webnovel

0011 รสมือที่แท้จริง

ราชันเร้นลับ 11 : รสมือที่แท้จริง

ตามปรกติแล้ว ทุกคนต้องตายพร้อมกันในที่เกิดเหตุ?

หมอนั่นดีใจที่เรายังรอด? การรอดของเราถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์?

ไคลน์ยืนสั่นระริกครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งไปที่หน้าประตู มันคิดจะเปิดออกไปตะโกนขอให้ตำรวจมอบความคุ้มครอง

ขณะฝ่ามือกำลูกบิด ไคลน์พลันชะงัก

…ในเมื่อตำรวจหนุ่มคนนั้นเน้นย้ำขนาดนั้นว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เรายังรอด แล้วทำไมพวกมันถึงไม่จัดกำลังคนอารักขาคุ้มครองพยาน?

ไม่ผ่อนหย่อนยานไปหน่อยหรือ ทำไมถึงไม่พยายามเค้นความจริง?

บางที นี่อาจเป็นกับดักทำให้เราตายใจ…

เมื่อตกผลึกความคิดทั้งหมด ไคลน์เริ่มระแคะระคายว่า กรมตำรวจอาจลอบซุ่มจับตามองมันอย่างเงียบงัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไคลน์เลิกลนลาน มันบรรจงเปิดประตูพร้อมกับตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“พ…พวกคุณจะปกป้องผมใช่ไหม”

ตึก ตึก ตึก…

ไม่มีการตอบกลับจากตำรวจ เสียงรองเท้าหนังกระทบบันไดไม้ยังคงย่ำด้วยความเร็วคงที่

“ผมรู้ว่าพวกคุณทำแน่!!”

ไคลน์แสร้งตะโกนด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวสุดขีด พยายามทำตัวเหมือนเหยื่อบริสุทธิ์ที่ตกอยู่ในอันตราย

เมื่อเสียงฝีเท้าบางเบาลงจนจางหายโดยสมบูรณ์ ไคลน์พ่นลมหายใจพร้อมกับพึมพำ

“เราแสดงได้แนบเนียนรึเปล่านะ…”

ไคลน์ไม่วิ่งตามต่อ กลับกัน มันปิดประตูและกลับเข้ามาในห้อง

หลายชั่วโมงถัดมา ไคลน์แสร้งทำตัวกระสับกระส่ายหนัก หรือที่ศัพท์เทคนิคของโลกเก่าเรียกว่า อาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไคลน์แสร้งตึงเครียดจากการต้องอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน

ตนต้องได้รับรางวัลตุ๊กตาทองแน่!

ไคลน์ชื่นชมตัวเองในใจ

เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน เมฆขาวบริเวณขอบฟ้าถูกย้อมด้วยสีแสด ลูกบ้านของหอพักเริ่มทยอยกลับจากทำงานหรือเรียนทีละคนสองคน

สมาธิของไคลน์ยังคงจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง

“เมลิสซ่าใกล้เลิกเรียนแล้วสินะ…”

มันจำเป็นต้องลองเสี่ยงดู

หางตาชำเลืองมองเตาถ่าน ไคลน์รีบเดินเข้าไปยกกาน้ำร้อนขึ้นและคุ้ยกองถ่านเพื่อนำปืนลูกโม่ออกมา

ด้วยความเร็วสูง มันรีบวิ่งตรงไปยังเตียงไม้สองชั้นและหมอบลง ปืนถูกสอดไว้ระหว่างระแนงไม้ที่เรียงแถวกันใต้เตียง

เมื่อจัดการปืนเสร็จ ไคลน์ตั้งตัวยืนตรง ภายในใจเฝ้ารอให้ตำรวจผลักประตูห้องออกมาพร้อมกับพูดว่า ‘หยุดนะ! ยกมือขึ้น’ เหมือนกับในหนังสายลับ

เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง หมายความว่าตำรวจคอยจับตาดูพฤติกรรมของมันอยู่

ปัจจุบันคือยุคสมัยแห่งไอน้ำ ด้วยเทคโนโลยีล้าหลังซึ่งยังไม่มีกล้องวงจรปิด มันมั่นใจมากว่าการกระทำภายในห้องไม่มีทางถูกสอดแนมจากภายนอก

แต่ติดตรงที่โลกใบนี้มีพลังพิเศษและผู้วิเศษอยู่

หลังจากยืนใจจดใจจ่อนานหลายนาที บานประตูห้องไม่มีการขยับเคลื่อนไหว เสียงเดียวที่ได้ยินคือบทสนทนาระหว่างลูกบ้าน เกี่ยวกับการเดินทางไปยังไวลด์บาร์บนถนนกางเขนเหล็ก

“ฟู่ว”

ไคลน์ถอนหายใจ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทางตำรวจไม่ได้แอบสอดแนมตน

หมดปัญหาไปอีกหนึ่งเรื่อง วันนี้จึงเหลือเพียง รอให้เมลิสซ่ากลับจากโรงเรียนและทำสตูเนื้อแกะย่างใส่ถั่วให้เรากิน!

เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ในหัว น้ำลายไคลน์พลันไหลย้อยอัตโนมัติ กลิ่นหอมหวานของน้ำซอสเกรวี่ยังคงฝังแน่นในความทรงจำไคลน์คนก่อน

ด้วยความหิวโหย มันทบทวนวิธีการปรุงสตูเนื้อแกะใส่ถั่วของเมลิสซ่า

ก่อนอื่น ต้มน้ำให้เดือด เอาเนื้อแกะลงไปผัดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใส่หอมใหญ่ เกลือ และพริกไทยดำเล็กน้อย ปิดท้ายด้วยเติมน้ำเพิ่ม

เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ใส่ถั่วปากอ้าและมันฝรั่งตามลงไป จากนั้นก็ต้มด้วยไฟอ่อน ปิดฝาทิ้งไว้ราวสี่สิบนาที

“เป็นการปรุงที่ง่ายและหยาบมาก… หวังพึ่งรสชาติจากน้ำของเนื้อเพียงอย่างเดียว”

ไคลน์ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าตำหนิ

ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ในยุคสมัยเช่นนี้ ครอบครัวสามัญคงหมดสิทธิ์ครอบครองสูตรอาหารรสเลิศ ทำได้เพียงปรุงด้วยกรรมวิธีพื้นฐาน

ขอแค่วัตถุดิบหลักอย่างเนื้อไม่ไหม้ก็พอ ที่เหลือจะเป็นอย่างไรก็ช่าง โดยเฉพาะกับครอบครัวโมเร็ตติที่มีสิทธิ์กินเนื้อสัปดาห์ละสองมื้อ

บนโลกเก่า ไคลน์เองก็มิได้ปรุงอาหารด้วยฝีมือเลิศเลอนัก แต่อย่างน้อยก็ยังสละเวลาสัปดาห์ละสามถึงสี่ชั่วโมงเพื่อทดลองประกอบอาหารกินเอง

เมื่อสั่งสมประสบการณ์มากเข้า ฝีมือจึงอยู่ในระดับพอใช้ที่เหนือพื้นฐานเล็กน้อย

“ถ้ารอให้เมลิสซ่ากลับมาทำ กว่าอาหารจะเสร็จก็คงทุ่มครึ่ง เรากับเธอคงได้อดตายกันพอดี… ถึงเวลาต้องแสดงฝีมือการทำอาหารที่แท้จริงให้เห็นแล้วสินะ!”

เรื่องของเรื่องคือไคลน์หิว มันแค่ต้องการหาข้ออ้างได้ชิมก่อนเท่านั้นเอง

โดยไม่รีรอ ไคลน์ตรงไปยังห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำเปล่าจำนวนหนึ่งสำหรับประกอบอาหาร เมื่อกลับถึงห้อง มันนำเนื้อแกะล้างน้ำสะอาด หยิบแผ่นเขียงมาวาง ก่อนจะหั่นเนื้อเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ

สำหรับคำแก้ตัวเรื่องที่มันปรุงอาหารเป็น ไคลน์จะโบ้ยให้เวิร์ช·แม็กโกเวินรับไป

ข้ออ้างมีดังนี้ : ไม่เพียงเวิร์ชจะจ้างพ่อครัวฝีมือเยี่ยมซึ่งเชี่ยวชาญอาหารของรัฐเลียบทะเลมาปรุงอาหารเป็นการส่วนตัว แต่เวิร์ชยังกำชับให้พ่อครัวช่วยสอนทุกคนทำอาหารเพื่อติชมฝีมือ

ใช่แล้ว คนตายพูดไม่ได้!

‘เดี๋ยวนะ… บนโลกที่มีพลังพิเศษ บางทีคนตายอาจพูดได้ก็ได้…’

เมื่อตระหนักถึงความจริงดังกล่าว ไคลน์รู้สึกผิดกับตัวเองเล็กน้อย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มันคือผู้ที่เคยเผชิญเรื่องราวเหนือธรรมชาติกับตัวมาแล้ว

หลังจากสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ไคลน์นำเนื้อแกะที่สับหยาบมาใส่ชาม เดินไปนำกล่องเครื่องปรุงมาวางด้านข้างพร้อมกับใช้ช้อนตักเกลือโปรยลงในชาม เม็ดเกลือเกินกว่าครึ่งเก่าจนเป็นสีเหลือง จากนั้นก็โรยพริกไทยดำตามอีกเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือขยำเครื่องปรุงให้เข้าเนื้อ

หมอถูกวางลงบนเตาและจุดไฟ ขณะรอให้หม้อร้อน ไคลน์สับแครอทที่ซื้อมาเมื่อช่วงเช้าให้เป็นชิ้นเล็ก ทำแบบเดียวกันกับหอมใหญ่

เมื่อเตรียมการเสร็จ มันเดินไปยังกับข้าวและหยิบกระปุกบางสิ่งออกมา เป็นกระปุกมันหมูที่เหลือก้นขวด

ไคลน์ใช้ช้อนควักมันหมูใส่ลงในก้นหม้อที่เริ่มร้อน จากนั้นก็เทแครอทกับหอมใหญ่ลงไป ก่อนจะผัดให้เข้ากัน

กลิ่นหอมเริ่มโชยฟุ้ง ไคลน์ใส่เนื้อแกะลงในหม้อและบรรจงผัดอย่างตั้งใจ มันเฝ้าหม้ออยู่เช่นนั้นพักใหญ่

อันที่จริง ตามสูตรต้องใส่ไวน์ปรุงอาหารลงไปด้วย หรืออย่างน้อยก็ต้องไวน์แดง แต่ครอบครัวโมเร็ตติยากจนชนิดที่ดื่มเบียร์ได้เพียงสัปดาห์ละแก้ว เครื่องปรุงแบบไวน์ไม่มีทางปรากฏในครัว

มันรินน้ำเปล่าแทนส่วนของไวน์ จากนั้นก็ปิดฝา

ผ่านไปราวยี่สิบนาที ไคลน์เปิดฝาอีกครั้งพร้อมกับใส่ถั่วปากอ้าและมันฝรั่งลงไป ตามด้วยน้ำเปล่าหนึ่งถ้วยและเกลืออีกสองช้อน

มันปิดฝาและเบาไฟลง สีหน้าของไคลน์กำลังโล่งใจเมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

เหลือเพียงรอให้เมลิสซ่ากลับถึงบ้าน

เพียงไม่นาน ทั่วทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นเนื้ออันหอมหวน แทรกด้วยกลิ่นเอกลักษณ์ของมันฝรั่งและหอมใหญ่

เป็นกลิ่นอันกลมกล่อมลงตัว เรียกน้ำย่อยให้กับใครก็ตามที่สูดดมเข้าไป

ไคลน์หมั่นเปิดนาฬิกาใบองุ่นตรวจสอบเวลาเป็นระยะ

เมื่อผ่านไปราวสี่สิบนาที เสียงฝีเท้าที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอแต่ไม่เร่งรีบ เริ่มดังใกล้เข้ามา

กุญแจถูกเสียบ ลูกบิดประตูหมุนดังกริ๊ก บานประตูห้องถูกดันเข้าด้านใน

ยังไม่ทันจะได้ขยับเท้าเดิน เมลิสซ่าพลันชะงักพร้อมกับพึมพำด้วยสีหน้าฉงน

“หอมจัง…”

ขณะที่มือข้างหนึ่งยังถือกระเป๋า สาวน้อยเดินเข้ามาในห้องพลางชำเลืองหม้อต้ม

“นายเป็นคนทำ?”

เมลิสซ่าใช้มือหยิบถอดหมวกตาข่าย เธอมองไคลน์ด้วยสีหน้าสุดทึ่ง แววตาเปี่ยมด้วยความเคลือบแคลงเสียเต็มประดา

จมูกเมลิสซ่าฟุดฟิดอีกครั้ง เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรับกลิ่นหอมเข้าไปเพิ่ม ผ่านไปไม่นาน นัยน์ตาที่เคยตื่นตระหนกเริ่มสงบลง เมลิสซ่ามั่นใจ

“ฝีมือนาย?”

เธอถามย้ำ

“กลัวฉันจะทำเนื้อแกะเสียของรึไง?”

ไคลน์ตอบคำถามกลับด้วยคำถาม มันอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปโดยไม่รอคำตอบ

“ไม่ต้องห่วง ฉันขอให้พ่อครัวบ้านเวิร์ชสอนปรุงอาหารจานนี้ให้เป็นพิเศษ เธอรู้ไหม เขาเป็นพ่อครัวที่เก่งมาก”

“หัดทำครั้งแรก?”

เมลิสซ่าขมวดคิ้วตามนิสัยปรกติ แต่ปมคิ้วเริ่มคลายลงหลังจากสูดกลิ่นหอมเข้าไปเพิ่ม

“ฉันต้องมีพรสวรรค์ด้านนี้มากแน่”

ไคลน์อมยิ้ม

“ใกล้เสร็จแล้ว เอากระเป๋ากับหมวกของเธอไปเก็บก่อน จากนั้นก็ล้างมือให้สะอาด อาหารจะเสร็จพอดีเมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย ฉันค่อนข้างมั่นใจในรสชาติ”

เมื่อได้ยินพี่ชายสั่งอย่างฉะฉานเป็นขั้นเป็นตอนด้วยสีหน้ามั่นใจ เมลิสซ่าพลันยืนแข็งทื่อตรงหน้าประตู สายตาเปี่ยมด้วยความตะลึงและสงสัย

นี่ใช่พี่ชายตนจริงหรือ?

“หืม… ถ้าเธอไม่รีบไป เดี๋ยวเนื้อแกะก็เกรียมกันพอดี”

ไคลน์ยุแหย่

“ต…ตกลง!”

เมลิสซ่าได้สติกลับมา เธอรีบนำกระเป๋ากับหมวกเข้าไปเก็บในห้อง

เมื่อฝาหม้อถูกเปิด ไอน้ำสีขาวฟุ้งกระจายส่งกลิ่นหอมฉุย ไคลน์นำขนมปังไรย์สองชิ้นวางลงข้างถั่วกับมันฝรั่ง พวกมันจะถูกความร้อนและไอน้ำอบจนนิ่ม พอดีกับที่เมลิสซ่าเตรียมตัวเสร็จ

หลังจากเก็บกระเป๋าและหมวก เมลิสซ่าเดินออกไปล้างมือที่ห้องน้ำรวม จากนั้นก็กลับมาพบสตูเนื้อแกะใส่ถั่ววางเตรียมรอบนโต๊ะทานอาหาร

บนจานมีเครื่องเคียงหลายชนิด ทั้งมันฝรั่ง ถั่วปากอ้า แครอท และหอมใหญ่

ขนมปังไรย์สองก้อนถูกวางเคียงในสภาพอ่อนนุ่ม พวกมันมีร่องรอยการนำไปจิ้มน้ำซอสเกรวี่เล็กน้อย

“ลองชิมดูสิ”

ไคลน์ชี้นิ้วไปยังส้อมไม้ข้างจาน

เมลิสซ่ากำลังตะลึง เธอไม่ปฏิเสธ ส้อมไม้จิ้มลงไปยังมันฝรั่งก่อนจะถูกหยิบขึ้นมากัดคำเล็ก

กลิ่นแสนหอมหวนของมันฝรั่งฟุ้งกระจายเต็มปาก ผิวสัมผัสนุ่มละมุน รสชาติกลมกล่อม

น้ำลายในปากเมลิสซ่ากำลังคลุ้มคลั่งขณะเคี้ยวมันฝรั่งต้มหมดคำ

“กินเนื้อด้วยสิ”

ไคลน์ชี้ไปที่เนื้อแกะ

มันแอบชิมมาก่อนแล้ว จึงทราบว่ารสชาติอยู่ในระดับพ้นขีดมาตรฐานเพียงคาบเส้น แต่ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับครอบครัวสามัญชนในโลกปัจจุบันที่อาศัยอยู่

เมลิสซ่าไม่มีทางเคยกินอาหารรสนี้แน่ เพราะตั้งแต่เด็กจนโต เธอมีโอกาสกินเนื้อน้อยกว่าเด็กทั่วไปมาก

หลังจากได้ลิ้มรสมันฝรั่ง สีหน้าของเมลิสซ่าเปี่ยมความคาดหวังขณะเล็งชิมเนื้อแกะบนจาน

เมื่อกัดเข้าไปคำแรก สัมผัสที่แล่นไปทั่วร่างคือความอ่อนนุ่มละมุนลิ้น ใกล้เคียงคำว่าละลายในปาก

กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของซอสและเนื้อคละคลุ้งฟุ้งกระจาย น้ำเนื้อไหลฉ่ำปาก รสชาติราวกับอาหารจากสวรรค์

เป็นความรู้สึกที่เมลิสซ่าไม่เคยสัมผัสมาก่อนสักครั้งในชีวิต เธอควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ มือที่จับส้อมได้จิ้มเนื้อใส่ปากคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่อยู่

จนกระทั่งได้สติกลับมาในอีกหลายวินาทีให้หลัง เมลิสซ่ากินเนื้อเข้าไปคนเดียวหลายชิ้น

“ฉ…ฉัน เอ่อ… ไคลน์ ฉันเผลอกินส่วนของนายเข้าไป”

เมลิสซ่ากล่าวน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงก่ำอย่างเขินอาย

“ไม่เลย ฉันแอบชิมไปบ้างแล้ว นี่คือสิทธิพิเศษของพ่อครัว”

ไคลน์ตอบกลับพลางอมยิ้ม มันใช้ส้อมจิ้มเนื้อเข้าปากหนึ่งคำ สลับกับการตักถั่ว มันฝรั่ง แครอท หอมใหญ่มากิน

เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันวางภาชนะลงและฉีกขนมปังไรย์จิ้มน้ำซอสเกรวี่ใส่ปาก

เมลิสซ่ารู้สึกผ่อนคลายและทานอาหารได้มากขึ้นหลังจากเห็นท่าทีเป็นธรรมชาติของพี่ชายตัวเอง

“จานนี้อร่อยมาก ไม่เหมือนกับการหัดทำครั้งแรกเลย”

เมลิสซ่ากล่าวชมจากใจจริง เธอจ้องมองจานเปล่าตรงหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย

กระทั่งน้ำซอสยังแทบไม่เหลือ

“ยังห่างไกลจากฝีมือพ่อครัวบ้านเวิร์ชมาก ถ้ารวยกว่านี้ ฉันต้องพาเธอกับเบ็นสันไปกินอาหารในภัตตาคารให้ได้!”

ไคลน์กล่าวด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

“แล้วการสัมภาษณ์ของนาย… เอิ่ก!”

ยังไม่ทันที่เมลิสซ่าจะกล่าวจบประโยค เสียงเรอแห่งความพึงพอใจดังแทรกขึ้นมาจากลำคอ

สาวน้อยรีบใช้มือปิดปากด้วยใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาสั่นระริก

เป็นความผิดของสตูจานนี้ต่างหาก!

ม…มันอร่อยเกินไป!

ไคลน์แอบหัวเราะในใจ หากประเมินจากนิสัยน้องสาว การเย้าแหย่คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก

มันชี้ไปที่จาน

“หน้าที่ของเธอ”

“ได้เลย!”

เมลิสซ่ารีบลุกขึ้นและยกภาชนะไปยังอ่างล้างหน้าที่ห้องน้ำรวม

เมื่อล้างจานเสร็จสรรพและกลับมา เธอทำการเปิดตู้กับข้าวเพื่อสำรวจเครื่องปรุงและอุปกรณ์อื่นตามนิสัยปรกติ

“นายใช้พวกมันหรือ?”

เมลิสซ่าถามพลางขมวดคิ้ว เธอยกขวดพริกไทยดำกับกระปุกมันหมูขึ้นมาชู

ไคลน์ยักไหล่ยิ้ม

“แค่นิดเดียวเอง อยากได้ความอร่อยก็ต้องลงทุนหน่อย”

หางตาเมลิสซ่ากระตุกเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เธอหันกลับมาพูดกับไคลน์

“ให้ฉันทำอาหารเองดีกว่า”

“เพราะว่า… นายต้องตั้งสมาธิเพื่อเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์ งานของนายสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”

........................

Siguiente capítulo