิ่ง มิได้เหลือบมองเธอ ราวกับว่ามิได้ใส่ใจว่ามีใครบุกเข้ามา

อีกฝ่ายมิได้ส่งเสียง อวี๋หวั่นก็ไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไป

อวี๋หวั่นหาผ้าปูรองนั่งเก่าๆ จากฝั่งตรงข้ามของบุรุษผู้นั้น เธอกอดตะกร้าเอาไว้ด้านหน้า มองไปที่เขาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้มีท่าทีสนใจ เธอจึงค่อยๆ แง้มมุมผ้าออกดู ก็เห็นเด็กน้อยที่กำลังหลับใหลอย่างมีความสุข

“พี่ใหญ่ ข้างหน้ามีวัดร้าง!”

ไม่ไกลออกไป ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังมา

อวี๋หวั่นถึงกับตกใจจนนิ่งไป!

“พวกเจ้าไปดู!”

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

อวี๋หวั่นรีบรุดออกไปทางประตูหลัง แต่เมื่อเปิดประตูออกไปกลับพบว่าด้านหลังของวัดแห่งนี้เป็นทะเลสาบ เธอทำได้เพียงกัดฟัน และถอยหลังกลับเข้ามาด้านใน และหลบเข้าไปอยู่ด้านหลังพระพุทธรูปซึ่งเต็มไปด้วยใยแมงมุม

ขณะที่โจรห้าคนย่างเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามา อวี๋หวั่นก็หยิบเคียวซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมาแล้ว

“เจ้า เห็นแม่นางคนหนึ่งหรือไม่? นางสะพายตะกร้าเอาไว้” หัวโจกเอ่ยถาม

“เห็น” บุรุษผู้นั้นตอบ

อวี๋หวั่นกำด้ามเคียวแน่น

“อยู่ที่ใด” หัวโจกถามต่อ

เขาชี้ออกไปนอกประตู “ไปทางตะวันออก”

เหล่าโจรมองมาที่เขา แล้วมองกันไปมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางของบุรุษผู้นี้ทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนหรืออย่างไร จึงมิได้มาหาเรื่องเขา แล้วหันหลังเดินออกไปตามทางที่เขาบอก

อวี๋หวั่นหลับตาลง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เก็บเคียวเข้าที่ แล้วอุ้มตะกร้าลงมาจากด้านหลังองค์พระพุทธรูป

“ขอบคุณ” อวี๋หวั่นพูด

“จุดไฟเป็นหรือไม่” บุรุษผู้นั้นกล่าว

“เป็น” อวี๋หวั่นตอบ

เขาโยนท่อสำหรับเป่าไฟให้อวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นวางตะกร้าลง หากิ่งไม้แห้งมาสักหน่อย แล้วลงมือจุดกองไฟเล็กๆ เบื้องหน้าเขา

จากนั้น เธอก็กลับไปยังที่ที่ตนนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ แล้วกอดตะกร้าเอาไว้

บุรุษหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา แล้วใส่ลงไปยังกองไฟ “อากาศหนาวถึงเพียงนี้ จะทำให้เด็กหนาวตายได้”

นัยน์ตาของอวี๋หวั่นปรากฏความหวาดระแวงขึ้นฉันพลัน

“หากไม่รังเกียจ ก็มาผิงไฟ” บุรุษกล่าวอย่างใจเย็น

อวี๋หวั่นมองไปที่เขา ไม่รู้ว่าเขาดูออกได้อย่างไร แต่หากเขาคิดร้ายกับเธอ ป่านนี้เธอคงถูกจับตัวไปแล้ว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความหวาดระแวงของอวี๋หวั่นก็พลันลดลง

เธออุ้มตะกร้าสะพายหลังและผ้ารองนั่งเดินเข้าไป แง้มผ้าออกอย่างเบามือ

แสงจากกองไฟสะท้อนมา ทำให้มองเห็นแก้มแดงระเรื่อของเด็กน้อยทั้งสาม

เมื่อเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่กำลังหลับใหล ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของอวี๋หวั่นกลับอบอุ่นขึ้นมา

.............................................

Siguiente capítulo