บทที่ 29 พ่อลูกเชื่อมใจถึงกัน
ต้มหมูพะโล้กันมาทั้งคืน ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเต็มที จึงรีบแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน นางเจียงกับเถี่ยตั้นน้อยก็เข้านอนกันแล้ว
อวี๋หวั่นล้มตัวลงนอน ทว่าได้แต่พลิกตัวไปมา เพราะนอนไม่หลับ
ด้านนอกเริ่มมีหิมะตกแล้ว ราตรีเงียบสงัด แต่กลับรู้สึกหนาวเหน็บ
อวี๋หวั่นลูบผ้าห่มผืนบาง ไม่กี่วันมานี้มัวแต่ง่วนอยู่กับการหาเงิน ไม่มีโอกาสไปหาซื้อผืนใหม่ รอให้ทำการค้ากับคุณหนูไป๋สำเร็จ เธอจะพามารดากับน้องชายเข้าไปในตำบล ของที่ต้องซื้อเพิ่มเติมก็ซื้อมาแล้ว ส่วนของที่ต้องใช้ช่วงปีใหม่ ก็จะไปซื้อด้วยกัน
เมื่อกล่าวถึงของที่จำเป็นต้องใช้ช่วงปีใหม่ อวี๋หวั่นก็พลันนึกถึงท่านพ่อที่อยู่แสนไกล ทำให้เธอยิ่งนอนไม่หลับ
เธอจึงลงจากเตียง จัดแจงสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และถือตะเกียงน้ำมันเดินเข้าไปในห้องครัว
ห้องครัวนี้ไม่ดูไม่แร้นแค้นดังครั้นอวี๋หวั่นเพิ่งมาถึงที่นี่ ถังข้าวสารก็มีข้าวสาร ตู้กับข้าวก็มีแป้ง อีกทั้งยังมีเครื่องปรุงรสและเกลือ ตะกร้ามุมห้องก็มีหัวผักกาดกับผักกาดขาวที่ป้าสะใภ้ใหญ่เก็บมาจากแปลงของบ้านตน ในถังไม้ก็มีปลาเป็นๆ อยู่สองสามตัว และแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้คนน้ำลายสอมากที่สุดก็คือเนื้อหมูรมควันซึ่งแขวนอยู่บนผนังและวางอยู่บนเตา
เนื้อหมูรมควันเหล่านี้เป็นเนื้อที่ลุงใหญ่ลงมือแช่เกลือด้วยตัวเอง นำไปแขวนไว้ในห้องครัว หากไม่ได้ทำอาหารก็จะผึ่งลมเอาไว้ หากทำอาหารก็จะสามารถรมควันได้ เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งวัน รสชาติยังเค็มไม่เข้าเนื้อ เนื้อยังสดใหม่อยู่
อวี๋หวั่นหั่นเนื้อชั้นดีจากขาหลังของหมูออกมาได้หนึ่งก้อน เนื้อส่วนนี้มีเนื้อติดมันและเนื้อแดงในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งยังไม่มีไขมันเยิ้มจนเลี่ยน เหมาะกับการนำไปทำลูกชิ้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ลำพังเนื้อส่วนนี้ย่อมไม่เพียงพอ เธอจึงหั่นเนื้อจากขาหน้า สะโพก และเนื้อส่วนไหล่ของหมู
เธอจำได้ว่าในอีกโลกหนึ่ง ป้าใหญ่ชอบใช้เนื้อส่วนไหล่ของหมูทำลูกชิ้น เพราะเนื้อจะนุ่มกว่า
หลังจากสับหมูเรียบร้อยแล้ว เธอก็หั่นหอม ขิง และกระเทียมจนแหลก ใส่ใข่ไก่ป่าลงไป แล้วใส่ซีอิ๊ว แป้งข้าวโพด เกลือเกล็ดหิมะ น้ำมันงา และพริกไทย
อวี๋หวั่นท่าทางทะมัดทะแมง เพียงครู่เดียวก็คนผสมจนเข้าที่
เธอหยิบน้ำมันงาชามใหญ่ออกมา น้ำมันงาราคาแพงเหลือเกิน ปกติแล้วพวกเขาจึงกินน้ำมันหมู ทว่าครั้งนี้ เธอใส่น้ำมันงาลงไปในหม้อจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
ไม่นาน กลิ่นหอมของลูกชิ้นก็ลอยออกมาจากจากหม้อซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมัน
เมื่อทำลูกชิ้นเสร็จ เธอก็หยิบแป้งออกมาจากตู้กับข้าว และเริ่มลงมือทำแผ่นแป้ง
แสงไฟจากห้องครัวส่องสว่างไปจนถึงรุ่งเช้า
อวี๋หวั่นเช็ดเหงื่อบนหน้า ใกล้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว
อวี๋หวั่นยังทำอาหารไม่เสร็จ เพียงแต่ทำเจวี๋ยนปิ่ง[footnoteRef:1]ต้นหอมใส่เนื้อและผักเสร็จแล้วสามสี่ชิ้น นางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยยังไม่ตื่น เธอจึงนำอาหารไปให้ที่บ้านเดิมเสียก่อน [1: เจวี๋ยนปิ่ง อาหารชนิดหนึ่ง ทำจากแผ่นแป้ง ม้วนไส้ผัก เนื้อสัตว์ และไข่ไว้ด้านใน]
เนื่องจากวันนี้ต้องเข้าไปในตัวตำบลเพื่อจับจ่ายของสำหรับทำการค้า คนอื่นๆ จึงตื่นเช้า เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นเดินมา พวกเขาต่างรู้สึกงุนงง
“ไยตื่นเช้าเช่นนี้” ป้าสะใภ้ใหญ่ซึ่งมาเปิดประตูให้เอ่ยถาม
เธอหยิบเจวี๋ยนปิ่งอุ่นๆ จากในตะกร้าออกมา และยื่นให้พร้อมรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ท่านป้าใหญ่ ยังไม่ได้กินข้าวกันใช่ไหม ข้าทำเจวี๋ยนปิ่งมาให้พวกท่านกินรองท้องสักหน่อย”
ประจวบเหมาะกับที่ลุงใหญ่และสองพี่น้องเพิ่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ จึงเดินออกมาหน้าบ้าน
เมื่อได้ยินว่าเธอนำอาหารมาให้ ก็กลัวจนหน้าซีด!
“ไอหยา เหมือนว่าข้าจะลืมใส่เกลือ”
จากเดิมที่ทุกคนสีหน้าซีดเผือด ก็ปรากฏสีเลือดฝาดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าทำอาหารให้ท่านพ่ออีกเยอะเลย...โชคดีจริงๆ ที่ไม่ลืมใส่เกลือ”
กว่าที่สีเลือดจะปรากฏบนในหน้าของทุกคนได้นั้นยากเย็นยิ่งนัก บัดนี้ได้กลับกลายเป็นสีขาวซีดดังเดิม
……
หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว อวี๋หวั่นและพี่ชายอีกสองคนก็ขึ้นเกวียนเข้าไปในตำบล
“เจ้าจะส่งของไปให้ท่านอาสามจริงรึ?” อวี๋ซงเดินอยู่ด้านข้างเกวียน เขาเอ่ยถามพลางทอดสายตาไปยังอวี๋หวั่นซึ่งนั่งอยู่บนเกวียนพร้อมกับไหใส่อาหาร
อวี๋เฟิงกำลังจูงวัวอยู่ด้านหน้า
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใช่แล้ว ใกล้สิ้นปีแล้ว ข้าหวังว่าท่านพ่อจะได้ฉลองปีใหม่เช่นกัน”
“ส่งไปไม่ถึงหรอก” อวี๋ซงพึมพำ
ตอนที่อาสามไปเป็นทหาร เขาได้บอกไว้แล้วว่า เมื่อถึงชายแดนจะเขียนจดหมายมาหาพวกเขา ทว่าผ่านไปหกปีแล้ว พวกเขาไม่ได้รับข่าวคราวจากอาสามเลยสักนิดเดียว พวกเขาเขียนจดหมายไปหาอาสาม ก็ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับแต่อย่างใด
บางครั้ง พวกเขาก็สงสัยว่าอาสามอาจประสบเคราะห์ร้ายไปแล้วก็เป็นได้
แต่พวกเขาได้ยินว่า แม้จะไม่สามารถนำศพของเหล่าทหารกล้าที่สละชีวิตส่งกลับมาบ้านได้ แต่พวกเขาก็พยายามนำป้ายเหล็กมาส่งคืนให้
พวกเขาไม่ได้รับป้ายเหล็กของอาสาม นั่นแสดงว่าอาสามยังมีชีวิตอยู่
“ท่านพ่อต้องได้รับอย่างแน่นอน” อวี๋หวั่นกอดไหผักเอาไว้ พลางกล่าวด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
อวี๋ซงอ้าปากพะงาบ อยากบอกเธอว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ ทว่าคำพูดกลับมาหยุดตรงริมฝีปาก เพราะเห็นสายตาปรามของพี่ใหญ่ เขาจึงทำเพียงสงบปากสงบคำลงด้วยความหงุดหงิด
อวี๋เฟิงจูงวัวเทียมเกวียนต่อไป สองเท้าย่ำไปบนหิมะ “ไปซื้อกับข้าวกันก่อน ซื้อเสร็จแล้ว เสี่ยวซงขับเกวียนกลับบ้านไปก่อน ข้าจะพาเจ้าไปสถานีส่งสาร”
มุมปากของอวี๋หวั่นยกขึ้น “ได้”
หากมาแต่เช้า จะได้วัตถุดิบที่สดใหม่ แต่หากซื้อแล้วไม่รีบนำวัตถุดิบกลับไป ก็อาจส่งผลต่อคุณภาพและรสชาติของน้ำพะโล้ เรื่องของวัตถุดิบ ลุงใหญ่มีมาตรฐานสูงยิ่งนัก
ทั้งสามคนเข้าไปซื้อของในตลาด
เนื้อหมู เนื้อแพะ ไก่ เป็ด และผัก ล้วนแต่สดใหม่ พวกเขาซื้อมาอย่างละเล็กน้อย วันนี้มิได้จะทำอาหารสำหรับจัดขึ้นโต๊ะ แต่จะทำเพื่อส่งไปให้คุณหนูไป๋ลองชิม หากนางพึงพอใจอาหารประเภทใด อาหารประเภทนั้นก็จะได้จัดขึ้นโต๊ะ
อวี๋ซงจูงเกวียนกลับหมู่บ้านไปแล้ว
อวี๋หวั่นซื้อเสื้อผ้าฝ้ายหนาหนึ่งตัว และยาทาบรรเทาอาการอักเสบจากความหนาวชั้นดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในตำบล
ชายแดนหนาวถึงเพียงนั้น ท่านพ่อจะต้องได้ใช้อย่างแน่นอน
จากหมู่บ้านเหลียนฮวาไปทางตอนเหนือ เดินไปประมาณสิบหลี่ ก็จะพบสถานีส่งสาร ที่นี่เป็นสถานีส่งสารนอกเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุด ใช้สำหรับรวบรวมสาส์นจากทางการเป็นหลัก ส่วนจดหมายที่มิใช่ของทางการ หากสามารถสู้ราคาไหว ก็ย่อมส่งได้เช่นกัน
วันนี้สถานีส่งสารคนแน่นขนัด มีทั้งคนให้อาหารม้า คนเปลี่ยนม้า และมีผู้ที่มาพักแรมด้วย
“ตรงนั้น” อวี๋เฟิงพาอวี๋หวั่นเดินไปเพิงพักม้าทางซ้ายมือของสถานีส่งสาร
อวี๋หวั่นเห็นรถม้าสามคัน สองคันแรกบรรจุของจนเต็ม ส่วนคันสุดท้ายยังมีที่ว่างเหลืออยู่มาก
“นี่คือรถม้าที่จะไปกองทัพใหญ่ในซีเป่ย” อวี๋เฟิงชี้ไปยังสัญลักษณ์บนล้อรถ
“จากที่นี่ไปยังทัพใหญ่ในซีเป่ยไกลไหม” อวี๋หวั่นถาม
“พวกเขาใช้เส้นทางของทางการ ไม่เกรงกลัวระยะทาง” อวี๋เฟิงพูดขึ้น ราวกับคาดเดาความกังวลของอวี๋หวั่นได้ “อากาศหนาวเย็น ของก็สามารถเก็บได้นาน”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมในสมัยก่อนยังถูกทำลายไม่มากนัก ไม่มีภาวะเรือนกระจก เธอรู้สึกว่าฤดูหนาวของที่นี่หนาวเป็นพิเศษ กระนั้นเธอก็ห่อของเอาไว้อย่างดี
คนเดินหนังสือผู้หนึ่งถือแซ่ม้าเดินมา รถม้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว
อวี๋เฟิงเรียกเขา “พี่ชายท่านนี้ พวกข้าอยากส่งของสักหน่อย”
เมื่อพูดว่าส่ง ก็ย่อมต้องจ่ายเงิน
“ส่งไปที่ใดรึ?” คนเดินหนังสือเอ่ยถาม
อวี๋เฟิงตอบ “กองทัพใหญ่ซีเป่ย”
“กองทัพใหญ่ซีเป่ยหรือ มานี่มา” เขาเรียกสองพี่น้องไปที่รถม้าคันที่สาม “นี่เป็นรถเที่ยวสุดท้ายของปี พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี มีของทั้งหมดเท่าไรรึ”
อวี๋เฟิงมองไหใบใหญ่ที่ตนถืออยู่ และเหลือบมองไหใบเล็กในมืออวี๋หวั่นอีกสองใบ กล่าวว่า “มีไหสามใบนี้ แล้วก็ห่อผ้าด้านหลังข้าอีกห่อหนึ่ง”
“เที่ยวสุดท้าย ราคาจะค่อนข้างแพง” คนเดินหนังสือบอก
อวี๋เฟิงมองอวี๋หวั่น และตอบไปว่า “ได้”
คนเดินหนังสือแบมือ
อวี๋เฟิงนำของในมือตนและน้องสาวใส่ลงบนรถ
เมื่อคนเดินหนังสือกำลังจะรับเงิน ก็มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาจากทางเข้า บ่าวชายผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากรถ และวิ่งกระวีกระวาดเข้ามา
เขาเรียกคนเดินหนังสือไปอีกทาง ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน คนเดินหนังสือขมวดคิ้ว และเดินกลับมาพร้อมกับสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความลำบากใจ “ของของพวกเจ้าคงส่งไปไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ” อวี๋หวั่นถาม
คนเดินหนังสือมองไปยังรถม้าอีกสองคัน บ่าวผู้นั้นกับสารถีกำลังช่วยกันขนของลงมาจากรถม้าทีละกล่องๆ
เขากล่าวว่า “เห็นแล้วใช่ไหม ของเหล่านี้ยังใส่ไปไม่ได้ จะมีที่สำหรับใส่ของของพวกเจ้าได้อย่างไรกัน”
อวี๋หวั่นดูถมึงตึงขึ้นทันที “พวกข้ามาก่อนนะ”
คนเดินหนังสือหัวเราะพลางมองไปยังนาง เขากล่าวว่า “รู้ไหมว่าของเหล่านี้เป็นของที่จะส่งให้ใคร แม่ทัพกุยเต๋อหลางที่เพิ่งได้รับราชโองการแต่งตั้งขึ้น ทั้งหมดเป็นของที่คุณหนูจากจวนแม่ทัพเลือกด้วยตัวเอง หากรู้แล้วก็รีบนำของของพวกเจ้ากลับไปเสีย!”
...............................................