บทที่ 33 ฝ่ามือเดียวก็บินหนีไป
อวี๋หวั่นไม่ได้หลับสบายเช่นนี้มานานแล้ว สบายเสียจนเธอเริ่มฝัน นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
ทว่า ความฝันของเธอออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
เธอฝันว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนหาดทรายนุ่มๆ อาบแสงแดดอุ่นๆ แต่ทันใดนั้นเองกลับมีลูกหมูป่าวิ่งมาจากที่ใดก็มิอาจรู้ได้ มันอ้าปากแล้วกัดเข้าที่นิ้วมือของเธอ
เธอสะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่ออก จึงยกฝ่ามือขึ้นมาปัดจนลูกหมูป่าบินหนีไป…
บนรถม้ามีแสงสลัว แสงสุกสกาวของไข่มุกราตรีส่องทะลุผ้าบาง
อากาศหนาวเหน็บ เมื่อหายใจ ก็ยังรู้สึกเหมือนสูดเอาลมหนาวเข้าไปเต็มปอด
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนเบาะนุ่มซึ่งดูยุ่งเหยิงเกินพรรณนา หน้าผากปูดขึ้นเป็นลูก ใบหน้าด้านขวามีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ ใบหน้าของเขาซีดเผือด
ลุงวั่นนั่งอยู่ข้างกาย ไม่กล้าระเบิดโทสะแล้ว
ใครจะคิดว่าคุณชายเยี่ยนผู้ซึ่งไม่เคยแม้จะแต่จะจับเส้นผมใครผู้นี้ จะไปงับนิ้วของเด็กสาวชาวบ้านเข้า…
“ฮึ่ม!” ลุงวั่นยกกำปั้นขึ้นใกล้ริมฝีปาก กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ใครให้ท่านล่วงเกินผู้อื่นเช่นนี้?”
พระชายาส่งสตรีมาให้ตั้งมากมาย ท่านไม่เคยสนใจ แต่กลับต้องมาล่วงเกินสตรีชาวบ้าน คุณชาย รสนิยมของท่าน รู้สึกจะเหนือกว่าคนอื่นสักหน่อยกระมัง…
แน่นอนว่านี่มิใช่เรื่องแปลก เรื่องแปลกที่สุดก็คือไฉนคุณชายจึงไม่ฆ่านางเล่า…
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาดูไม่ได้อย่างถึงที่สุด
ด้านข้าง ลูกสุนัขจิ้งจอกหิมะนอนน้ำลายยืดกอดไหใบเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อ
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมันขึ้นมาอย่างมีเลศนัย ทันใดนั้นก็เขย่าตัวมันจนตื่น!
ขนเส้นเล็กๆ บนหัวของมันตั้งขึ้น มันลืมตาด้วยความงัวเงีย สีหน้าดูมึนงง
คุณชายเยี่ยน “ไม่ให้นอน”
ลูกจิ้งจอกหิมะ ‘น้องจะนอน!’
คนและสุนัขจิ้งจอกทะเลาะกันเสียแล้ว
ลุงวั่นเกรงว่าตนจะต้องเข้าไปผสมโรงด้วย จึงรีบลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “ข้าเห็นว่าข้างนอกหิมะหยุดตกแล้ว ออกเดินทางได้ พวกเราเร่งเข้าเหมืองหลวงสักหน่อยจะดีกว่า”
เหตุผลที่แท้จริงก็คือคุณชายผู้สูงศักดิ์และมีเกียรติออกไปพบปะผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมนัก อาจทำให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสีย ทางที่ดีนั่งอยู่ในรถม้าอย่างว่าง่ายย่อมดีกว่า!
ลุงวั่นไปคืนห้อง จ่ายเงินค่าอาหารให้พ่อครัว เลือกอาหารที่ดูดีมาสองสามจานและนำติดไปด้วย
ท่านปู่มองดูรถม้าเลี้ยวออกไปจากสถานีส่งสารจากบนอาคาร สีหน้าระคนความสับสน
“ท่านปู่ ท่านเป็นอะไรหรือ?” เมื่อครู่เด็กหนุ่มลงไปดูม้าเหงื่อโลหิตที่ดรุณีน้อยรักษา เมื่อกลับมาก็พบว่าท่านปู่ของเขายืนนิ่ง จ้องมองไปในราตรี
เขามองตามจนรถม้าหายลับไปในความมืด เงามืดชั่วร้ายซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์พลันสลายไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ที่ควรตายกลับไม่ตาย ที่ควรอยู่กลับไม่อยู่...ไฉนเป็นเช่นนี้?”
“ท่านปู่ ท่านพูดอะไรรึ” เด็กหนุ่มฟังไม่เข้าใจ
“อ่า ไม่มีอะไร” ท่านปู่ได้สติกลับคืนมา มองเด็กหนุ่มหัวจรดเท้า เป็นสายตาของคนที่สูญเสียและได้กลับคืน แต่จะทำอย่างไรก็รู้สึกราวกับว่าไม่เคยทดแทนได้
“ท่านปู่ ทำไมท่านมองข้าเช่นนี้” เด็กหนุ่มเอียงคอด้วยความสงสัย
“ไม่ได้พบเจ้ามานานแล้ว...” ดวงตาของท่านปู่มีน้ำตารื้นขึ้นเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้อยู่กับท่านปู่มาตลอดหรอกหรือ?” เด็กหนุ่มมิได้สังเกตความผิดปกติของท่านปู่
ท่านพ่อท่านแม่ของเขาจากไปนานแล้ว เป็นท่านปู่ที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ ท่านปู่ไปที่ใด เขาก็ไปที่นั่น แม้แต่ยามที่ท่านปู่กลับเมืองหลวงไปรับตำแหน่ง เขาก็ไปด้วย!
“ยังอยากพักห้องใหญ่อยู่หรือไม่” ท่านปู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เด็กหนุ่มสลัดความคิดที่มีออกไป เขากอดอก พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกล่าวว่า “อยากสิขอรับ ห้องนี้หนาวเหลือเกิน! ข้าสั่นไปหมดแล้ว! แต่เดี๋ยวก่อน พวกเราเข้าพักห้องใหญ่ได้แล้วหรือ? เมื่อครู่มิได้บอกว่าจองไม่ได้หรอกหรือ?”
“ตอนนี้ได้แล้ว” ท่านปู่กล่าว
“เพราะเหตุใดเล่า” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
ท่านปู่หัวเราะ ลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา แต่มิได้ตอบคำถาม
…
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นเพราะรู้สึกโขยกเขยก เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นโคมไฟสลัวบนรถม้า ด้วยแสงไฟอ่อนๆ นั้น เธอมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนรถม้าซึ่งดูซอมซ่อกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า อวี๋เฟิงนั่งสัปหงกอยู่ด้านข้าง ศีรษะของเขาผงกขึ้นลงน้อยๆ ดูคล้ายลูกไก่กำลังจิกเมล็ดข้าว
เธอรู้สึกมึนงง
ทำไมรถเปลี่ยนเป็นอีกคันแล้วล่ะ?
เธอพยุงตัวลุกขึ้นมา
แกร็ก
เสียงไม้เก่าปราศจากการบำรุงรักษาก็ดังขึ้น
“ฮัดชิ่ว!”
“ในรถหนาวเหลือเกิน” เธอจามขึ้นมาทันใด
อวี๋เฟิงตัวสั่นเทิ้ม เขาลืมตาขึ้น หันไปทางนาง “เจ้าตื่นแล้ว”
“อือ” อวี๋หวั่นลูบแขน เธอรู้สึกปวดเมื่อย “พี่ใหญ่ ทำไมพวกเราเปลี่ยนรถเล่า?”
อวี๋เฟิงมองนางด้วยสายตาขุ่นเคือง “มิใช่ว่าเราเปลี่ยนรถ แต่เจ้าขึ้นผิดคันต่างหาก!”
หลังจากที่อวี๋เฟิงตามคนเดินหนังสือหวังไปจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จ จึงไปเช่ารถม้า เมื่อกลับมาก็หาอวี๋หวั่นไม่พบเสียแล้ว เขาหานางทั้งด้านในด้านนอก เรียกได้ว่าแทบพลิกสถานีส่งสารหาก็ว่าได้ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
“คงไม่ได้ถูกจับไปหรอกนะขอรับ”
เมื่อได้ยินเสมียนกล่าวเช่นนั้น อวี๋เฟิงก็กลัวจนหน้าขาวซีด
สถานีส่งสารมีผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมา ลูกตาปลาปะปนกับไข่มุก ขออย่าให้เกิดเรื่องเช่นนั้นกับน้องสาวของเขา
ในตอนที่เขาคิดจะไปแจ้งความนั้นเอง ก็มีบุรุษฉกรรจ์อายุประมาณสี่สิบปีเดินมา ถามเขาว่ากำลังหาคนอยู่ใช่หรือไม่ เป็นดรุณีน้อยอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด
เขาถึงรู้ว่าน้องสาวของตนขึ้นไปนอนบนรถม้าของผู้อื่น
“ข้าอยู่นอกรถม้า เรียกอย่างไรเจ้าก็ไม่ตื่น”
บุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นจึงให้คนเดินหนังสือหวังเรียกบ่าวสองคนมาพานางกลับไปยังรถม้าที่เช่าไว้
แม้อวี๋เฟิงจะมิได้เห็นโลกมามากเท่าไร แต่เมื่อเห็นว่าคนเดินหนังสือหวังมีท่าทีเคารพนบนอบเจ้าของรถม้าคันนี้มากกว่าที่ปฏิบัติต่อคนจากจวนแม่ทัพเจิ้นเป่ย ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนผู้นี้ต้องมีตำแหน่งใหญ่กว่าแม่ทัพเป็นไหนๆ
“โชคดีที่เขามิได้เอาเรื่อง” อวี๋เฟิงกล่าว เหลือบมองไปยังอวี๋หวั่น “อีกทั้งเจ้ายังใช้ผ้าห่มของเขาด้วย!”
“หืม?” อวี๋หวั่นตกใจ จากนั้นก็พบว่าบนร่างของเธอมีผ้าห่มซึ่งทั้งบางทั้งเบาผืนหนึ่งพันอยู่
อวี๋เฟิงรู้สึกอับอายจนไม่อยากหวนคิดถึงเรื่องนี้ บ่าวหญิงทั้งดึงจนเหงื่อแตกพลั่ก ทว่าทำอย่างไรก็ดึงผ้าจากมือนางไม่ออก บุรุษวัยกลางคนหัวเราะออกมา
สุดท้ายแล้ว บุรุษวัยกลางคนจำต้องยกผ้าผืนนั้นให้กับนาง
ในตอนนั้น เมื่อเห็นน้องสาวของเขาม้วนผ้าห่มเข้าหาตัว…
อวี๋เฟิงพูดไม่ออกจริงๆ “...”
“พี่ใหญ่ แล้วไหของข้าล่ะ” อวี๋หวั่นพลันหาไหใส่อาหารของตนไม่เจอ
อวี๋เฟิงครุ่นคิด “คงจะไปตกอยู่บนรถม้าอีกคันกระมัง ข้าจำไม่ได้แล้ว”
อวี๋หวั่นจับข้อมือของตนด้วยความผิดหวัง “ในนั้นยังมีลูกชิ้นทอดเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง ตอนแรกคิดไว้ว่าจะเอาไว้กินกับพวกท่าน...ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว”
อวี๋เฟิงกลั้นหายใจเฮือก จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก
........................................