บทที่ 6 วังหลังแคว้นหนานฉู่
"นายหญิง ดูเหมือนนางมีคำพูดอยากจะกล่าว" บุรุษหน้าขาวนายหนึ่งในชุดสีฟ้าของข้ารับใช้ค่อยๆขยับเข้าใกล้หญิงสาวชุดแดงที่แสนทรงเสน่ห์ กล่าวอย่างประจบสอพลอ เสียงแหลมเล็กของเขาที่ดังแทรกขึ้นฉับพลัน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและบรรยากาศที่หมดหวังช่างทำให้รู้สึกแปลกประหลาดและไม่เข้ากันยิ่งนัก
"หืม? ยังมีอะไรให้ต้องพูดกันรึ?" หญิงสาวนั่งเหยียดกายเอนหลังลงบนเก้าอี้ยาวที่ทำมาจากไม้หนานมู่ ร่างกายนางสวมใส่ชุดคลุมสีแดงหงส์ตัวใหญ่ บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎหงส์คู่สีม่วงทอง ตรงหว่างคิ้วแต่งแต้มด้วยจี้สีม่วงเข้ม ริมฝีปากของนางแดงสดราวสีเลือด คิ้วและดวงตาประหนึ่งภาพวาดที่ถูกรังสรรค์ ดวงตาทั่งคู่นั้นเหลือบมองไปยังหญิงสาวชุดน้ำเงินที่ใบหน้าซีดเผือดและยังมึนงงด้านข้างเล็กน้อย ก่อนส่งเสียงฮึออกมาอย่างเย็นชา กล่าวอย่างดูหมิ่น "เจ้าคนไร้ประโยชน์ ยังมีอะไรต้องให้พูดอีก?"
"อืม..." ข้ารับใช้ในชุดเขียวเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวชุดฟ้า ก่อนที่จะขยับหูเข้าไปใกล้ริมฝีปากราวกลีบดอกไม้ซีดไร้สีของนาง ผ่านไปสักพัก จึงรายงานกลับอย่างโง่งมและสับสน "นายหญิง บ่าวเองก็ไม่ทราบว่าหลัน
เฟย* เหนียงเหนียง**
พูดถึงอะไร แต่ดูเหมือนว่า จะพูดว่ามีพิมพ์เขียวหรืออะไรนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ?"
"พิมพ์เขียว?" หญิงสาวชุดแดงเลิกคิ้ว ก่อนเอ่ยต่อว่า "แปดส่วนคงตกใจกลัวเสียจนโง่เง่าไปแล้วกระมัง คิดไม่ถึง ว่าเจ้าตัวขี้ขลาดอย่างนี้ กลับกล้าทรยศหักหลังรัชทายาทไปแอบมีสัมพันธ์ลับกับชายอื่น นี่มิใช่รนหาที่ตายหรืออย่างไร?"
"พ่ะย่ะค่ะๆ" ข้ารับใช้ตอบรับอย่างเห็นด้วยหลายครั้ง บนใบหน้ายังประดับไปด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบก็ดังเข้ามา คิ้วของหญิงสาวชุดแดงขมวดย่นก่อนที่จะหันหน้ามองออกไป ตรงสุดทางของพระตำหนักที่หรูหรา หญิงสาวในชุดเสื้อแพรสามนางรีบเร่งเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นที่ก้าวอยู่ด้านหน้าสวมใส่ชุดสีแดงเข้มเช่นเดียวกัน หางตาของนางนั้นชี้ขึ้นเล็กน้อย นางไว้ผมทรงสูง ลำคอเรียวยาวขาวผ่องที่เชิดขึ้นอย่างถือดีมองมาทางหญิงสาวชุดแดงจากไกลๆพลางกล่าวเสียงดัง "
ไท่จื่อเฟย
***ประชวรหนัก วังบูรพาทั้งห้าต่างก็ถือครองตราประทับหงส์ร่วมกัน เวลานี้เกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ กลับมีเพียงพี่หญิงตันเฟยคนเดียวที่ลงมือจัดการ ตั้งใจจะยึดอำนาจหรืออย่างไรเจ้าคะ?"
ตันเฟยยกยิ้มเย็นครั้งหนึ่ง ดวงตาเรียวหงส์คู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย มองไปยังหญิงสาวที่รีบร้อนก้าวเข้ามาพลางกล่าวเสียงต่ำ "มิกล้า เพียงแต่ได้ยินมาว่าสามวันก่อนน้องหญิงโหรวเฟยเพิ่งแท้งลูก จึงไม่อยากรบกวนให้น้องหญิงตกใจก็เท่านั้น"
"ฮึ!" แม้โหรวเฟยจะได้รับพระราชทานนามว่า ‘
โหรว****
’ แต่ตัวคนกลับหาได้อ่อนโยนสมชื่อไม่ นางมองไปยังขบวนขนาดใหญ่ด้านหลังตันเฟย ก่อนกล่าวเสียงเย็น "ข้าแค่แท้งลูก มิได้ตาย ต่อให้ข้าพิการนอนอยู่บนเตียง ข้าก็ไม่อาจให้เจ้าทำสิ่งใดตามอำเภอใจได้ ใครก็ได้ รีบพยุงหลันเฟยขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ใต้หล้านี้ และในวังบูรพาแห่งนี้ล้วนมีกฎมีระเบียบ มิอาจให้คนต่ำต้อยไร้ยางอายมาตัดสินชีวิตผู้อื่นอย่างลวกๆ ได้!"
"หยุดเดี๋ยวนี้!" ตันเฟยรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ดวงตาหงส์ประกายความเยือกเย็น แผดเสียงออกมา "มีข้าอยู่ตรงนี้ อยากรู้นักผู้ใดจะกล้าลงมือ!"
"ข้ากล้า!" โหรวเฟยลุกขึ้น ขยับก้าวขึ้นมาด้านหน้าอย่างดุดัน "จูตันเฉิน ถึงแม้ไท่จื่อเฟยจะยังประชวรหนักอยู่บนเตียง แต่ยังมีข้าซั่งงกวนโหรวหลันอยู่ ทั่ววังบูรพาตลอดทั้งเจ็ดวังสิบสามตำหนัก หาใช่ตำหนักอวิ๋นเสียงของเจ้าใหญ่สุดไม่ เจ้าคิด**ยืมดาบสังหารคน******* ก็ลองถามข้าก่อนว่าข้ายินดีหรือไม่!"
"ข้าลืมไปว่า ตระกูลซั่งกวนนั้น**ไม้ล้มลิงกระเจิง******** ทว่ากลับมีเจ้าที่ไม่รักตัวกลัวตายอยู่อีก! ก็เอาสิ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้สมปรารถนา ให้เจ้าได้เห็นชัดๆ ว่าวังบูรพานี้ ใครกันแน่ที่เป็นผู้มีอำนาจ!" ตันเฟยยกมือขึ้นตบสองครั้ง ข้ารับใช้ในชุดสีเขียวนับสิบก็รีบร้อนล้อมกรูเข้ามา ตันเฟยยกยิ้มเย็นครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่พระสนมอีกสองนางที่เหลือพลางกล่าว "เฉินเฟย เต๋อเฟย ทางที่ดีพวกเจ้าหลบไปอีกทาง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไร้เมตตา!"
"จูตันเฉิน เจ้าอย่าข่มเหงผู้อื่นมากเกินไปนัก!" โหรวเฟยมองดูหญิงสาวใบหน้าซีดขาวในอาภรณ์สีฟ้าที่ยังสลบอยู่บนพื้น ทั้งยังคงถูกคนหลายคนจับเอาไว้ ในใจก็ให้รู้สึกโมโหยิ่งนัก จึงตะโกนเสียงดัง "หลันเฟยไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด หากเจ้าจะลงมือ ก็ให้มาทำกับข้า อย่าได้ลากผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย"
"น้องหญิงโหรวเฟยกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?" ตันเฟยเลิกคิ้วขึ้น มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย "ในห้องนอนของหลันเฟยแอบซ่อนสิ่งของของบุรุษเอาไว้ ตามกฎหมายของหนานฉู่ กล่าวได้ว่านี่เป็นการคบชู้ องค์รัชทายาทมีรับสั่งให้ข้ามีอำนาจเต็มที่ในการจัดการกับเรื่องนี้ จะกล่าวว่าข้าแอบวางแผนการได้อย่างไรกัน กลับเป็นเจ้า มาร้องเอะอะโวยวายอยู่ที่นี่ ผู้คนไม่ทราบเรื่องจะหาว่าข้าใช้อำนาจในทางมิชอบ ลอบทำร้ายหลันเฟย คำกล่าวที่ราวใส่ร้ายข้าเช่นนี้ของเจ้า ตั้งใจอะไรไว้กันแน่?"
กล่าวจบ ก็มองไปที่ข้ารับใช้ที่ยืนด้านข้างหลายคนก่อนกล่าว "พวกเจ้าทั้งหลาย พยุงโหรวเฟยเหนียงเหนียงให้ดี นางเพิ่งเสียครรภ์มังกร ร่างกายยังไม่หายดี หากว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ใช้หัวของพวกเจ้ารวมกันก็ชดใช้ไม่พอ!"
"พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!" เสียงตอบรับดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กลบเสียงร้องไม่พอใจของโหรวเฟยจนหมดสิ้น ตันเฟยหาได้สนใจความโกรธเคืองของโหรวเฟยไม่ นางค่อยๆ ก้าวไปยังหลันเฟยที่ถูกข้ารับใช้จับไว้ถึงแม้จะหมดสติอยู่ก็ตาม พลางกล่าวเสียงเย็น "งดงามจับใจผู้คน น่าทะนุถนอม น่าสงสารเช่นนี้ กลับทำเรื่องต่ำช้าไร้ยางอาย น้องหญิงทำไปเพื่ออะไรกัน?" สิ้นเสียง ดวงตาทั้งคู่จึงหันกลับไปมองโหรวเฟยที่ถูกข้ารับใช้จับไว้แน่นด้วยสายตาเย็นเยียบ มุมปากโค้งขึ้นยกยิ้มเย็น "หากจะโทษก็ต้องโทษที่นางสนิทสนมกับเจ้ามากจนเกินไป ยิ่งนางงดงามเช่นนี้ด้วยแล้ว จะไม่ให้ข้าเป็นกังวลได้อย่างไร?"
ดวงตาของโหรวเฟยขยายกว้างขึ้นทันใด เห็นตันเฟยค่อยๆ ยกมือขึ้น ระหว่างนิ้วมือของฝ่ามือขาวผ่อง ปรากฏแสงสีเงินของคมมีดสะท้อนเข้าดวงตา เสียงของลมที่ลัดเลาะผ่านทางเดินของพระตำหนักทั้งสองด้าน ปลายผมของตันเฟยขยับพลิ้วไหว ก่อนจะค่อยๆ วาดผ่านริมฝีปากแดงของนาง เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มร้ายกาจดุจปีศาจ ประกายแสงอันตรายวาดผ่านดวงตาของตันเฟยอย่างรวดเร็ว ตันเฟยส่งเสียงร้องฮึอย่างเยียบเย็นออกมาทีหนึ่ง ก่อนที่จะฟาดฝ่ามือที่คีบใบมีดอยู่ไปที่ใบหน้างดงามประณีตของหลันเฟยอย่างโหดเหี้ยม!
"กรี๊ด!" ทันใดนั้น ทั่วทั้งตำหนักหลันถิง ก็ก้องไปด้วยเสียงกรีดร้องหวาดกลัวของโหรวเฟย
ตันเฟยสะบัดมือครั้งหนึ่ง ดวงหน้าก้าวร้าว มุมปากยิ้มเย็น ราวกับปีศาจร้ายก็มิปาน
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างขึ้นทันใด เฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี ส่วนเต๋อเฟยที่แม้ใบหน้ายังคงเรียบเฉย แต่มือที่อยู่ข้างลำตัวกลับสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ในช่วงชุลมุนนั้นเอง ขนตาของหลันเฟยก็ขยับเล็กน้อย สะบัดขึ้นลงหลายครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ย้อนกลับไปในช่วงแห่งความเป็นและความตาย รอบด้านล้วนเงียบสงบราวกับความตาย ประหนึ่งผืนดินรกร้างที่โดดเดี่ยวว่างเปล่า และเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบงัน ดวงวิญญาณค่อยๆ ล่องลอยไปยังเส้นขอบฟ้าที่โศกเศร้า มองไปทางใดก็เห็นแต่ดวงวิญญาณที่สิ้นหวัง เรี่ยวแรงบนร่างกายทั้งหมดถูกสูบออกไปในพริบตา เป็นหรือตาย? หญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ทันใดนั้นแรงที่ฝ่ามือก็พลันกลับมา ดวงตาทั้งคู่ที่เพิ่งหลุดพ้นจากความมืดมิดยังไม่อาจปรับให้เข้ากับแสงแดดที่แสนสะท้อนดวงตานี้ได้ หญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าที่ดวงหน้าซีดขาวย่นคิ้ว แต่ก่อนที่จะได้สติกลับมาทั้งหมด ร่างกายนางกลับตอบสนองออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว นางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างดุดัน พลางยกฝ่ามือขวาขึ้นโจมตีกลับ ก่อนที่จะจับไปที่ข้อมือของฝ่ายตรงข้ามอย่างออกแรงเล็กน้อย พอได้ยินเสียงแตกร้าวของกระดูกที่ดังขึ้น มือเล็กอีกข้างก็ขยับตามอย่างรวดเร็ว หญิงสาวบิดข้อเท้าเล็กน้อย ร่างของตันเฟยที่สวมใส่ชุดสีแดงก็ล้มคะมำคว่ำลงไปนอนกับพื้นทันที
"กรี๊ด!" เสียงหวีดร้องที่ดังเสียดแก้วหูดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักฉับพลันทันที ทุกคนต่างมองดูสถานการณ์ระทึกขวัญที่พลิกผันเปลี่ยนไปอย่างตกตะลึง ดวงตางามของโหรวเฟยเบิกกว้าง ไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ชั่วขณะ
"เหนียงเหนียง! เหนียงเหนียง!" ไม่กี่อึดใจเหล่าข้ารับใช้ก็รีบพุ่งเข้ามา พยุงตันเฟยที่โอดร้องคร่ำครวญอยู่บนพื้นอย่างเตลิดวุ่นวาย สถานการณ์ในตอนนี้ช่างชุลมุนยิ่งนัก
โหรวเฟยสบโอกาสนี้สะบัดตัวหลุดอกจากข้ารับใช้ทั้งสองที่จับตนไว้ ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อดึงมือของหลันเฟย "น้องหญิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"แกเป็นใคร?" หลังจากมึนงงได้สักพัก สายตาของหลันเฟยก็เปลี่ยนเป็นคมเฉียบก้าวร้าวขึ้นทันที นางก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวังหนึ่งก้าว ก่อนมองไปยังโหรวเฟยที่อยู่ด้านหน้าอย่างเย็นชา พลางกล่าวเสียงต่ำว่า "ที่นี่คือที่ไหน?"
เวลานี้ ไม่เพียงแต่โหรวเฟยเท่านั้น แม้แต่ตันเฟยที่ยังคงล้มคะมำอยู่บนพื้นก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ โหรวเฟยที่เผชิญเข้ากับดวงตาคมดุจหิมะของหลันเฟย ก็ให้รู้สึกราวถูกมีดทิ่มแทงเข้าไปยังกระดูกยิ่งนัก กล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า "ชิง... ชิงเซี่ย ข้าก็คือโหรวเฟยอย่างไรเล่า เจ้า... นี่เจ้าเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?"
"ชิงเซี่ย?" หลันเฟยขมวดคิ้วเป็นปม นางค่อยๆ กวาดสายตามองไปยังผู้คนที่อยู่รอบๆ อย่างครุ่นคิดและระมัดระวัง ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องตันเฟยที่ถูกนางกำนัลพยุงอยู่ในที่สุด กล่าวด้วยเสียงหนัก "เลิกเล่นตลกสักที ไปเรียกลูกพี่พวกแกมา ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย!"
"ลูกพี่?" ดวงตางามของตันเฟยขยายกว้าง ก่อนจะชะงักราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ พลางกล่าวเสียงลึก "เจ้าหมายถึง ฝ่าบาทหรือ?"
"ระบบราชาธิปไตย?" หลันเฟยส่งเสียงพึมพำ ลุกขึ้นยืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว นางกวาดหางตาไปมองรอบๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะไปสะดุดกับกริชที่เหน็บอยู่ตรงบริเวณเอวของข้ารับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางจึงขยับตัวไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว ใช้มือไวราวกับสายลม คว้าเอากริชข้างกายขันทีออกมาได้ คมแสงราวหิมะของคมดาบที่แต่งเติมไปบนใบหน้าที่ขาวซีดของหลันเฟย ทำเอาผู้คนรอบข้างต้องสูดลมเย็นเข้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
ดวงตาทั้งคู่ของโหรวเฟยเบิกกว้าง มองดูหลันเฟยจ่อกริชไปที่ลำคอของตันเฟยอย่างตกตะลึง แล้วอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ฉันไม่สนว่าพวกแกจะเป็นใคร พวกเรามาตกลงกัน บนตัวของฉันมีสิ่งที่พวกแกสนใจอยู่ ไปเรียกใครก็ตามที่สามารถตัดสินใจได้ออกมา ถ้าไม่อย่างนั้น ทุกๆ สามนาทีฉันจะเชือดพวกแกที่อยู่ที่นี่ทีละคน เริ่มจากแกเป็นคนแรก!"
*
เฟย
เป็นคำเรียกชายา
**
เหนียงเหนี่ยง
ใช้เรียกพระสนมหรือฮองเฮา
***ไท่จื่อเฟย
คือชายาเอกขององค์รัชทายาท
****โหรว
คำว่าอ่อนโยนในภาษาจีนคือ 温柔 (เวิน โหรว) ซึ่งเป็นตัวเดียวกับคำว่าโหรว ในชื่อของโหรวเฟย
*****
ยืมดาบสังหารคน
คือไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือเอง พึ่งยืมกำลังและไพร่พลทหารของผู้อื่นเป็นฝ่ายกำจัดศัตรู
******
ไม้ล้มลิงกระเจิง
เป็นสำนวนอุปมาถึงผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อหมดอำนาจลง คนที่ติดตามก็แตกกระเจิงกันไป