webnovel

023 โอกาสใหม่ทางการค้า

บทที่ 23 โอกาสใหม่ทางการค้า

ขึ้นเขาไปครั้งนี้ได้ของมามากมาย ไม่เพียงจับปลามาได้ หน่อไม้ก็ขุดมาได้มากกว่าเดิม ทั้งยังเก็บเห็ดมาได้อีกจำนวนหนึ่งด้วย

ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูที่เห็ดจะออก จึงเก็บมาได้ไม่มาก แต่เพียงพอให้ต้มกินเลี้ยงคนทั้งบ้านได้หนึ่งมื้อ

“ฟ้าจะมืดแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” อวี๋เฟิงกล่าวพลางมองท้องฟ้าสีหม่น

อวี๋หวั่นพยักหน้า “ควรกลับได้แล้ว”

“ไม่จับปลาเพิ่มอีกสักหน่อยหรือ?” อวี๋ซงรู้ดีว่าปลาจี้อวี๋เหล่านี้สามารถขายได้ราคาดี ครั้งก่อนๆ พวกเขาไม่ได้นำไปขาย จึงหวังว่าครั้งนี้จะหาเงินได้มากเสียหน่อย

อวี๋เฟิงตอบว่า “บนภูเขาไม่ปลอดภัย พอฟ้ามืด ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรออกมา”

อวี๋ซงแม้จะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เมื่อนึกถึงมารดาที่ยืนรอพวกเขาที่หน้าบ้านด้วยความเป็นห่วงแล้ว ก็ได้แต่เบะปากและเดินตามอีกสองคนลงเขาไป

เมื่อทั้งสามคนมาถึงหลังบ้านของอาหวั่น หิมะก็ตกลงมาอย่างหนัก

อวี๋ซงอ้าปากค้าง โชคดีที่กลับมาแล้ว!

วันนี้พวกเขาไปกินข้าวที่บ้านลุงใหญ่ นางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยไปตั้งแต่ก่อนอาหารกลางวันแล้ว อวี๋หวั่นให้พี่ใหญ่และพี่รองรุดหน้าไปก่อน ส่วนเธอก็จัดแจงเก็บหน่อไม้ ให้อาหารไก่และกระต่าย แล้วจึงนำเห็ดที่เพิ่งเก็บมาไปที่บ้านเดิม

ระหว่างทาง ก็พบกับป้าจางซึ่งกำลังเก็บฝักข้าวโพดตากแห้งอยู่

ป้าจางพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ไปกินข้าวที่บ้านลุงใหญ่หรือ?”

“ใช่ค่ะ ป้าใหญ่กินข้าวหรือยัง” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างนุ่มนวล

ป้าจางยิ้มจนตาหยี “กำลังจะกลับบ้านไปกิน”

อวี๋หวั่นตอบว่า “เช่นนั้นท่านป้าจางก็รีบกลับเถิด”

ป้าจางตอบรับและเดินจากไป

เมื่อเดินออกมาได้ไกลแล้ว นางก็หันไปมองด้านหลังของอวี๋หวั่น

เมื่อครู่นางอยากถามเด็กนั่นว่า กับบ้านสกุลจ้าวนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนคนเคยสนิทชิดเชื้อกลับกลายเป็นไม่สนิทภายในคืนเดียว แต่คนที่ก่อนหน้านี้ไม่ญาติดีต่อกัน กลับไปมาหาสู่กัน

แม้ว่าจะมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด แต่นางก็รู้สึกสงสัย ชาวบ้านต่างสงสัยกันทั้งนั้น…

ใกล้ถึงบ้านลุงใหญ่ อวี๋หวั่นก็ได้กลิ่นเนื้อต้มพะโล้หอมฉุยลอยมาเตะจมูก อยู่ที่หมู่บ้านเหลียนฮวามาตั้งนาน เพิ่งเคยได้กลิ่นต้มพะโล้ที่หอมถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก

ณ ห้องโถงของบ้านเดิม ป้าสะใภ้ใหญ่กำลังถือกับข้าวไปวางบนโต๊ะทีละจาน นางเจียงก็ช่วยดูแลบุตรสาวคนเล็ก ทางด้านเถี่ยตั้นน้อยก็ติดสอยห้อยตามอวี๋เฟิงและอวี๋ซงไปปล่อยปลาใส่ในโอ่งและถังหลังบ้าน

ทั้งสองบ้านมิได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมานานแล้ว ผู้ใหญ่ยังสามารถเก็บความรู้สึกได้ ทว่าเด็กๆ นั้นอย่างไรก็ซ่อนเอาไว้ไม่อยู่

บุตรสาวคนเล็กของลุงใหญ่พูดน้อย ทว่าเมื่อมาอยู่กับนางเจียง ก็จับกระโปรงของนาง พูดอ้อแอ้เจื้อยแจ้วไม่หยุด หลังบ้านก็ได้ยินเสียงของอวี๋ซงและอวี๋เฟิงหัวเราะร่าเช่นกัน

ยังไม่ถึงวันส่งท้ายปี แต่บรรยากาศในบ้านดูคล้ายกับวันส่งท้ายปีเป็นอย่างมาก

อวี๋หวั่นรีบเข้าไปช่วย

ป้าใหญ่ยกน้ำแกงผักและไข่เดือดปุดๆ มาวางไว้บนโต๊ะ นางพูดกับอวี๋หวั่นว่า “เรียบร้อยแล้ว เจ้ามานั่งเถอะ! เอาอะไรมาอีก? ไม่ต้องถืออะไรมาจากบ้านหรอก มีพอกินแล้ว!”

“เห็ดเพียงเล็กน้อย” อวี๋หวั่นยิ้ม นำตะกร้าส่งให้ป้าสะใภ้ใหญ่ “ท่านลุงใหญ่เล่า?”

“นั่นสิ ท่านแม่ แล้วท่านพ่อเล่า?” อวี๋ซงเพิ่งเก็บปลาเสร็จ ก็กลับมาพร้อมกับเหงื่อท่วมกาย

ป้าใหญ่รับตะกร้ามาและวางลง “ยังมีกับข้าวอย่างสุดท้าย ทำเสร็จก็มาแล้ว”

อวี๋ซงเรียกให้เถี่ยตั้นน้อยไปเรียกอวี๋เฟิงมาอย่างตื่นตระหนก

เมื่อครู่ท่านแม่พูดว่าอย่างไรนะ?

ท่านพ่อทำกับข้าว?

ท่านพ่อเข้าครัวรึ?!

อวี๋หวั่นมองสองพี่น้องด้วยความประหลาดใจ

นางเจียงจูงเจ้าตัวเล็กเดินมา กระซิบข้างหูอวี๋หวั่นว่า “ลุงใหญ่ของเจ้ามีฝีมือในการทำอาหาร เคยเป็นพ่อครัวใหญ่ในเมืองหลวง หลังจากที่ขาเจ็บ เขาก็มิได้จับตะหลิวอีกเลย วันนี้อาหวั่นมาที่บ้าน ลุงใหญ่จึงดีใจมาก”

เป็นเพราะ...เธอ?

อวี๋หวั่นตะลึง

อวี๋เฟิงและอวี๋ซงมองอวี๋หวั่นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

อวี๋ซงทำเสียง ‘หึ’ ด้วยความอิจฉา

“ขาหมูตุ๋นน้ำตาลมาแล้ว!” ลุงใหญ่ถือชามใบใหญ่มีควันฉุย เดินกะโผลกกะเผลกมา

“ข้าไม่ได้บอกให้ท่านวางไว้หรอกรึ!” ป้าสะใภ้ใหญ่คำรามในลำคอ รีบปรี่เข้าไปรับชามจากมือลุงใหญ่มา “เจ้าเฟิง ไปพยุงท่านพ่อเจ้า!”

อวี๋เฟิงเข้าไปพยุงบิดาตั้งแต่มารดาของเขาเริ่มเอ่ยปากแล้ว

ลุงใหญ่มองมองบุตรชายพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าไม่ต้องพยุง”

ลูกในไส้ที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไย “...”

อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปพยุงลุงใหญ่ให้นั่งลง

ฝีมือการทำอาหารของลุงใหญ่นั้นดีมาก อาหารพื้นบ้านที่ดูไม่สะดุดตาสองสามอย่างล้วนเลิศรส พริกหยวกผัด

ข้าวโพด เผ็ดกำลังดี หวานชื่นใจ รสหวานและเผ็ดของวัตถุดิบถูกดึงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมล็ดข้าวโพดแม้จะตากแห้งมาแล้ว แต่เมื่อกินเข้าไปกลับไม่รู้สึกว่าแห้งและแข็งแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเป็นข้าวโพดสดที่เพิ่งปอกเสียมากกว่า

สิ่งที่ทำให้อวี๋หวั่นน้ำลายสอมากกว่าก็คือกุยช่ายแผ่นกลมๆ ขอบด้านข้างสีเหลืองเกรียมเล็กน้อย ตรงกลางนุ่มจนแทบดูดเข้าปากได้

เกลือที่ครอบครัวของลุงใหญ่ซื้อจากร้านนั้น อวี๋หวั่นชิมแล้วไม่มีรสขมฝาดเลยแม้แต่น้อย

“ไข่” บุตรสาวตัวน้อยก็ยังอยากกิน

อาหวั่นคีบชิ้นใหญ่ให้นาง นางใช้ตะเกียบคีบกินอย่างเก้ๆ กังๆ

แน่นอนว่าอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือขาหมูตุ๋นน้ำตาล

เพียงแค่มองหนังหมูมันเลื่อมสีแดง แม้แต่หมูพะโล้ของหอหยกขาวและหอมรกตยังเทียบไม่ได้แม้ส่วนเดียว

“ข้ามีความคิด” เมื่ออวี๋หวั่นกินหมูชิ้นสุดท้ายในชามของตนหมด ก็วางตะเกียบลง วางสีหน้าเคร่งขรึมพลางมองไปยังคนในครอบครัวว่า “พรุ่งนี้ที่ตลาด ข้าจะไม่ขายเนื้อหมูแล้ว”

“เนื้อหมู” อวี๋เฟิงชะงักไป “เดี๋ยวก่อน พวกเราตัดสินใจเมื่อใดว่าจะขายเนื้อหมู พวกเราก็ไม่มี...”

เขาหยุดพูด

เขาลืมไปได้อย่างไร อาสะใภ้สามเพิ่งจะได้หมูจากนางจ้าวมาตัวหนึ่ง

อวี๋หวั่นมองอวี๋เฟิงด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้องแล้ว หมูตัวที่นางจ้าวชดใช้ให้พวกเรามานั่นแหละ ตอนแรกข้าคิดว่าจะเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งนำไปขายที่ตลาด ตอนนี้ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว ฝีมือการทำอาหารของท่านลุงใหญ่ดีถึงเพียงนี้ หากไม่แสดงออกมาก็น่าเสียดายนัก ข้าจะไม่ขายเนื้อหมูสด ขายเนื้อหมูต้มพะโล้เถอะ เนื้อต้มพะโล้ขายได้เงินมากกว่าเนื้อสด เพียงแต่ต้องลำบากท่านลุงใหญ่เคี่ยวน้ำพะโล้สักหน่อย”

ขายเนื้อต้มพะโล้ทำรายได้ดีมากกว่าอย่างแน่แท้ ทว่า ท่านพ่อของเขาจะเห็นด้วยหรือไม่นะ?

แต่ท่านพ่อเคยสาบานว่าจะไม่…

“ลำบากอะไรกันเล่า!” ลุงใหญ่ตบโต๊ะ “อาหวั่นเจ้าต้องการมากเท่าไร ลุงจะไปต้มให้!”

...........................................

Siguiente capítulo