"เฮียจวง ไม่พบกันเสียนานสบายดีหรือ?" เสียงชายวันกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยทักขึ้นจากทางด้านหลัง
"เฮียสมบัติ" โดยไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย หลังจากหันไปดูตามเสียง เฮียจวงก็กัดฟันเอ่ยชื่ออีกฝ่ายตอบกลับสั้นๆราวกับมีเรื่องราวความหลังที่ไม่ลงลอยกันอยู่ในที
"เฮียจวงก็สนใจพระพุทธรูปองค์นี้เหมือนกันหรอกหรือ ฉันก็ดั้นด้นมาจากเวียงโกศัย[1]ก็เพราะปรารถนาที่จะได้ครอบครองสมบัติชิ้นนี้เช่นกัน เหตุใดเราจึงได้ใจตรงกันเช่นนี้" เฮียสมบัติยิ้มหัวเราะร่า เดินเข้าหาตบไหล่เฮียจวงวางท่าทีราวกับสนิทสนมกลมเกลียวกัน
"เหล่าแปะ เฮียจวงให้ราคาเท่าใด ข้าให้เพิ่มเป็นสองเท่า" ดูท่าเฮียสมบัติก็จะยังไม่ทราบว่าของชิ้นดังกล่าวต้องผ่านการประมูลซื้อถึงจะได้มาครอบครอง จึงได้กล่าววาจาข่มเฮียจวงอยู่เช่นนี้
"ต้องขออภัย"
เหล่าแปะโค้งคำนับอีกครั้ง และทวนบอกกฎกติกาให้ทั้งหมดฟังอีกรอบ
"อีกสองวันจากนี้ เวลาสองทุ่ม จะเป็นกำหนดเวลาการประมูลสินค้าทั้งห้าชิ้นที่เบื้องหน้านี้ ในระหว่างนั้น ทุกท่านจะได้รับการดูแลจากทางเราเป็นอย่างดี เฮียจวง เฮียสมบัติ เชิญ เราจะให้เด็กๆส่งพวกท่านไปยังที่พัก" เหล่าแปะเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้ทั้งหมดออกจากบริเวณไป
หลังจากเหล่าแปะจัดสรรรถม้าและบอกกล่าวกำชับสถานที่ให้กับคนขับอย่างดีแล้ว ทั้งหมดก็จึงเอ่ยอำลาส่งแขกสำคัญทั้งสองไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้
"เฮียจวง สนใจใคร่อยากแก้มือจากที่แพ้พนันคราที่แล้วหรือไม่?" เฮียสมบัติเอ่ยขึ้น ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนรถม้าคนละคันแล่นเคียงคู่ไปพร้อมกัน
"อีกสองวันก็จะถึงวันประมูล ไม่กลัวเงินไม่พอหรือ? เฮียสมบัติ" แทนที่จะตอบกลับ เฮียจวงกลับพูดจาเหน็บแนมอีกฝ่ายออกมาอย่างเปิดเผย
"กลัวเฮียจวงจะเพิ่มทุนให้เสียมากกว่า" เฮียสมบัติหัวเราะร่า
"อย่างนั้นก็ลองกันดูสักตั้งเป็นไร" เฮียจวงที่ก็ต้องการรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ หลังจากในครั้งที่แล้วที่พบกัน เขาแพ้พนันไปอย่างฉิวเฉียด จนทำให้อีกฝ่ายคุยโม้โอ้อวดอยู่ได้จนถึงวันนี้
"วันพรุ่งนี้ พบกันที่สนามพรรคม้าเหล็ก" เฮียสมบัติเอ่ยนัดหมาย ก่อนจะหัวเราะร่าพร้อมกับสั่งให้รถม้าแยกตัวเคลื่อนขบวนไปยังบ้านพักที่ทางกิจการค้าวัตถุโบราณจัดสรรให้
สำหรับบ้านพักที่ธีรพลและคณะได้ถูกจัดสรรให้เข้าพัก เป็นบ้านไม้หลังใหญ่มีหลายห้องนอน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตลาดจีนออกมาเพียงราวหนึ่งกิโลเมตร ภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ถือได้ว่าเจ้าบ้านจัดการออกมาได้อย่างสมฐานะเฮียจวงผู้เป็นลูกค้าประจำดีเด่นยิ่ง
และกว่าที่ทั้งหมดจะจัดการแบ่งสรรขนสัมภาระเข้าห้องแล้วเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยเข้าบ่ายแก่แล้ว ทีแรกธีรพลคิดว่าจะออกไปเดินสำรวจเมืองเขลางค์นครเสียหน่อย แต่สิงห์เกลอรักกลับตอบปฏิเสธขอนอนพักผ่อน ดังนั้นธีรพลจึงต้องจำใจนอนแกร่วอยู่ภายในห้องจนกระทั่งถึงเวลาจุดไต้เข้าไฟ
ทันทีที่ฟ้ามืดค่ำลงอาหารการกินก็ถูกจัดส่งเข้ามายังบ้านพักที่เป็นเอกเทศอยู่ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเหล้ากลั่นสุราต้มของดีจากท้องถิ่นให้ทั้งหมดได้ดื่มกินอย่างไม่อั้น นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดเจ้าของสถานที่ยังทุ่มทุนจ้างวานหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยหลายนางมาปรนนิบัติพัดวีร้องรำทำเพลงรินสุรา ในบางครั้งก็ถึงขั้นล้วงลึกถึงเนื้อถึงตัวใช้จริตมารยาล่อหลอกเสียจนหลายคนเกิดกำหนัดเสียอาการต่อหน้าทั้งหมด ซึ่งเฮียจวงที่หน้าบูดบึ้งมาทั้งบ่ายก็ยังไม่เว้นถูกอาการนี้ระบาดใส่ โทสะที่เคยมีแทบสลายคลายไปจนหมดสิ้น
ถือได้ว่าการซื้อใจทุ่มทุนเลี้ยงดูปูเสื่อของเจ้าของสถานที่ในคราครั้งนี้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งเฮียจวงและลูกน้องในเวลานี้ดื่มด่ำจนเมามายพลางเอ่ยชมเฮียสามและเหล่าแปะไม่ได้ขาดปาก ไม่เว้นแม้แต่สิงห์ที่ก็ปล่อยตัวปล่อยใจส่องเสพกับความสุขทางกายนี้อย่างเต็มที่ ตัดกับธีรพลที่คิดต่างเพียงแต่ดื่มกินอย่างพอเหมาะและไม่ยุ่งเกี่ยวแตะต้องหญิงใด
"ไอ้ธี นานๆจะได้มีความสุขแบบนี้ เอ็งไยไม่ปล่อยให้น้องๆเขาได้ดูแลเอ็งสักหน่อย" สิงห์เอ่ยขึ้น ก่อนจะเอียงคอหอมแก้มหญิงสาวที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายพร้อมกับลวนลามอีกฝ่ายอย่างย่ามใจ
"ยกให้เอ็งเลยแล้วกัน ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเสวยสุข" ธีรพลตอบอย่างรำคาญ
"ข้ารู้ ว่าเรามาที่นี่เพื่อทำงานชดใช้หนี้ แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับการหาความสุขที่ตรงหน้าไม่ใช่หรือ หรือว่า...เอ็งกังวลใจเรื่องหญิงที่ชื่อนวล?" สิงห์เอ่ยกล่าวอ้างอย่างมีเหตุผล
"นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่เอาเป็นว่าข้ายังไม่มีกะจิตกะใจอยากเสเพลในตอนนี้" ธีรพลเอ่ยตอบอย่างเปิดเผย ก่อนจะกล่าวขอตัวหลีกหนีจากงานสังสรรค์ออกไปเดินเล่นที่เบื้องนอก
ธีรพลเดินเตร็ดเตร่ออกจากบ้านพัก ผ่านถนนสายหลักจวบจนพบเข้ากับสะพานขาวทางสัญจรหลักที่ใช้ข้ามแม่น้ำวัง เวลานี้ทุกที่ทางเงียบสงัด บ้านเรือนร้านค้าทั้งหมดปิดประตูลงดาลไว้แน่นสนิท ความมืดจึงปกครองพื้นที่ส่วนมากไปโดยปริยาย แต่แปลกตรงที่แม้จะมืดมากเท่าใดก็ตาม แต่ในสายตาของธีรพลกลับมองสังเกตเห็นรายละเอียดต่างๆได้อย่างน่าประหลาด
แน่นอนว่าสายตาที่ดีขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการบังคับใช้พลังงานชีวิตภายในกายได้คล่องแคล่วขึ้น และยิ่งในยามที่พลังงานภายในกายเกือบเต็มเปี่ยมเช่นนี้ หลังจากจิตสั่งการ พลังงานชีวิตก็พลันหมุนเคลื่อนหนุนเนื่องผ่านเส้นลมปราณ หล่อเลี้ยงอวัยวะและมัดกล้ามเนื้อเหล่านั้นทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พูดได้ว่าในขณะนี้ธีรพลสามารถเพิ่มศักยภาพร่างกาย หยัดยืนบนขั้นว่างเปล่าได้อย่างมั่นคงดีแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่การฝึกฝนควบคุมพลังงานชีวิตเข้าใช้ในสถานการณ์จริงให้คล่องแคล่วชำนาญเท่านั้น
"สุบรรณ"
ธีรพลทดลองส่งเสียงร้องเรียกทางกระแสจิต นึกทดสอบดูว่าเรื่องที่เกิดเมื่อเช้านี้ไม่ได้เกิดจากอาการหลอนหรือฝันไป
"มีอะไรหรือ?" เสียงสุบรรณตอบก้องในหัว
"เรื่องจริงแหะ" ธีรพลพึมพำ
"จริงแท้แน่นอน ไม่ได้ฝันแต่อย่างใด" สุบรรณที่รับรู้ในทุกความรู้สึกนึกคิดของธีรพล จึงได้เอ่ยไขข้อข้องใจโดยที่ธีรพลไม่ต้องไถ่ถาม
"เมื่อกลางวัน ที่บอกว่าเหลือพลังงานธาตุเพียงสามส่วนนั้นหมายความว่าอย่างไร?" ธีรพลพลันเอ่ยถามเรื่องราวที่ค้างคามาตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าต่อ
"อย่างที่เคยบอกว่าอัตลักษณ์พลังนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่โดยปกติทั่วไปจะเป็นการรวมตัวกันของพลังงานธาตุที่บริสุทธิ์ ซึ่งพอนานวันเข้าหลายร้อยหลายพันปี พลังงานกลุ่มนั้นก็จะเกิดอัตลักษณ์หรือรูปลักษณ์ที่มนุษย์เห็นขึ้น และถ้าโชคดีหากสามารถคงสภาพผ่านกาลเวลาอย่างยาวนานมาได้ก็จะเกิดปัญญาญาณขึ้น ซึ่งก็จะทำให้สามารถมีความคิด สามารถเลือกกระทำได้ตามใจ มีจิตสติปัญญาเป็นของตัวเอง แต่อัตลักษณ์พลังก็เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็คือไม่สามารถที่จะคงอยู่ได้ตลอดกาล ซึ่งเมื่อพอเวลาสิ้นวัฏจักร พลังงานที่สะสมไว้และจิตที่สถิตอยู่ ก็จะแตกสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม แต่ในกรณีของเรา ขณะที่จะสิ้นวัฏจักรดวงจิตจะแตกสลาย พลังงานใกล้แตกซ่านสูญสิ้นอยู่เต็มที แต่เพราะพลังบางอย่างหรืออาจจะเป็นโชคชะตาที่ฉุดรั้งเราไว้ จึงทำให้ดวงจิตและพลังงานบางส่วนของเราถูกชักนำให้เข้าไปสถิตอยู่ในร่างของเจ้าที่อยู่ในครรภ์มารดาราวปาฏิหาริย์ จิตเราจึงยังคงอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป โดยที่พลังที่เคยเกรียงไกรในอดีตก็หลงเหลือเพียงที่บอกให้เจ้าทราบ" สุบรรณสาธยาย
"แล้วพลังงานที่เหลือเล่าไปยังที่ใดแล้ว?" ธีรพลสอบถามต่อ
"ขณะที่ดวงจิตกำลังถูกเคลื่อนย้าย พลังงานที่เหลือก็ได้แตกกระจายออกเป็นเจ็ดกลุ่มใหญ่พุ่งกรีดผ่านทางฟ้าออกไปคนละทิศละทาง เราเพียงแต่รับรู้ได้ด้วยจิตว่าก้อนพลังงานเหล่านั้นยังคงอยู่ครบถ้วน แต่ปัญหาคือไม่รู้จริงๆว่าอยู่ที่ใดบ้าง" ดั่งมนุษย์ที่ขาดอวัยวะในร่างกายไป สุบรรณตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงแววหม่นหมองไร้สิ้นหนทางให้ตนเองกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ได้ดังเดิม
"ชาตินี้เราสองถูกลิขิตให้มีชีวิตผูกติดกัน ต่อจากนี้เรื่องของท่านก็คือเรื่องของข้า ข้าขอให้สัจจะวาจา ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยเหลือท่าน ให้ได้รับพลังงานทั้งหมดกลับคืนมาให้ได้" ธีรพลกล่าววาจาให้สัญญาอย่างฮึกเหิม ถึงแม้ตัวเขาจะทราบดีว่าตัวเองอาจไม่มีทุนรอนใดที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ แต่สำหรับความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นตั้งใจแล้ว เขาก็มั่นใจว่าตัวเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือจากใจจริง ซึ่งทางสุบรรณก็รับทราบได้เป็นอย่างดี
"ขอบน้ำใจเจ้ามาก" สุบรรณตอบกลับด้วยความซาบซึ้งใจ สำหรับกับการกระทำของธีรพลในครานี้ ทำให้ตัวเขารู้ว่าโชคชะตาได้กำหนดให้เขามาสถิตอยู่กับคนที่ถูกต้องเหมาะสมดีแล้ว และการเดินทางของทั้งคู่ก็กำลังจะเปิดม่านอย่างเป็นทางการนับแต่นี้เป็นต้นไป
เพล้ง!
เสียงกระจกแตกละเอียดร่วงกราวพลันดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างสายหนึ่งพุ่งกระโจนทะลุหน้าต่างกระจกชั้นสองของสถานที่ขายวัตถุโบราณออกมา ก่อนที่ร่างจะทิ้งตัวลงบนริมฝั่งน้ำอย่างแผ่วเบา
"เร็ว รีบตามไป!"
เสียงสั่งการดังสะท้อนขึ้นในความเงียบสงบ พร้อมกับเงาร่างของชายฉกรรจ์มากกว่าสิบรายกรูกันออกมาจากประตูหลังอาคาร ชี้ไม้ชี้มือส่งสัญญาณให้ติดตามผู้บุกรุกอย่างไม่ลดละ
แต่ทันทีที่ฝ่ายดูแลความปลอดภัยจะเข้าล้อมจับ เงาร่างชุดดำที่ปกปิดใบหน้าสายนั้นก็พลันเหินร่าง กระโดดข้ามผ่านผิวน้ำกว่าสี่วาตกลงบนท่อนซุงที่ลอยคว้างอยู่กลางลำน้ำตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ก่อนจะสลับเปลี่ยนจังหวะใช้ไม้ต่างพื้นยันกระโดดข้ามช่องว่างกว่าอีกสองสามวา ทิ้งตัวลงยังอีกฝากฝั่งของแม่น้ำอย่างราบเรียบ
ด้านผู้ติดตามที่รู้ตัวว่าไม่สามารถกระทำตามได้ จึงได้แต่ส่งเสียงเอะอะโวยวายชักนำให้ทั้งคณะติดตามโดยใช้สะพานข้ามน้ำไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ต้องเสียเวลาในการอ้อมเป็นวงอยู่พอสมควร
ด้วยความชะล้าใจ หลังจากที่ทิ้งตัวลงยังอีกฝั่งหนึ่งของลำน้ำอย่างมั่นคง เงาร่างปริศนาก็เยาะย่างอย่างสบายใจ คาดว่ากว่าอีกฝ่ายจะติดตามมาทัน ถึงเวลานั้นก็คงจะหลบหนีจากไปได้ไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่ทันได้คลายใจดี เงาร่างสายหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วก็ตามติดมาทันในระยะที่เห็นกันอยู่ไม่ไกล
แม้จะเกินคาดที่มีผู้มีฝีมือสามารถหลบรอดการรับรู้ติดตามมาได้ทัน แต่แทนที่จะตกใจเงาร่างปริศนานั้นก็เลือกทางสายหนึ่งทดสอบความสามารถของผู้ติดตาม ร่างวิ่งเรียบฝั่งน้ำก่อนจะถีบยันกายตีลังกาข้ามกำแพงไม้ที่สูงกว่าวาครึ่ง ตกลงยังสวนหลังบ้านแห่งหนึ่งไปอย่างว่องไว
ด้านผู้ที่ติดตามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากธีรพลที่เห็นเหตุการณ์อย่างถนัดชัดตา เมื่อทราบว่าอย่างไรฝ่ายที่ไล่ล่าก็ไม่มีทางที่จะตามติดเงาปริศนาที่คาดว่าเป็นขโมยนั้นได้ทัน เขาจึงตัดสินใจระเบิดฝีเท้าติดตาม หมายเข้าผัวพันชะลอเงาร่างชุดดำปริศนานั้นไว้ก่อน เพื่อที่จะให้ฝ่ายไล่ล่าติดตามเข้าล้อมจับในภายหลัง
คำอธิบาย
[1]เวียงโกศัย หรือก็คือ จังหวัดแพร่ในปัจจุบัน