บทที่ 17 ความจริง
เรื่องนี้จบลงด้วยการประกาศว่าสกุลจ้าวต้องชดใช้ด้วยหมูหนึ่งตัว
ไม่มีใครรู้สึกว่านางเจียงได้รับหมูหนึ่งตัวนั้นไม่เป็นธรรม มิหนำซ้ำยังคิดว่านางเจียงใจดีเกินไป หากเป็นพวกเขา คงต้องไปตบนางจ้าวเพิ่มอีกสักฉาดสองฉาด ทว่าแม้แต่ผมเส้นเดียวของนางจ้าว นางเจียงก็มิได้แตะต้อง
อวี๋เฟิงเห็นใบหน้าบวมฉุของนางจ้าว ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้…
โทสะของนางเจียงแปรเปลี่ยนเป็นความปรีดา นางพาลูกสาวและหมูอวบอ้วนซึ่งน้ำหนักกว่าสามร้อยจินกลับบ้าน ท่ามกลางความเห็นอกเห็นใจและการปลอบประโลมของบรรดาชาวบ้าน
อาหวั่นให้เงินป้าจางสองตำลึงเพื่อไปซื้อเนื้อหมูไม่ติดมันและหมูสามชั้นจากในตำบล
ป้าจางร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
เด็กคนนี้ คงไม่พูดพล่อยๆ!
เถี่ยตั้นน้อยนอนจนถึงเย็น เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็ได้ยินเสียงหมูร้อง
เขารีบรุดสวมรองเท้าที่อวี๋หวั่นซื้อให้ใหม่ วิ่งเตาะแตะไปยังหลังบ้าน จึงเห็นท่านพี่ ท่านแม่ และหมูซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดอีกหนึ่งตัว!
“ท่านแม่ ท่านแม่! ท่านฟื้นแล้ว!”
“ท่านพี่! บ้านเรามีหมูแล้ว!”
“อ๋า หมูตัวใหญ่มากเลย!”
เขาวิ่งกระโดดโลดเต้นไปมาด้านนอกเล้าหมู
เถี่ยตั้นน้อยเสียงดังโหวกเหวกไปทั่วหลังบ้าน ไม่รู้ว่าเขาตื่นเต้นที่ได้เลี้ยงหมู หรือตื่นเต้นเพราะท่านแม่ฟื้นแล้ว
นางเจียงตบตีนางจ้าวจนเหงื่อท่วมตัว นางจึงเข้าไปอาบน้ำในบ้าน
อวี๋หวั่นไปทำกับข้าวในครัว
เธอนำเนื้อหมูไม่ติดมันหนึ่งจินและหมูสามชั้นห้าจินไปสับ หั่นผักกาดขาว หมักแป้งข้าวโพด นำไปทำเป็นเกี๊ยวร้อนๆ หม้อใหญ่ ทั้งยังแบ่งหมูสามชั้นอีกจำนวนหนึ่งเอาไว้ผัดกับต้นกระเทียม
เถี่ยตั้นน้อยยืนอยู่ด้านหน้าเตา น้ำลายหยดแปะๆ
ในอีกโลกหนึ่ง พ่อและแม่ของอวี๋หวั่นจากไปเร็ว เธอไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับพ่อแม่มากนัก แม้จะกล่าวว่าป้าใหญ่เลี้ยงดูเธอมาจนโต แต่กระนั้นเธอก็มั่นใจว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างเธอและป้าใหญ่นั้นมิได้เหมือนกับแม่ลูกคนอื่นๆ
เพราะฉะนั้น การมีแม่เป็นอย่างไรกันนะ
อวี๋หวั่นมองเกี๊ยวและผักร้อนๆ ในหม้อ เธอชะงักไป และกล่าวต่อว่า “รอท่านแม่มากินด้วยกัน”
ควรจะ ควรจะเป็นเช่นนี้สินะ…
เถี่ยตั้นน้อยเดินเตาะแตะไปเรียกนางเจียง
หลังจากที่นางเจียงอาบน้ำเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นสวมชุดสะอาด เส้นผมที่เปียกชื้นพาดอยู่บนลาดไหล่ ผิวหนังดูขาวนวลจนแทบเห็นไปถึงเส้นเลือด นางมีดวงตาที่สดใสและมีเสน่ห์ นัยน์ตาประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
กาลเวลาบ่มเพาะโฉมสะคราญ หากมิได้เห็นด้วยตาตนเอง ใครจะเชื่อว่านางเป็นแม่ลูกสอง
นางเจียงเข้าไปในครัว
อวี๋หวั่นหลุบตาลง
เธอรู้สึกได้ว่านางเจียงเดินมาข้างๆ เธอ
บนตัวนางเจียงมีกลิ่นของสบู่ เธอก็ใช้สบู่นี้เช่นกัน แต่เมื่อดมแล้ว กลิ่นไม่ยักคล้ายกับนางเจียงเท่าไร
นี่คือ...กลิ่นของแม่หรือ?
ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยวิตกกังวลอย่างอวี๋หวั่น เมื่อเข้าใกล้นางเจียง ก็เกิดแขนขาสั่นขึ้นมา
นางเจียงอาจมิได้สังเกตเห็นอวี๋หวั่นที่ยืนตัวเกร็งอยู่ นางขยับเข้ามาใกล้ “เกี๊ยวเยอะเช่นนี้เลยหรือ?”
อวี๋หวั่นเอ่ยตอบ “จะทำไปให้ที่บ้านท่านลุงใหญ่ด้วย”
นางเจียงมองไปที่อวี๋หวั่นอย่างมีนัยยะ กล่าวว่า “เหตุใดจู่ๆ ก็นึกอยากเอาเกี๊ยวไปให้บ้านลุงใหญ่เล่า แต่ไรมาเจ้าไม่เคยสนใจพวกเขาเลย วันนี้เจ้ายังกลับมาพร้อมกับอาเฟิงเสียด้วย”
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เล่าเรื่องที่ตน ‘สูญเสียความทรงจำ’ ให้นางเจียงฟัง
นางเจียงฟังจบ ก็อุทานว่า ‘อ้อ’ ราวกับเข้าใจเรื่องราวในฉับพลัน
ไม่รู้ว่านาง ‘อ้อ’ เรื่องอะไร
อวี๋หวั่นไม่แน่ใจว่าคำพูดของตนนั้นน่าเชื่อถือมากเท่าไร ทว่าเธอกล่าวต่อด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “...หัวอาจจะกระแทกกับอะไรสักอย่าง สมองได้รับการกระทบกระเทือนเสียแล้ว”
นางเจียงเท้าคางและมองมาที่เธอ “แม่คิดว่าสมองเจ้าก่อนหน้านี้ต่างหากที่กระทบกระเทือน ตอนนี้หายดีแล้ว”
อวี๋หวั่น “...”
อวี๋หวั่นหมดคำจะพูด
นางเจียงยอมรับอาการสูญเสียความทรงจำของบุตรสาวด้วยความปีติยินดี การสูญเสียความทรงจำครั้งนี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของบุตรสาว
นางเจียงทอดสายตาไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้างราวกับกำลังใช้ความคิด พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ที่จริงบ้างเรื่อง...ลืมไปเสียก็ดี”
หมายถึงเรื่องระหว่างเธอกับสกุลจ้าวหรือ?
ที่จริงการแต่งงานนี้ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นเรื่องดี ไม่เอ่ยถึงเรื่องคู่หมั้นคู่หมาย ลำพังพฤติกรรมของแม่ลูกสกุลจ้าว ก็พอจะคาดเดาไว้ว่าหลังจากตบแต่งเข้าไปจะต้องเกิดปัญหาเป็นแน่
แต่ไม่รู้เพราะอะไร เธอจึงรู้สึกว่าท่านแม่ไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องนี้
หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็ได้ข้อมูลจากมารดามาไม่น้อย
ก่อนอื่น เธอรู้แล้วว่าที่จริงยุคที่เธออยู่ในตอนนี้มิใช่ยุคใดที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ประเทศที่เธออยู่นั้นเรียกว่า ‘ต้าโจว’ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในภาคกลางค่อนไปทางเหนือของแผ่นดินต้าโจว และอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง นับว่าเป็นหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในแถบนี้
มิใช่เพราะชาวบ้านกินมากแต่เกียจคร้าน แต่เป็นเพราะไม่กี่ปีมานี้เกิดสงครามบ่อยครั้ง แต่ละครอบครัวต่างต้องส่งคนไปเป็นทหาร ครอบครัวพลัดพรากจากกัน ไร่นาไร้คนทำ ค้าขายฝืดเคือง และค่อยๆ กลายสภาพเป็นเฉกเช่นทุกวันนี้
บิดาของอวี๋หวั่นก็ถูกเกณฑ์ไปรบ กระนั้นในครอบครัวยังมีลุงใหญ่ พวกเขาจึงใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น
อวี๋หวั่นชะงักไป “ท่านลุงใหญ่? เขาไม่ได้...”
นางเจียงพยักหน้า และเล่าถึงอาการบาดเจ็บของลุงใหญ่
ที่แท้ ลุงใหญ่เพิ่งขาเจ็บเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
หลังจากที่บิดาของอาหวั่นออกจากบ้านไป ลุงใหญ่ก็ทำมาหาเลี้ยงคนในครอบครัว เข้าเมืองหลวงไปทำงาน เขามีความสามารถ เพียงสองปีก็สามารถสร้างชื่อให้ตนเองได้ ในขณะนั้น ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านต่างอดอยาก มีเพียงครอบครัวนี้ที่ได้กินอาหารแพงๆ อย่างเนื้อสัตว์
“ลุงใหญ่รักเจ้ามากที่สุดแล้ว”
นางเจียงกล่าว
ในตอนนั้น บุตรสาวตัวน้อยยังไม่ลืมตาดูโลก อวี๋หวั่นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูล จึงเปรียบประหนึ่งแก้วตาดวงใจของลุงใหญ่
จวบจนปีนั้น...อวี๋หวั่นหายตัวไป
ทั้งบ้านต่างกระวนกระวายใจ ลุงใหญ่จึงลาออกจากงาน รวบรวมเงินและออกตามหาข่าวคราวของอวี๋หวั่นไปทุกที่
อวี๋หวั่นหายตัวไปหนึ่งปี เขาก็ตามหาอยู่นานหนึ่งปี หลังจากนั้นอวี๋หวั่นก็กลับมา ลุงใหญ่เดินตามหานางจนเท้าเน่า
อาหวั่นที่กลับมานั้นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ไม่สุงสิงกับผู้ใด นอกจากบ้านสกุลจ้าว
คืนหนึ่ง พายุฝนโหมกระหน่ำ นางจ้าวเป็นกังวลว่าบุตรชายมิได้หยิบเสื้อผ้าฝ้ายไปด้วย จึงให้อาหวั่นนำเสื้อผ้าเหล่านั้นไปให้จ้าวเหิงที่สำนักการศึกษา
อาหวั่นรีบไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
แม้แต่นางเจียงเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ทว่ากลับถูกลุงใหญ่เห็นเข้าเสียก่อน
ลุงใหญ่จึงออกไปตามอาหวั่นกลับมา ระหว่างทางเขาเห็นรถม้าคันหนึ่งควบมา ดูเหมือนว่ากำลังจะชนอาหวั่น เขาจึงพุ่งเข้าไปช่วย จนตนเองถูกรถม้าชน และตกลงไปในหุบเขา
............................................