"แล้วข้ากับท่านมีพลังงานธาตุใดอีกนอกเหนือจากธาตุไฟ?" หลังจากนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเสียงดังมากไป หากมีผู้อื่นมาพบเห็นเข้าเกรงว่าจะโดนกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าเพราะพูดคุยโต้ตอบอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นขณะถามต่อ ธีรพลจึงระงับความลิงโลดไว้ก่อนบังคับเส้นเสียงให้ลดเบาลง
"ธาตุลมอย่างไรเล่า" สุบรรณตอบ
"ข้ามี ธาตุไฟ และ ธาตุลม ไหลในกายหรือนี่!"
ธีรพลหงายมือทั้งสองขึ้นจ้องดูราวกับสามารถมองทะลุกายเนื้อเห็นพลังงานธาตุที่หมุนเวียนอยู่ภายใน
"รอให้เจ้าฝึกฝนได้มากขึ้นก่อนเถิด เจ้าจะสามารถสัมผัสได้เอง เอาละ ไหนๆก็พูดถึงธาตุลมแล้ว ในการประลองครั้งนี้ เจ้าอาจจะต้องได้ใช้พลังงานธาตุนี้เข้าหลบหลีกคู่มือ แต่จงระวังไว้ให้ดี เนื่องจากเจ้ายังไม่เคยได้สัมผัสใช้ธาตุนี้มาก่อน แม้พื้นฐานของทั้งสองธาตุในกายเจ้าจะมาจากกลุ่มธาตุร้อนเช่นเดียวกันก็ตาม แต่ลักษณะการใช้งานนั้นแตกต่างกัน คงต้องใช้เวลาในการปรับตัวอยู่พอสมควร" สุบรรณแนะนำ
"อืม" ธีรพลพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ ในขณะนี้แม้จะทราบว่าคู่ต่อสู้ที่กำลังจะเผชิญหน้ามีฝีมือเก่งกาจมากซึ่งอาจถึงขั้นเทียบได้ว่าห่างชั้นเลยก็ตาม แต่เมื่อได้รู้ความพิเศษอันน่าตระหนกของตนแล้ว ความมั่นใจจากเดิมที่มีอยู่ไม่มากก็เริ่มมีแสงแห่งความหวังส่องสว่างขึ้นรำไร
หลังจากนั้นธีรพลและสุบรรณก็ยังปรึกษากันต่อถึงเรื่องการปรากฏกายของสุบรรณเมื่อหยิบยืมใช้พลังงานธาตุ ซึ่งธีรพลรู้สึกว่าหากมีผู้คนพบเห็นเข้าคงจะเกิดเหตุการณ์โกลาหลแตกตื่นกันยกใหญ่ ดังนั้นจึงได้ขอให้สุบรรณอำพรางเงาร่างของตนไว้ ซึ่งทางด้านสุบรรณก็เข้าใจและสามารถกระทำตามได้โดยมีข้อแม้แต่เพียงว่า พลังงานธาตุที่หยิบยืมใช้ไปจะต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่มากไป เขาถึงจะสามารถอำพรางเงาร่างได้อย่างสมบูรณ์
"เฮียสมบัติ ขอบใจมากที่ช่วยอุดหนุนเงินที่จะนำไปประมูลซื้อพระพุทธรูปในค่ำวันนี้" เฮียจวงหัวเราะร่าด้วยความสะใจเอ่ยกล่าวต่อเฮียสมบัติผู้แพ้พนันที่ตอนนี้ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่
"ไอ้ก้าน เอ็งนี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ" เฮียจวงที่ตอนนี้หน้าแดงกล่ำไปด้วยความโมโหโกรธา ยกมือขึ้นตบหน้าขาตัวเองดังฉาดใหญ่ สบถด่านักสู้ที่ตนพนันเข้าข้างในลำคอทดแทนการต่อปากต่อคำกับเฮียจวง
"ผลการพนันขันต่อของเราสิ้นสุดลงแล้ว ในครานี้ข้าขอรับชัยชนะกลับไปเลยแล้วกัน" หลังจากต้องทนรับคำถากถางจากเฮียสมบัติอยู่เนืองๆมาโดยตลอด ขณะนี้เฮียจวงที่กำลังดีใจเป็นที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าววาจาข่มอีกฝ่าย เพื่อระบายความขับแค้นใจในอดีต
"ครานี้เฮียจวงเพียงโชคดีเท่านั้น เจอกันครั้งหน้า หวังว่าเฮียจวงจะไม่หลบลี้หนีหน้าเรา" แม้จะฉุนจัดก็ตาม แต่เฮียสมบัติก็ยังกัดฟันพูดจาเป็นปกติเอ่ยกลับไป
"ข้าพร้อมเสมอ" เฮียจวงตอบสั้นๆอย่างหนักแน่น
"วันนี้ไม่มีเหตุจำเป็นใดต้องรั้งอยู่อีก ข้าขอตัวกลับก่อน สวัสดี" เมื่อกล่าวเสร็จ เฮียสมบัติที่ไม่แม้แต่จะรอให้เฮียจวงเอ่ยล่ำลา ก็พุดลุกขึ้นและเดินจากไปในบัดดล
"ข้ามีความสุขจริงๆโว้ย ไอ้สิงห์ เพื่อนเอ็งนี่มันแน่จริงๆ ทั้งๆที่รูปมวยเป็นรองอยู่แท้ๆ" เฮียจวงยิ้มปริ่มหันกลับมากล่าวกับสิงห์ที่นั่งอยู่ในชั้นถัดลงมา
"ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันต้องทำสำเร็จ" สิงห์ที่ก็ยิ้มกว้างไม่แพ้กันเอ่ยกลับ
"เอาละ เพราะธีมันทำให้ข้าชนะพนันได้ ดังนั้นต่อจากนี้ไป หนี้ระหว่างเอ็งกับเฮียถือเป็นอันจบสิ้นกัน ความบาดหมางใดๆในอดีตก็ลืมมันไปเสีย" เฮียจวงหัวเราะร่าขึ้นอีกครั้ง ยื่นมือออกตบไหล่สิงห์ราวฉันมิตร ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายกลับกลายเป็นผ่อนคลาย โทสะใดๆที่เคยค้างคาใจกันก็ล้วนถูกลืมเลือนจนจางหายมลายสิ้น
"เออ แล้วในรอบต่อไป เกลอของเอ็งมีอัตราต่อรองอยู่เท่าใด?" เฮียจวงเอ่ยถามขึ้น
"เป็นรองอยู่หนึ่งต่อสี่" ทันทีที่ถามถึงหัวข้อนี้ สิงห์จากเดิมที่เคยยิ้มแย้มก็กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันตา
"สงสัยเกลอเอ็งจะเจอตอไม้ใหญ่เข้าให้แล้ว" เฮียจวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ กังวลใจแทนธีรพลที่ต้องพบเจอคู่มือที่มีฝีมือเหนือกว่าหลายขั้น
"ต่อจากนี้จะเป็นการประลองนัดสุดท้ายเพื่อตัดสินผู้ชนะเลิศของงานประลองประจำปีของพรรคม้าเหล็กเรา ระหว่างผู้ชนะจากสายบน เหลียนจากโพธิ์ท่าอิฐ" ฉานหัวหน้าพรรคม้าเหล็กปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยืนตระหง่านที่กึ่งกลางเวทีประกาศขึ้น พร้อมกับผายมือไปยังคุณชายนักสู้ที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่เบื้องล่าง
"และผู้ชนะจากสายล่าง ธีรพลจากเวียงพิงค์ ขอเชิญนักสู้ทั้งสองขึ้นบนเวที" ฉานเอ่ยต่อพร้อมผายมือไปยังธีรพล แล้วจึงเชื้อเชิญให้ผู้ชมบนอัฒจันทร์ลุกขึ้นยืนปรบมือต้อนรับนักสู้ผู้กล้าทั้งสองอย่างสมเกียรติ
ด้านธีรพลและเหลียนเมื่อได้รับสัญญาณก็พากันเดินเคียงคู่ขึ้นไปบนเวทีรูปวงกลมกลางน้ำ ตรงไปยังตำแหน่งที่ฉานยืนอยู่ ก่อนแยกย้ายกันไปคนละฝากฝั่ง ยืนประกบฝ่ายหลังไว้ยังกึ่งกลาง
"เรื่องกฎกติกาคงไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยย้ำอีก ข้าขอให้เจ้าทั้งสองสู้อย่างสุดความสามารถ สำหรับผู้ชนะจะได้รางวัลตามที่ได้ประกาศไว้ เริ่มประลองได้เมื่อพวกเจ้าพร้อม" ฉานหันมากล่าวกับทั้งสองครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินลงจากเวที เปิดพื้นที่ให้นักสู้ทั้งสองได้เตรียมความพร้อมก่อนการประมือ
"สวัสดีพี่ชาย" ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ธีรพลและเหลียนเพิ่งจะมีโอกาสได้พูดคุยกัน ดังนั้นธีรพลที่อายุน้อยกว่าอีกฝ่ายจึงเอ่ยทักขึ้นตามมารยาท
"ไม่ต้องมากธรรมเนียม ข้าในเวลานี้ไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเจรจาพาที เจ้าพร้อมเมื่อใดก็เข้ามาได้เลย" เหลียนตัดบทอย่างรำคาญ ซึ่งทันทีที่กล่าวจบพลังชีวิตอันหนาหนักก็พลันแผ่กำจายออกจากร่างในบัดดล และแม้จะอยู่ในท่วงท่าที่ดูปลอดโปร่งเป็นที่สุด แต่แรงกดดันอันไร้สภาพของเขาก็พุ่งเข้าจู่โจมธีรพลจนทำให้แทบขยับกายได้ไม่สะดวก
"น่ากลัวจริงๆ ชายคนนี้"
ธีรพลคิดขึ้นในใจ แต่ภายนอกก็ยังคงรักษามารยาทโค้งคำนับอีกฝ่ายก่อนตั้งท่ามวยลพบุรีเตรียมพร้อมเข้าประมือ
"พี่ชาย ออมมือด้วย" ธีรพลเอ่ยก่อนหลอมรวมจิตสมาธิเป็นหนึ่งปล่อยใจให้ว่างเปล่า รับรู้กระแสพลังงานชีวิตในกายของตนและการเคลื่อนของกระแสพลังจากอีกฝ่าย
เขาเร่งเร้าหมุนเคลื่อนพลังงานชีวิตในกายอย่างเร็วรี่ ร่างพลันพุ่งทะยานเข้าหาเหลียนด้วยความรวดเร็ว ย่นระยะห่างกว่าสามวาเพียงชั่วหายใจเข้าออกไม่กี่ครา
หมัดซ้ายหลอกพลันถูกปลดปล่อยออก ซึ่งเมื่อกำปั้นซ้ายถูกดึงให้วกกลับ ศอกขวาที่หมุนคว้างเป็นวงกลับหลังก็ถูกซัดออกอย่างว่องไว
"หิรัญม้วนแผ่นดิน"
ราวกับจะตรงเข้าที่ใบหน้าเหลียนอย่างถนัดถนี่ แต่ศอกข้างดังกล่าวของธีรพลกลับลอยผ่านเป้าหมายไปอย่างเฉียดฉิว
แม้จะคลาดเป้าไปแต่ธีรพลที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า การจะโจมตีรุกไล่เหลียนคงจะไม่ง่ายดายนัก ดังนั้นแทนที่จะกลับไปตั้งท่าใหม่ ธีรพลกลับดึงรั้งศอกขวา ชักประกบแขนทั้งสองข้างมาเข้าคู่กัน เล็งเสยเข้าที่ปลายคางอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
"หนุมานถวายแหวน"
และก็เป็นอีกครั้งที่เกือบจะถูกเป้าหมาย แต่หมัดคู่ของธีรพลก็ลอยเฉียดผ่านหน้าอีกฝ่ายไปเพียงไม่กี่นิ้วอย่างน่าเสียดาย
"ดี สมใจข้ายิ่ง เช่นนี้สิถึงเรียกว่าต่อสู้" เหลียนเอ่ยขึ้นขณะที่ร่างพลันเร่งความเร็วถอยห่างทิ้งระยะจากธีรพลออกมากว่าห้าก้าว ตั้งท่าจะเปลี่ยนจังหวะชิงเข้าจู่โจม
"ถึงตาข้าบ้าง ดูสิว่าเจ้าจะตามความเร็วของข้าทันหรือไม่" ทันทีที่จบประโยค เหลียนก็พลันพุ่งเข้าหาธีรพลด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทัน ซึ่งหากจะเปรียบเทียบดูแล้ว เหลียนนั้นยังเร็วกว่าไอ้ก้านถึงกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว
"เร็วมาก!"
ธีรพลยกมือทั้งสองขึ้นปกป้องใบหน้าตามสัญชาตญาณ ปรากฏว่าหมัดขวาจากเหลียนที่เหวี่ยงขวางเข้าหาก็กระทบถูกแขนข้างหนึ่งอย่างถนัดถนี่ พร้อมๆกันนั้นพลังแกร่งกร้าวสายหนึ่งก็ทะลักทลายดั่งน้ำป่ากระแทกทำนบ ส่งร่างธีรพลไถลขวางออกไปไกลกว่าสามวาในบัดดล
"แย่แล้ว สุบรรณ" ธีรพลคิดขึ้นอย่างไว
"ด้วยระดับพลังชีวิตของเจ้าไม่อาจสู้ความเร็วของอีกฝ่ายได้แน่ เจ้าต้องยืมพลังงานธาตุจากเราแล้ว" สุบรรณแนะนำ
"ขอเพียงตามความเร็วของอีกฝ่ายทัน ยังไงเสียก็ยังดีกว่าเดาสุ่มรับการโจมตีอยู่แบบนี้" ธีรพลผ่อนลมหายใจ พยุงตัวยืนขึ้นพลางนวดเฟ้นบรรเทาแขนข้างที่ปวดหนึบจนสลายคลาย
"ธาตุลม นั้นยากแก่การควบคุม ระวังด้วย!" สุบรรณเตือน
"มาแล้ว!"
ทันทีที่ได้รับพลังงานธาตุจากสุบรรณ เหลียนก็พลันเคลื่อนประชิดเข้ามาในระยะสองก้าว หมัดทั้งสองข้างพลันแยกย้ายเป็นหนึ่งบนหนึ่งล่างพุ่งเข้าที่ทรวงอกและท้องน้อย
กำปั้นที่ยังไม่ทันได้เคลื่อนที่ถึง ไอร้อนที่แฝงมากับตัวหมัดก็แผ่คลื่นความร้อนอันน่าตระหนกออกมา จนทำให้ห้วงอากาศรอบข้างร้อนอบอ้าวขึ้นในทันตา
และขณะที่หมัดอยู่ห่างจากธีรพลราวหนึ่งศอก ร่างของธีรพลก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าพลันพัดพลิ้วเป็นริ้วขึ้นโดยปราศจากแรงลมใดๆ ซึ่งทันใดนั้นเองร่างของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเคลื่อนขวางออกซ้าย เขยิบห่างจากวงต่อสู้ออกไปเกือบวาในชั่วพริบตาเดียว
โครม!
อาจจะเป็นเพราะเพิ่งได้เคยสัมผัสธาตุลมเป็นครั้งแรก แม้จะสามารถหลบรอดจากท่าโจมตีอันรวดเร็วของเหลียนมาได้ แต่ขณะที่ต้องการหยุดยั้งตัว ร่างของธีรพลก็กลับล้มคว่ำคะมำหงายลงอย่างไม่อาจยับยั้งเนื่องจากใช้พลังงานธาตุออกมามากจนเกินไป
"ธาตุลมอย่างนั้นหรือ!"
เหลียนคิดขึ้นขณะที่ร่างตามติดเข้าประชิดตัวด้วยความเร็วที่สูงขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว
วืด!
กรงเล็บของเหลียนคลาดจากการตะปบหัวไหล่ของธีรพลไปเพียงไม่กี่นิ้ว แต่ก็เพียงพอที่จะส่งให้ร่างธีรพลที่หลบหลีกอย่างยากลำบาก ล้มก้นจ้ำเบ้าลงพื้นไปอีกครา
แต่พอเมื่อผ่านไปอีกหลายกระบวนท่า นอกจากเหลียนจะไม่สามารถรุกเข้าทำร้ายธีรพลได้แล้ว การเคลื่อนไหวท่าร่างของธีรพลยิ่งนานก็ยิ่งราบรื่นปราศจากเค้าลางความทุลักทุเลดั่งเช่นที่เคยผ่านมา
แต่แทนที่เหลียนจะหัวเสียที่ไม่สามารถจัดการกับธีรพลได้ ทั้งๆที่ตนเองเป็นต่ออีกฝ่ายอยู่หลายขุมก็ตาม แต่ตอนนี้เขากลับยิ่งรู้สึกสะใจที่ได้ใช้พลังออกอย่างเต็มที่ เสมือนกับว่าได้ปลดปล่อยความอัดอั้นบางอย่างออกมา
"ข้าชักเริ่มชอบเอ็งขึ้นมาแล้ว อย่ารีบยอมแพ้ไปเสียก่อนเชียว" เหลียนเปล่งเสียงเอ่ยกับธีรพลพร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาอีกครั้ง เพียงแต่ครานี้กำปั้นจากที่เคยให้ความรู้สึกร้อนลวกกลับปรากฏสะเก็ดไฟกระจัดกระจายขึ้น
จนกระทั่งในขณะที่อยู่ห่างไม่เกินศอก กำปั้นข้างนั้นก็พลันเกิดเป็นสะเก็ดไฟแตกดังเพี้ยพะ ก่อนเปลวไฟสีส้มจะลุกขึ้นอย่างอัศจรรย์
พรึบ!
ท่อนแขนทั้งข้างกลับกลายเป็นเส้นเพลิงอันงดงาม กำปั้นกวาดเป็นเส้นโค้งผ่านหน้าธีรพลไปอย่างหวุดหวิด แต่กระนั้นด้วยความร้อนอันน่าตระหนกก็ทำให้ปลายเส้นผมของธีรพลบางส่วนถูกเผาทำลายลงจนหงิกงอ