webnovel

035 เตรียมงานเลี้ยง

บทที่ 35 เตรียมงานเลี้ยง

ตกกลางคืน ครอบครัวซึ่งมีสมาชิกสามคนนอนใต้ผ้าห่มที่อวี๋หวั่นซื้อ (หยิบ) กลับมา ผ้าห่มผืนนี้บางเหลือเกิน อวี๋หวั่นกลัวว่าจะไม่อุ่นพอ จึงใช้ผ้านวมห่มทับอีกชั้นหนึ่ง

สุดท้าย ทั้งสามนอนไปได้ครึ่งคืน ก็รู้สึกร้อนประหนึ่งกุ้งถูกนึ่ง ฟูกรองนอนชุ่มไปด้วยเหงื่อ…

..............

อาหารเช้าก็คือหมั่นโถวและต้มพะโล้ที่เหลือจากเมื่อวาน เมื่ออุ่นร้อนแล้วก็กินได้

ระหว่างที่อวี๋หวั่นรอหมั่นโถวนึ่งเสร็จ เธอก็เดินไปยังเล้าหมู

ในเล้าหมูไม่มีหมูอยู่แล้ว แต่อวี๋หวั่นก็ทำความสะอาดเรียบร้อย ตอนนี้ใช้สำหรับเลี้ยงไก่

อวี๋หวั่นนำผ้าฝ้ายไปล้อมเอาไว้ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ไก่ แม้ว่าจะอุ่นไม่เท่าการมีกำแพงกำบังลม แต่ยังดีกว่าใช้ชีวิตท่ามกลางลมหนาว อีกทั้งอวี๋หวั่นก็ยังวางเตาไฟเอาไว้ข้างกรงด้วย

ไก่ป่าถูกจับแยกกันคนละกรง

อวี๋หวั่นลูบไก่ทีละตัว เมื่อลูบจนถึงตัวที่สาม มือของเธอก็หยุดลง “แกไม่ออกไข่อีกแล้วเหรอ?”

เมื่อวานมันไม่ได้ออกไข่

“อาหวั่น” อวี๋เฟิงเคาะประตูหลังบ้าน เขามาพาอวี๋หวั่นไปซื้อกับข้าวในตัวตำบล แต่เมื่อคิดว่าเถี่ยตั้นน้อยและอาสะใภ้สามน่าจะยังไม่ตื่น เขาไม่อยากส่งเสียงดัง จึงเดินอ้อมมายังหลังบ้าน

อวี๋หวั่นเปิดประตูให้อวี๋เฟิง

อวี๋เฟิงเห็นว่าในมือของอวี๋หวั่นมีไข่ไก่สองฟอง ก็ถามว่า “เก็บไข่อยู่หรือ?”

ลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้อวี๋หวั่นตัวสั่น เธอรุดไปเปิดประตูให้อวี๋เฟิง และปิดประตูลงพลางกล่าวว่า “มีไก่ตัวหนึ่ง ไม่ไข่ ข้ากำลังคิดว่าจะเอามันไปขายในตำบล น่าจะขายได้ราคาดี”

ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงร้อง ‘กระต๊าก’ เบาๆ มาจากในกรง

อวี๋เฟิงจึงวิ่งไปดู “เอ๋? ไข่แล้วละ”

……

หลังจากที่อวี๋หวั่นกินหมั่นโถวจิ้มกับน้ำพะโล้เสร็จ เธอก็ออกเดินทางไปพร้อมกับอวี๋เฟิง

พวกเขาเดินไปยังบ้านของซวนจื่อเพื่อเช่าเกวียนดังเคย แต่ภายหลังก็พบว่าเกวียนพังเสียแล้ว ทั้งสองจึงต้องเดินเท้าไปแทน

อวี๋หวั่นเดินจนชินแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าไกล ทั้งยังประหยัดเงินอีกด้วย

เห็นพวกเขากินเนื้อทุกวันเช่นนี้ นั่นเพียงเพราะพวกเขาต้มเนื้อพะโล้ขาย ถ้าหักลบต้นทุนอันสูงลิบของค่าวัตถุดิบ

และเครื่องปรุงเช่นเกลือ เงินที่พวกเขาได้รับก็ไม่นับว่ามาก

อีกทั้งพวกเขายังต้องหาเงินค่ารักษาลุงใหญ่อีกหนึ่งร้อยตำลึง นับว่าหนทางนี้ยังยาวไกลนัก

แต่ก็ทำได้เพียงพยายามต่อไป อวี๋หวั่นเชื่อว่าวันหนึ่งพวกเขาจะต้องหาเงินได้ครบ

“ไม่ต้องซื้อผักสด ข้าบอกคนในหมู่บ้านเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็ค่อยไปเก็บจากในนาของพวกเขา แล้วให้ราคา

เท่ากับตลาด” เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง อวี๋เฟิงก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

อวี๋หวั่นพยักหน้า พวกเขาใช้ผักสดไม่มาก หากไปสั่งล่วงหน้าจากตลาดก็อาจสั่งไม่ได้ ซื้อผักจากคนในหมู่บ้านนับเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก รายได้กลับคืนสู่คนในท้องถิ่น ทั้งยังได้ราคาเดียวกับตลาด จ่ายเงินให้คนในหมู่บ้านย่อมดีกว่า

สำหรับเนื้อสัตว์ พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องไปซื้อจากตลาด

ทั้งสองคนไปยังตลาดที่อวี๋หวั่นเคยขายปลาและหน่อไม้เป็นอันดับแรก

“หมูสามชั้นขายอย่างไรหรือ” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม พลางชี้ไปยังหมูสามชั้นชิ้นสวย

เจ้าของแผงตอบว่า “จินละ 20 อีแปะ”

อวี๋หวั่นชะงักไป “ทำไมถึงแพงเช่นนี้ เมื่อวานไม่ใช่ 18 อีแปะหรอกหรือ?”

เจ้าของแผงสับขาหมูและกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้ามาก็ 22 อีแปะแล้ว! วันหนึ่งราคาหนึ่ง ใกล้สิ้นปีก็เป็นอย่างนี้แหละ พวกเจ้าไปถามร้านอื่นได้ ไม่มีที่ใดถูกไปกว่านี้แล้ว”

ในตอนแรกอวี๋หวั่นก็ไม่เชื่อ จึงพาอวี๋เฟิงเดินไปสำรวจทั้งตลาดรอบหนึ่ง แต่ก็เป็นดังที่เจ้าของแผงว่า ไม่มีร้านที่ราคาถูกกว่านี้แล้ว “พี่ใหญ่ ในตำบลมีตลาดอื่นอีกหรือไม่”

“มี ยังมีอีกที่หนึ่ง”

สองพี่น้องจึงไปยังตลาดอีกแห่งหนึ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือ ตลาดแห่งนี้อยู่ใกล้กับจวนแม่ทัพเจิ้นเป่ย ราคาสินค้าจึงแพงกว่าตลาดก่อนหน้านี้เล็กน้อย

“ข้ายังต้องซื้อเกลืออีก หากต้นทุนค่าวัตถุดิบสูงเกินไป พวกเราก็อาจขาดทุนได้” แม้อวี๋หวั่นมิได้คิดว่าจะเอากำไรมาก แต่ก็มิได้หมายความว่าเธออยากขาดทุน

อวี๋เฟิงครุ่นคิด กล่าวว่า “ที่หมู่บ้านซีโถวยังมีตลาดอยู่อีกแห่ง ได้ยินว่ากับข้าวที่นั่นราคาย่อมเยาว์ แต่ก็อยู่ไกลเหลือเกิน”

หิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้าราวกับขนห่าน ทั้งสองเดินฝ่าหิมะไปสิบกว่าลี้จึงจะถึงหมู่บ้านซีโถว

ใบหูของอวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นสีแดง มือและปากก็รู้สึกชาไปหมด แม้แต่อ้าปากพูดก็ยังไม่มีแรง

ทว่า เรื่องที่น่าสลดยิ่งกว่า ก็คือสินค้าที่ตลาดแห่งนี้มิได้ถูกไปกว่าที่อื่นเลย…

“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดด้านข้างอวี๋หวั่น เมื่อม่านเผยอออก คุณหนูไป๋ก็มองมายังพวกเขาสองพี่น้อง

อวี๋หวั่นพยายามออกแรงพูด “พวก...เรา...มา...ซื้อ...กับ...ข้าว”

“ซื้อกับข้าวไฉนต้องมาไกลถึงเพียงนี้ ที่ตลาดไม่มีขายรึ?” คุณหนูไป๋เอ่ยถาม

“มา...ซื้อ...ของ...ไป...ทำ...อา...หาร...ใน...งาน...เลี้ยง...ของ...นาย...ท่าน...ไป๋” อวี๋หวั่นพูดคำหยุดคำ มิใช่ว่าเธออยากพูดช้าเช่นนี้ แต่แก้มของเธอชาจนขยับไม่ไหวแล้ว

ดวงตาอันงดงามดุจผลซิ่งของคุณหนูไป๋จ้องมายังพวกเขา “เมื่อวานข้าบอกไปแล้วมิใช่รึ? ข้าซื้อวัตถุดิบเอง พวกเจ้ามาแต่ตัวก็พอแล้ว!”

ฟังมาถึงตรงนี้ อวี๋หวั่นผู้ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยยินดียินร้ายกับเรื่องต่างๆ ก็ถึงกับตะลึงงัน คุณหนูไป๋สัญญาว่าจะให้เงินห้าตำลึง มิได้หมายความว่าจะให้พวกเขาเตรียมวัตถุดิบด้วยหรอกหรือ? พวกเขาเพียงแค่ไปทำต้มพะโล้เป็นเวลาหนึ่งวัน ได้เงินมากมายถึงเพียงนี้เชียว?!

ช่างเป็นคุณหนูที่ใช้เงินเก่งยิ่งนัก…

ไป๋ถังเห็นอวี๋หวั่นพูดไม่ได้ศัพท์ จึงรู้ว่านางหนาวแย่แล้ว นางถอนหายใจและกล่าวว่า “ขึ้นรถมาเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่ง”

อวี๋เฟิงมิได้เข้าไปข้างใน จึงนั่งด้านนอกกับสารถีรถม้า แต่ไป๋ถังก็ยังให้ผ้าขนแกะหนาๆ กับเขาหนึ่งผืน เขาพันมันไว้รอบตัว รู้สึกอบอุ่นประหนึ่งนั่งผิงไฟก็มิปาน

รถม้าหยุดลง ณ ทางเข้าหมู่บ้าน

อวี๋หวั่นซึ่งร่างกายกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เอ่ยขอบคุณด้วยความจริงใจ

ไป๋ถังโบกมือ กล่าวว่า “มะรืนนี้ข้าจะส่งคนมารับพวกเจ้า”

อวี๋หวั่นตอบอย่างเกรงใจว่า “ตัวตำบลไม่ได้ไกลมาก พวกเราไปเองได้”

ไป๋ถังเลิกคิ้ว “ใครบอกว่าบ้านข้าอยู่ในตัวตำบล”

……

ยามบ่ายแก่ๆ หิมะค่อยๆ ตกหนักขึ้น นอกบ้านเต็มไปด้วยลมหนาวและหิมะ แต่ในบ้านกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ

ถ่านหงหลัวลุกโชติช่วง

ฮูหยินเหยียนสวมเสื้อคลุมสั้นผ้าบาง ทว่ามิได้รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย

เบื้องหน้าของนาง พ่อบ้านตู้ซึ่งประจำในครัวกำลังพยายามสอบถามความคิดเห็น “...สั่งเนื้อกวางแล้วขอรับ ท่านคิดว่าควรเตรียมเนื้อลาสักหน่อยใช่หรือไม่ขอรับ มีคำกล่าวว่า บนสวรรค์กินเนื้อมังกร บนพื้นโลกกินเนื้อลา เหมาะแก่การใช้เลี้ยงแขกผู้สูงศักดิ์เป็นที่สุดขอรับ แต่ว่าราคาก็...”

พ่อบ้านตู้ว่าพลางเผยให้เห็นสีหน้าลำบากใจ

ฮูหยินเหยียนลูบขนแมวจอมเอื่อยเฉื่อยในอ้อมอก แค่นเสียง ‘หึ’ และกล่าวว่า “คนของจวนแม่ทัพอย่างพวกเราดูเหมือนขาดเงินอย่างนั้นหรือ? อะไรดี สิ่งใดทำให้แขกเหรื่อพอใจ เจ้าไปจัดการหามาให้หมด ไม่ต้องมาถามข้าทุกเรื่อง เจ้าจำไว้เพียงว่า พระชายาและคุณชายเยี่ยนก็จะมางานนี้ด้วย ห้ามทำขายหน้าเด็ดขาด!”

พ่อบ้านตู้ตกใจกลัวจนตัวสั่น “ขอรับ! ฮูหยิน!”

ตึง! ตึง! ตึงๆๆๆๆ!

ห่างออกไปไม่ไกล ก็เกิดเสียงดังตึงตังสะเทือนแก้วหู

แมวในอ้อมกอดของฮูหยินตกใจกลัว มันร้อง ‘เมี้ยว’ และวิ่งหนีไป

ฮูหยินเหยียนขมวดคิ้ว “ผู้ใดบังอาจเช่นนี้ มาทำเสียงอึกทึกครึกโครมในจวน ไม่รู้ว่าคุณหนูเดินทางมานานเท่าไร กำลังพักผ่อนอยู่ใช่หรือไม่ เจ้าไปดู แล้วไล่มันผู้นั้นไปเสีย!”

พ่อบ้านตู้ถูจมูก เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ใช่จวนของพวกเรา หากแต่เป็นคฤหาสน์สกุลไป๋ ได้ยินว่านายท่านของบ้านนั้นฉลองวันเกิด ถึงกับเชิญคณะละครมาแสดงโดยเฉพาะด้วยขอรับ”

....................................

Siguiente capítulo