บทที่ 15 แม่ลูกพบกัน
อวี๋เฟิงถือหนังสือสัญญาอยู่ในมือ ทว่าจิตใจกลับล่องลอยไปไกล
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องวุ่นวายที่แก้ไม่ตกจะได้รับการแก้ปัญหาแล้ว
จะพูดให้ชัดเจนอีกสักหน่อย ก็คืออาหวั่นแก้ปัญหาแล้ว
หลายวันมานี้ เขามองออกว่าเธอมิได้มีแผนอะไร และยิ่งเป็นเช่นนี้ เขายิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงทำเช่นนี้
“เจ้าเอานี่ไป”
เข้าใจหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง ควรแก้ไขปัญหาอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อวี๋เฟิงนำหนังสือสัญญายัดใส่มืออวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับหนังสือสัญญามา ไม่กล่าวอะไรและฉีกมันทันที
เขาตกตะลึง “เจ้า...”
อวี๋หวั่นกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “พี่ใหญ่ไม่ได้ให้ข้าฉีกสัญญานี่ทิ้งหรอกหรือ?”
ข้าให้เจ้าเก็บมันไว้ต่างหาก…
“มีโสมชั้นดีหรือไม่” อวี๋หวั่นยิ้ม พลางเบนสายตาไปที่เสมียนร้านยา
เสมียนร้านยากล่าวว่า “มี มีๆ”
อวี๋เฟิงหันหน้ากลับมา “เจ้าจะซื้อโสมไปทำอะไรหรือ”
อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “ท่านแม่ข้าต้องปรับสมดุลร่างกาย”
“อ้อ” อวี๋เฟิงตอบรับ
อวี๋หวั่นหัวเราะน้อยๆ “ท่านลุงใหญ่ก็ต้องการเช่นกัน”
สีหน้าของอวี๋เฟิงแฝงไปด้วยความประหม่า
สุดท้ายแล้วเขาก็มิได้ห้ามนาง ห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ เด็กคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือแต่ก่อน ก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น
อวี๋หวั่นเลือกโสมสีเหลืองสวยมาสองกิ่ง จ่ายเงินไปห้าตำลึง จากนั้นก็ยังอยากซื้อของให้ลุงใหญ่อีก แต่ถูกอวี๋เฟิงลากกลับเสียก่อน
อวี๋เฟิงจะกลับหมู่บ้าน อวี๋หวั่นร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ก็ได้ ยาไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ แต่ซื้อผักสักหน่อยเถิด ปลากับหน่อไม้ขายหมดไปแล้ว”
อวี๋เฟิงทำได้เพียงเดินไปซื้อผักเป็นเพื่อน
อวี๋หวั่นซื้อเนื้อไม่ติดมันสามจิน หมูสามชั้นสองจิน ขาหมูหนึ่งขา โป๊ยกั๊กและอบเชยอีกครึ่งจิน
เธอยังอยากซื้อผักอีกเล็กน้อย อวี๋เฟิงกระแอมในลำคอ กล่าวว่า “ผักพวกนี้เจ้าไม่ต้องซื้อหรอก ที่นาปลูกเอาไว้”
แน่นอนว่าไม่ใช่ที่นาของเธอ แต่เป็นที่นาของลุงใหญ่
นั่นหมายความว่าเขาอนุญาตให้เธอไปเก็บผักที่บ้านเขาแล้ว
มุมปากของอวี๋หวั่นกระดกขึ้นเล็กน้อย “ได้เลย”
อวี๋หวั่นยังซื้อเต้าหู้หนึ่งจิน และเกลือชั้นสองอีกยี่สิบจิน
“ยังจะซื้ออะไรอีกหรือไม่” อวี๋เฟิงกอบของที่อวี๋หวั่นซื้อขึ้นมา และแบกเอาไว้เอง
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ขนมกุ้ยฮวา”
ตอนนี้มีเงินแล้ว เธอจึงซื้อมาสองกล่อง
หลังจากซื้อขนมกุ้ยฮวาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เดินทางกลับหมู่บ้าน
เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้าน สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งซึ่งกำลังตากพริกแห้งที่หน้าหมู่บ้านก็กุลีกุจอวิ่งมาทางพวกเขา
ในตอนแรกนางตกใจที่เห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน แต่หลังจากนั้นก็พูดว่า “อาหวั่น เหตุใดเพิ่งกลับมาเสียป่านนี้ ที่บ้านเจ้าเกิดเรื่องแล้ว!”
“ที่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรือ?” อวี๋หวั่นไม่รู้จักนาง ไม่รู้ว่าควรเรียกนางว่าอย่างไร
“ท่านป้าจาง ที่บ้านอาหวั่นเกิดอะไรขึ้น?” อวี๋เฟิงถามขึ้น เขาจำได้ว่ามารดาของเขาเป็นคนดูแลเถี่ยตั้นน้อยและนางเจียง
ป้าจางจึงกล่าวว่า “ลูกสาวสกุลจ้าวจับเถี่ยตั้นตีน่ะสิ! แม่อาหวั่นไปจัดการสกุลจ้าวแล้ว!” นางพูด พลางมองไปยังอาหวั่นด้วยความกังวล “แม่เจ้าจะไปสู้กับสองแม่ลูกนั่นได้เสียที่ไหน? นาง...”
ป้าจางอยากพูดว่า ‘นางชั่ว’ ทว่าคำพูดกลับติดอยู่ที่ริมฝีปากเพราะจำได้ว่าอาหวั่นเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของนางจ้าว นางจึงได้แต่กล้ำกลืนคำว่า ‘นางชั่ว’ ลงคอไปด้วยความขุ่นเคือง
“เอาเป็นว่าพวกเจ้ารีบไปดูเถอะ! หากไปช้า ข้ากลัวว่าแม่เจ้าจะถูกนางตีตายเสียก่อน!”
นางเจียงเป็นสตรีผู้แสนอ่อนโยน ได้ยินว่านางมาจากในเมือง ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี พูดจาปราศรัยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ไหนแต่ไรมามิเคยถือโทษโกรธใคร มองอีกมุมหนึ่ง นางจ้าวก็ข่มเหงรังแกผู้อื่นมากเกินไป เห็นว่าบุตรชายตนเป็นซิ่วไฉ ในหมู่บ้านนี้ใครไหนเลยไม่เคยเจอโทสะของนาง
สีหน้าของอวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทันที เธอหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งและเขวี้ยงเข้าไปในบ้านสกุลจ้าว
ตัวคนยังมิทันไปถึง ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยน่าเวทนาดังออกมาจากด้านใน
“อ๊ากกก”
“อ๊ากกก”
“อ๊ากกก”
เจ็บจนร้องเสียงหลง!
อวี๋หวั่นโมโหจนตัวสั่น เธอเดินเข้าไปที่โถงกลาง หมุนตัวถีบประตูเปิดออกในครั้งเดียว!
เธอยกก้อนหินขึ้นมา หมายจะทุ่มลงไป แต่กลับต้องตะลึงเพราะภาพที่เธอเห็นตรงหน้า
เมื่อเห็นความยุ่งเหยิงในห้อง นางจ้าวผู้ซึ่งใครๆ ต่างก็บอกว่านางสามารถตีมารดาของเธอจนปางตายได้ บัดนี้กลับนอนสั่นระริกอยู่บนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของระเนระนาด นางขดตัว รองเท้าหลุด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่ย กางเกงก็ปริอีกด้วย
สตรีร่างบางผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนตัวนางจ้าวที่เต็มไปด้วยบาดแผล มือข้างหนึ่งจับผมของนางจ้าวไว้ มืออีกข้างหนึ่งถือรองเท้าส้นหนา ตบไปที่นางจ้าวจนเสียงดังป้าบๆๆ
นางจ้าวถูกตบจนศีรษะมีเลือดไหล ใบหน้าบวมเป่งประหนึ่งหัวหมู นางร้องโหยหวนดุจหมูถูกเชือด ยิ่งร้องยิ่งน่าเวทนา
ส่วนสตรีที่กำลังทุบตีนางอยู่นั้น ดูแล้วน้ำหนักไม่น่ามากกว่าแปดสิบจิน แต่อวี๋หวั่นกลับรู้สึกราวกับว่าบรรยากาศรอบตัวนางหนักสักแปดร้อยจินเห็นจะได้!
เอ๊ะ…
นางคือท่านแม่?
แล้วที่บอกว่าผอมแห้งแรงน้อยเล่า?...
ทั้งอวี๋หวั่นและป้าจางต่างตกตะลึงพรึงเพริดไปตามกัน
นี่คือนางเจียงจริงหรือ?
พวกเขาตาฝาดไปใช่ไหม?!
นางเจียงตบจนลืมตัว ทั้งยังไม่รู้ว่ามีคนเข้ามา ตบนางจ้าวซ้ายขวา “ลูกสาวข้าอีก! ลูกสาวข้าอีก! เอาชีวิตลูกชายเจ้ามาชดใช้!”
ลูกชาย? ป้าจางรู้สึกตกใจ
ทว่าแท้จริงแล้ว ป้าจางเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ผิดทั้งหมด
วันนี้จ้าวเป่าเม่ยมารังแกเถี่ยตั้นน้อย นางเข้าใจถูกแล้ว แต่ว่านางเจียงมิได้รู้เรื่องนี้ด้วย ในตอนนั้นนางก็ยังคงไม่ได้สติ
หลังจากที่เถี่ยตั้นน้อยกลับบ้าน ก็มิได้ไปฟ้องลุงใหญ่ เมื่อเขากินข้าวเสร็จก็นอนหลับไป
ป้าใหญ่จึงถือโอกาสขณะที่เขานอนกลางวัน กลับบ้านไปทำอาหารให้สามี
ความทรงจำของนางเจียงยังหยุดอยู่ ณ ขณะที่หมอบอกว่าอาหวั่นไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อนางได้สติ กลับเห็นเพียงเถี่ยตั้นน้อยที่กำลังนอนหลับ ไม่เห็นอาหวั่น นางคิดว่าร่างของอาหวั่นถูกฝังไปเสียแล้ว จึงเกิดโทสะ รุดไปยังบ้านสกุลจ้าว หมายเอาชีวิตจ้าวเหิงมาแลก
แม้จ้าวเหิงจะพร่ำบอกว่าอาหวั่นพลัดตกลงไปในน้ำ และเขาเป็นคนช่วยขึ้นมา แต่จะให้นางเจียงปักใจเชื่อได้อย่างไรเล่า?
ในเมื่อนางรู้ดีว่าอาหวั่นว่ายน้ำเป็น!
ในตอนแรกนางจ้าวเคียดแค้นเรื่องน้ำแกงไก่ แต่ก็ขี้คร้านจะอธิบายให้นางเจียงฟัง เอ่ยปากด่าทอนางเจียงว่าเป็นบ้า ทั้งยังบอกว่าที่บุตรสาวตายก็นับว่าสาสมแล้ว จากนั้นจึงถูกนางเจียงเข้าไปตบตีอย่างหนัก ภายหลังจะมาอธิบายว่าลูกสาวของนางยังไม่ตาย นางเจียงก็ไม่สนใจเสียแล้ว
“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย! จะตีให้ตาย! นางคนหน้าด้านไร้ยางอาย!”
คำบริภาษเช่นนี้...ทำเอาบุรุษอกสามศอกอย่างอวี๋เฟิงถึงกับยกมือขึ้นปิดหน้า
เมื่อนางเจียงพูดขึ้นว่าจะตีให้ตาย รองเท้าก็หักเสียแล้ว นางจึงใช้ฝ่ามือแทน
อวี๋หวั่นทนดูต่อไปไม่ไหว
หนังหน้าของนางจ้าวนั้นหนานัก แต่ท่านแม่กลับตบจนบวมไปหมด คนสันดานชั่วเช่นนี้ให้เธอจัดการเองจะดีกว่า
“ท่านแม่”
เธอมองนางเจียงจากด้านหลัง ค่อยๆ เอ่ยปากเรียกนาง
นางเจียงผู้ซึ่งไม่ได้ยินแม้แต่เสียงถีบประตู กลับได้ยินเสียงนี้ซึ่งถูกเสียงร้องของนางจ้าวกลบ และได้สติกลับมา
นางเจียงหยุดนิ่งทันที มือที่กำลังง้างเตรียมฟาดลงมาก็หยุดค้างกลางอากาศ
ท่าทางประหลาดเช่นนี้ของนางหยุดค้างได้ไม่ถึงสามวินาที
วินาทีต่อมา นางก็ลุกขึ้นยืนอย่างมิได้ลังเล หันกลับไปเหยียบลงบนขาของนางจ้าว ปัดกระโปรง ปลายนิ้วเรียวซีดขาวยกขึ้นจับผมดำขลับที่ยุ่งเหยิงทัดหู นางหันหลังกลับอย่างสง่างาม ใช้ปลายเท้าขวา เขี่ยรองเท้าที่ตนทำหักไปไว้ด้านหลังราวกับกำลังปกปิดความผิด
จากนั้น นางใช้มือหนึ่งกดขมับ อีกมือหนึ่งวางไว้บนหน้าท้อง และพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ไอหยา มึนหัวเหลือเกิน…”
...............................................